ถ้าปัญญาเราแก่รอบพอ เวลาเราดูที่ขันธ์ จะเห็นมีความทุกข์ล้วนๆ
ถ้าไปรู้อยู่ที่ตัวผู้รู้ นิ่งกับความสุขก็ติดสมถะเหมือนกัน
บางคนไปเจอตัวจิตผู้รู้ แล้วจ้องไว้ อย่างนั้นไม่ถูก
ครั้งที่ 048 ขันธ์เป็นตัวทุกข์
ภาคปลาย (หลังภัตตาหารเช้า)
หลวงพ่อ : ไปถึงไหนแล้วเมื่อเช้า เอ้า...แมวต่อเลย
โยม : ช่วงครั้งที่แล้ว ที่หลวงพ่อบอกว่าจิตไปเกาะนิ่งๆ ไปหน่อย ตอนนี้ก็ลองคอยดู ก็ยังมีความรู้สึกว่าไม่ค่อยมีอารมณ์ขึ้นลงเท่าไหร่
หลวงพ่อ : ก็ดีกว่าก่อนแล้ว ไม่แข็งเท่า ครั้งก่อน อยากให้มีอารมณ์ขึ้นลง ต้องมีผัสสะแรงๆ
โยม : ค่ะ มันไม่ค่อยมีผัสสะแรงๆ ค่ะ
หลวงพ่อ : คืออารมณ์ไม่ขึ้นลงก็ไม่เป็นไร อยู่ตรงที่ว่า เราไม่ได้ไปตรึงความรู้สึก ไว้ ถ้าเราไม่ได้ตรึงความรู้สึกไว้ แล้วมันไม่มีผัสสะอะไรที่รุนแรง อารมณ์มันก็ไม่ขึ้นลง ที่แมวทำผิดนั้น เพราะว่าเราไปตรึงความรู้สึก ไว้ ต่อให้ผัสสะแรงก็ไม่ขึ้นลง อันนั้นต่างหาก ที่ผิด งั้นขณะนี้ไม่ได้ตรึงไว้ก็ใช้ได้แล้ว
โยม : ค่ะ ขออนุญาตถามคำถามหนึ่งได้มั้ยคะ เวลาที่หลวงพ่อเทศน์บอกว่า เวลาภาวนาไปแล้วบางทีจิตมันก็มีความสุข แต่บางทีหลวงพ่อก็บอกว่าจะเห็นความทุกข์ล้วนๆ นะคะ ทีนี้เลยเข้าใจเอาเองว่า มันเป็นคนละระดับกันใช่มั้ยคะ
หลวงพ่อ : คนละอัน ใช่ คนละอันกัน เวลาเราภาวนานะ ถ้าปัญญาเราแก่รอบพอ เวลาเราดูที่ขันธ์ จะเห็นมีความทุกข์ล้วนๆ เลย เพราะขันธ์เป็นตัวทุกข์นะ ถ้าปัญญาแก่รอบไม่พอ เราก็เห็นขันธ์เป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้าง แต่ตัวจิต ตัวใจ ตัวผู้รู้-ผู้ดู น่ะมีความสุขนะ ถ้าเรารู้อยู่ที่ตัวผู้รู้ก็มีแต่ความสุข ทีนี้การปฏิบัติน่ะไม่ได้ให้รู้อยู่ที่ตัวผู้รู้ ถ้าไปรู้อยู่ที่ตัวผู้รู้ นิ่งกับความสุขไปติดอยู่อย่างนั้น ก็ติดสมถะเหมือนกัน ทีนี้บางครั้งจิตก็ระลึกรู้กาย บางครั้งจิตระลึกรู้ใจ บางครั้งจิตระลึกรู้ผู้รู้ก็ไม่เป็นไร เขาระลึกของเขาเองนั้นไม่เป็นไร อย่าจงใจไประลึกอันใดอันหนึ่ง ก็แล้วกัน รู้สึกมั้ยบางคนไปเจอตัวจิตผู้รู้ แล้ว ไปจ้องใส่ตัวจิตผู้รู้ไว้ ถ้าอย่างนั้นไม่ถูก
โยม : มีอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ยคะ
