xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หญิงขาดวิตามินดี เสี่ยงเป็นความดันโลหิตสูง
ในการสัมนาการวิจัยเรื่องความดันโลหิตสูง ครั้งที่ 63 ของสมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา มีรายงานล่าสุดระบุว่า สตรีวัยแรกรุ่นที่ขาดวิตามินดีนั้น เพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน โดยทีมวิจัยได้ศึกษาผู้หญิงคอเคเซียน 559 คน ในเมืองเทคัมเซ รัฐมิชิแกน ที่เข้าร่วมโครงการวิจัยสุขภาพกระดูกและกระบวนการเผาผลาญอาหาร ตั้งแต่ปี 1992 ในขณะที่พวกเธออายุระหว่าง 24-44 ปี อายุเฉลี่ย 38 ปี
ตลอดการศึกษา ทีมวิจัยจะจดบันทึกความดันโลหิตของพวกเธอทุกๆปี วัดระดับวิตามินดีในเลือดครั้งเดียวในปี 1993 แล้วนำมาเปรียบเทียบ กับความดันโลหิต ที่วัดในปี 2007
ทีมวิจัยกล่าวว่า ผู้หญิงในวัยก่อนหมดประจำเดือน ซึ่งได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอในปี 1993 มีโอกาสเสี่ยงเป็น 3 เท่า ที่จะเป็นโรคความดันโลหิต สูงในอีก 15 ปีต่อมา เมื่อเทียบกับหญิงที่ได้รับวิตามินดีเพียงพอ
“เราใช้เวลาติดตามถึง 15 ปี ซึ่งนานกว่างานวิจัยทั้งหลาย ผลจากงานวิจัยของเราระบุว่า การขาดวิตามินดีในหญิงตั้งแต่อายุยังน้อย อาจเพิ่มความเสี่ยงในระยะยาวที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง เมื่อเธอเหล่านั้นย่างเข้าสู่วัยกลางคน” ฟลอจอน ซี กริฟฟิน ผู้ร่วมตรวจสอบงานวิจัยกล่าว

แนะกินแตงไทบำบัดเครียด
นักวิจัยพบวิธีบำบัดความเครียดตามธรรมชาติ กินแตงไทช่วยจิตใจเบิกบาน เนื่องจากในผลไม้ชนิดนี้มีเอนไซม์ที่เชื่อว่าประกอบด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเนื้อเยื่อในร่างกายถูกทำลาย
อาสาสมัครที่ได้กินแคปซูลที่มีเอนไซม์ ชื่อว่า superoxide dismutase (ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส) มีอาการเครียดและเหนื่อยล้าน้อยกว่าอาสาสมัครที่ได้กินแคปซูลบรรจุแป้งที่ไม่มีฤทธิ์ใดๆ
รายงานที่อยู่ในนิวทริชัน เจอร์นัลของไบโอเม็ด เซนทรัล ระบุว่าอาสาสมัคร 35 คนที่ได้แคปซูลแป้งมีอาการเครียดน้อยลงก็จริง แต่มีผลเพียง 7 วันแรกในการศึกษาเท่านั้น
ในทางกลับกัน อาสาสมัครอีก 35 คนที่ได้แคปซูลซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส เครียดและเหนื่อยน้อยลงนานกว่า นอก จากนี้ ยังมีสมาธิดีขึ้น ฉุนเฉียวและเบื่อหน่ายน้อยลง และนอนหลับได้ดีขึ้น
นักวิจัยอธิบายว่าการที่แคปซูลปลอมส่งผลในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากอาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองมีระดับความเหนื่อยล้าและความเครียดสูงเป็นปกติทุกวัน
ดร.ลอรา ไวเนสส์ นักโภชนาการอาวุโสจากมูลนิธิโภชนาการอังกฤษ แสดงความเห็นว่าการศึกษาชิ้นนี้เน้นย้ำว่าผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่างไรก็ดี ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่มีน้ำหนักมากขึ้นเกี่ยวกับประโยชน์จากเอนไซม์ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส

