ตายแล้วไปไหน ขึ้นสวรรค์ ลงนรก หรือไปเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ ยังคงเป็นคำถามยอดฮิต เรื่องชีวิตหลังความตายจึงเป็นเรื่องลึกลับที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ เพราะฉะนั้น เดือนนี้ “บัวน้อย” จะพาไปสัมผัส “ประตูสู่ชีวิตหลังความตาย” กันที่ญี่ปุ่นค่ะ
บนคาบสมุทรชิโมกิตะ ซึ่งอยู่ตอนเหนือสุดของเกาะฮอนชู เป็นที่ตั้งของ “โอโซเรซาน” หรือ “เขาโอโซเระ” เป็น 1 ใน 3 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของญี่ปุ่น ถูกค้นพบมากว่า 1,000 ปีแล้ว โดยพระภิกษุชาวญี่ปุ่นที่ออกสำรวจค้นหาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นเสมือนโลกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งปัจจุบันก็คือ สถานที่อันเป็นที่ตั้งของวัดโบไดจิ
โอโซเรซาน มีความหมายว่า “ภูเขาแห่งความกลัว” ชื่อนี้มาจากสภาพบริเวณโดยรอบของภูเขา ที่เต็มไปด้วยซากภูเขาไฟระเบิด มีกลิ่นเหม็นรุนแรงของกำมะถันแพร่กระจายอยู่ในอากาศ พร้อมหมอกควัน ฟองอากาศ และน้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมาตามรอยแยกบนผิวดิน น้ำพุร้อนที่นี่มีส่วนประกอบของธาตุกำมะถันในระดับสูง พื้นแผ่นดินเต็มไปด้วยดินสีเทาและแห้งแล้ง
ไม่เพียงเป็นภูเขาแห่งความกลัว แต่โอโซเรซานยังรู้จักกันดีในฐานะเป็น “ประตูสู่ชีวิตหลังความตาย” เนื่องจากสภาพภูมิประเทศดังกล่าว คล้ายคลึงกับคำบรรยายเรื่องนรกและสวรรค์ในทางพุทธศาสนา อันประกอบด้วยยอดเขา 8 ยอด และแม่น้ำที่มีชื่อว่า “ซันสุ โน คาวะ” ซึ่งวิญญาณคนตายต้องเดินข้าม เพื่อมุ่งสู่ชีวิตหลังความตาย (แม่น้ำนี้มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับแม่น้ำสติกซ์ของตำนานกรีกโบราณ)
ในบรรดาวิญญาณที่พยายามเดินข้ามแม่น้ำนั้น เชื่อกันว่ามีวิญญาณเด็กและทารกที่ตายในครรภ์มารดารวมอยู่ด้วย วิญญาณเหล่านี้ได้สร้างกองกรวดหินในแม่น้ำหลายกอง เพื่อใช้เดินข้ามไปยังอีกฝั่ง โดยมี “จิโซะ” พระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของญี่ปุ่น คอยปกป้องคุ้มครองวิญญาณเด็กเหล่านี้ ให้พ้นภัยจากเหล่าภูตผีปีศาจชั่วร้าย ซึ่งจ้องทำลายกองกรวดหิน
ด้วยความเชื่อนี้ จึงทำให้บริเวณโดยรอบของโอโซเรซาน เต็มไปด้วยรูปปั้นทั้องค์เล็กและใหญ่ ของพระโพธิสัตว์ “จิโซะ” ที่ตั้งอยู่พร้อมกองกรวดหินหลายกอง ซึ่งบรรดาพ่อแม่ของเด็กๆที่เสียชีวิต ได้นำก้อนหินมาถวาย เพื่อให้ท่านนำไปช่วยวิญญาณลูกๆของเขาในการสร้างทางเดินไปสู่สวรรค์ รวมทั้งของเล่นกังหันลมสีสดใส ก็เป็นอีกสิ่งที่พ่อแม่นำมาถวาย ซึ่งจะปักอยู่ตามพื้นทั่วไป
สำหรับวัดโบไดจินั้นเป็นสถานที่ใช้ฝังศพและประกอบพิธีกรรมให้กับดวงวิญญาณผู้ตาย สืบทอดมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว คำว่า “โบได” ในภาษาญี่ปุ่น เดิมหมายถึงการรู้ตื่นเบิกบานของชาวพุทธ แต่ต่อมารวมหมายถึง การดำเนินการให้คนตายไปสู่สุคติภพ
และทุกๆปี ในเทศกาลวัดโบไดจิ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 กรกฎาคม จะมีพ่อแม่ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตมาร่วมงาน เพื่อติดต่อสื่อสารกับดวงวิญญาณของผู้เป็นที่รัก ผ่านร่างทรงที่เรียกว่า “อิทาโกะ” ซึ่งเป็นบรรดาผู้หญิงตาบอดที่ผ่านการฝึกเข้าทรงมาเป็นอย่างดี ในการติดต่อกับวิญญาณคนตาย อิทาโกะเหล่านี้จะต้องถือศีลให้บริสุทธิ์ 3 เดือนก่อนเทศกาล
แม้การเดินทางไปยังโอโซเรซานจะค่อนข้างลำบาก แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายเดินทางไปที่นี่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล และภายในวัดก็มีที่พักแรม ที่อาบน้ำแร่จากบ่อน้ำพุร้อน สำหรับผู้มาเยือนด้วย
ประตูสู่ชีวิตหลังความตายจะปิดการเข้าชม ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนของทุกปี และจะเปิดต้อนรับผู้มาเยือนอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 108 พฤศจิกายน 2552 โดยบัวน้อย)