หลวงพ่อ : ใจไม่ตั้งมั่น ดูออกมั้ย จิตตอนนี้ไม่ตั้งมั่นไม่ถึงฐานมัน ดูออกมั้ย นั่นแหละ ไปดูตัวนั้นล่ะ จิตไม่ตั้งมั่น
หลวงพ่อ : เอ้า...ริน
โยม : ก็มีถลำไปดูเยอะค่ะ
หลวงพ่อ : แล้วใจทื่อๆ อยู่ดูออกมั้ย
โยม : อันนี้ดูไม่ออกค่ะ
หลวงพ่อ : รู้สึกมั้ย มันนิ่งๆ มันทื่อๆ ยังซึมๆ อยู่ ให้รู้ทันนะ
โยม : ค่ะ
โยม : คืออยากจะกราบนมัสการเรียนถามว่า เวลาปฏิบัติชอบง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อ : เหรอ ไปยืนเลย ไปยืน ไปเดิน อย่านั่ง
โยม : ส่วนใหญ่จะมีเวลาง่วงมากกว่าเวลาที่จะปกติอะค่ะ
หลวงพ่อ : งั้นต้องพยายามฝึกตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ง่วง ฝึกอยู่ในชีวิตประจำวันให้ได้ ต้องหางานทำ ทำงานบ้านก็ยังดี
โยม : ก็เวลาทำงานก็พยายามดูจิตอยู่อะค่ะ
หลวงพ่อ : ให้รู้ไปเรื่อยๆ นะ ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตเคลื่อนไหวคอยรู้สึก ตอนนี้จิตไหลแวบๆๆ 3 ครั้งต่อกัน 4 ครั้งแล้ว รู้สึกมั้ย ให้รู้ทัน รู้ลงปัจจุบันไปเรื่อยๆ
โยม : ค่ะ
หลวงพ่อ : นี่น่ะหนีไปคิดแล้วทราบมั้ย ใจไหลไปแล้ว ไหลไปคิด ให้รู้ลงไปเรื่อยๆ รู้ลงปัจจุบันไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นเลย จิตนี้มันทำงานทั้งวันทั้งคืน มันไม่เที่ยง จิตนี้บังคับไม่ได้ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เลือกไม่ได้ มันเป็นอนัตตา บังคับมันไม่ได้ นี่น่ะใจลอยแวบหนึ่งทราบมั้ย มันหนีแวบไป ดูออกมั้ย
โยม : ดูไม่ออกค่ะ
หลวงพ่อ : พอบอกแล้วรู้มั้ย ถ้าบอกแล้วยังไม่รู้ ก็ต้องฟังอีกนานหน่อย ถ้าบอกแล้วเห็นสภาวะก็ง่าย แต่ที่ทำอยู่ตอนนี้ใช้ได้แล้วนะ ใจค่อยตื่นแล้วล่ะ
โยม : คือ รู้สึกว่าจะใจร้อนอยากให้เร็วค่ะ
หลวงพ่อ : โอ้... ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้
โยม : เพราะว่าอายุมากแล้ว ก็เลยอยาก
หลวงพ่อ : อายุมากแล้วต้องใจเย็นๆ ยิ่งใจร้อน ยิ่งทำไม่ได้ อย่างคนเราอายุมากจะต้องเดินหลายกิโลฯ ค่อยๆ เดินไป อย่าไปรีบจ้ำๆ นะ จ้ำๆ เดี๋ยวขาแพลง เอวเคล็ดอยู่กลางทางเลยไปไม่ได้ ภาวนาก็เหมือนกัน รีบร้อนไม่ได้ ค่อยๆ ทำไป ได้แค่ไหนแค่นั้น แท้จริงแล้วง่ายสุดๆ เลยจะบอกให้