ต้นขาเล็กเรียวบ่งชี้ความเสี่ยงโรคหัวใจ
ศาสตราจารย์เบอริต เฮตแมนน์ จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก เปิดเผยรายงานที่ระบุว่า ผู้หญิงที่รอบต้นขากว้างไม่ถึง 23.6 นิ้ว (60 เซนติเมตร) มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและเสียชีวิตก่อนวัย การศึกษาและติดตาม ผลนานกว่าสิบปียังพบว่า มวลกล้ามเนื้อที่เล็กเกินไปอาจนำไปสู่โรคเบาหวาน ประเภท 2 และหัวใจล้มเหลว
งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนและปัจจัยการดำเนินชีวิตอื่นๆ และผลการค้นพบใช้ได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่ประกอบด้วยชาย 1,463 คน และหญิง 1,380 คน อายุระหว่าง 35-65 ปี จะต้องตรวจวัดส่วนสูง น้ำหนัก สารประกอบในร่างกาย รอบต้นขา สะโพกและเอวในปี1987-1988
นักวิจัยติดตามผลกลุ่มตัวอย่างอีกครั้งเมื่อผ่านไปสิบปีเพื่อตรวจหาอาการของโรคหัวใจ และหลังจากผ่าน ไป 12 ปีครึ่ง เพื่อสำรวจจำนวนผู้เสียชีวิต ระหว่างช่วงติดตามผลพบว่า กลุ่ม ตัวอย่างชาย 257 คน และหญิง 155 คนเสียชีวิต ส่วนที่เป็นโรคหัวใจมีกลุ่มตัวอย่างชาย 263 คน และหญิง 140 คน
“การค้นพบของเราบ่งชี้ว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเสียชีวิตก่อนวัย มีส่วนเกี่ยวพันกับขนาดต้นขา อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลนี้”
อย่างไรก็ตาม มูลนิธิหัวใจอังกฤษไม่เห็นด้วยกับแนวคิดในการใช้การวัดรอบต้นขามาประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ

แนวโน้มคนชราฆ่าตัวตายมากกว่าคนอายุน้อย
เมื่อเร็วๆนี้ หนังสือพิมพ์ “เฮลซิงกิน ซาโนมัท” อ้างข้อมูลสถิติของประเทศฟินแลนด์ว่า ผู้สูงอายุมีแนวโน้มฆ่าตัวตายมากกว่าคนอายุน้อย โดยระบุว่า ในปี 2007 คนฟินแลนด์พยายามฆ่าตัวตายเกือบ 1,000 คน ในจำนวนนี้เป็นผู่ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีถึง 190 คน และผู้ชายอายุเกิน 75 ปี มักฆ่าตัวตายสำเร็จ เมื่อเทียบกับคนที่อายุน้อย
บริตตา โซลแมน นักวิจัยของสถาบันสุขภาพและสังคมสงเคราะห์แห่งชาติบอกว่า ความเจ็บป่วยและความโดดเดี่ยว มักเป็นสาเหตุหลักของการพยายามฆ่าตัวตายในผู้สูงอายุบางราย นอกจากนี้ ความทุกข์ การสูญเสียสมาชิกในครอบครัว และความกลัวที่จะต้องเป็นภาระให้ผู้อื่น ก็มักเป็นสาเหตุให้คนชราจบชีวิตของตนเอง
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว ในประเทศทางยุโรปเหนือและตะวันตก บริตตาบอกว่า คนชราที่มีปัญหาด้านสุขภาพ มักได้รับการ ดูแลเอาใจใส่และการรักษาน้อยกว่าคน ที่อายุน้อย และนี่อาจเป็นเหตุผลของการพยายามจบชีวิตตนเองก็เป็นได

ขาเม้าท์ฟังไว้ คุยโทรศัพท์ไปเดินไประวังปวดหลัง
ผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ ในออสเตรเลีย ระบุหากคุยโทรศัพท์ขณะเดินอยู่อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ ทั้งนี้เนื่องมาจาก วิธีในการหายใจของคนเรา เพราะร่างกายมนุษย์ถูกออกแบบมาให้หายใจออกเวลาเท้าแตะพื้น ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันการกระแทกของกระดูกสันหลัง ดังนั้น การพูดและเดินไปพร้อมๆกันจะทำให้รูปแบบการหายใจนี้เสีย และส่งผลต่อกระดูกสันหลังได้
คณะวิจัยได้ทำการวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลำตัว ซึ่งเป็นส่วนที่ปกป้องกระดูกสันหลังในอาสาสมัครแต่ละคน พบว่ากล้ามเนื้อส่วนลำตัวจะทำงานได้อย่างเหมาะสมในคนที่เดินเฉยๆ แต่คนที่เดินไปพูดไปจะมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนี้น้อยกว่าปกติ และจะเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลังได้
ปัญหานี้เกิดขึ้นเนื่องจากวิธีในการสั่งงานของสมอง โดยกล้ามเนื้อจะมีหน้าที่หลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน และถูกสั่งการโดยสมองตามลำดับความสำคัญ ดังนั้นขณะที่คุยโทรศัพท์และเดินไปในเวลาเดียวกัน สมองก็จะให้ความสำคัญกับการคุยโทรศัพท์มากกว่า และทำให้เสี่ยงต่อการปวดหลังได้มากขึ้น

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 108 พฤศจิกายน 2552 โดยธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น