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/
เจริญสติเผชิญความกลัว)
ถ้าไปรู้อยู่ที่ตัวผู้รู้ นิ่งกับความสุขก็ติดสมถะเหมือนกัน
บางคนไปเจอตัวจิตผู้รู้ แล้วจ้องไว้ อย่างนั้นไม่ถูก
ครั้งที่ 048 ขันธ์เป็นตัวทุกข์
ภาคปลาย (หลังภัตตาหารเช้า)
หลวงพ่อ : ไปถึงไหนแล้วเมื่อเช้า เอ้า...แมวต่อเลย
โยม : ช่วงครั้งที่แล้ว ที่หลวงพ่อบอกว่าจิตไปเกาะนิ่งๆ ไปหน่อย ตอนนี้ก็ลองคอยดู ก็ยังมีความรู้สึกว่าไม่ค่อยมีอารมณ์ขึ้นลงเท่าไหร่
หลวงพ่อ : ก็ดีกว่าก่อนแล้ว ไม่แข็งเท่า ครั้งก่อน อยากให้มีอารมณ์ขึ้นลง ต้องมีผัสสะแรงๆ
โยม : ค่ะ มันไม่ค่อยมีผัสสะแรงๆ ค่ะ
หลวงพ่อ : คืออารมณ์ไม่ขึ้นลงก็ไม่เป็นไร อยู่ตรงที่ว่า เราไม่ได้ไปตรึงความรู้สึก ไว้ ถ้าเราไม่ได้ตรึงความรู้สึกไว้ แล้วมันไม่มีผัสสะอะไรที่รุนแรง อารมณ์มันก็ไม่ขึ้นลง ที่แมวทำผิดนั้น เพราะว่าเราไปตรึงความรู้สึก ไว้ ต่อให้ผัสสะแรงก็ไม่ขึ้นลง อันนั้นต่างหาก ที่ผิด งั้นขณะนี้ไม่ได้ตรึงไว้ก็ใช้ได้แล้ว
โยม : ค่ะ ขออนุญาตถามคำถามหนึ่งได้มั้ยคะ เวลาที่หลวงพ่อเทศน์บอกว่า เวลาภาวนาไปแล้วบางทีจิตมันก็มีความสุข แต่บางทีหลวงพ่อก็บอกว่าจะเห็นความทุกข์ล้วนๆ นะคะ ทีนี้เลยเข้าใจเอาเองว่า มันเป็นคนละระดับกันใช่มั้ยคะ
หลวงพ่อ : คนละอัน ใช่ คนละอันกัน เวลาเราภาวนานะ ถ้าปัญญาเราแก่รอบพอ เวลาเราดูที่ขันธ์ จะเห็นมีความทุกข์ล้วนๆ เลย เพราะขันธ์เป็นตัวทุกข์นะ ถ้าปัญญาแก่รอบไม่พอ เราก็เห็นขันธ์เป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้าง แต่ตัวจิต ตัวใจ ตัวผู้รู้-ผู้ดู น่ะมีความสุขนะ ถ้าเรารู้อยู่ที่ตัวผู้รู้ก็มีแต่ความสุข ทีนี้การปฏิบัติน่ะไม่ได้ให้รู้อยู่ที่ตัวผู้รู้ ถ้าไปรู้อยู่ที่ตัวผู้รู้ นิ่งกับความสุขไปติดอยู่อย่างนั้น ก็ติดสมถะเหมือนกัน ทีนี้บางครั้งจิตก็ระลึกรู้กาย บางครั้งจิตระลึกรู้ใจ บางครั้งจิตระลึกรู้ผู้รู้ก็ไม่เป็นไร เขาระลึกของเขาเองนั้นไม่เป็นไร อย่าจงใจไประลึกอันใดอันหนึ่ง ก็แล้วกัน รู้สึกมั้ยบางคนไปเจอตัวจิตผู้รู้ แล้ว ไปจ้องใส่ตัวจิตผู้รู้ไว้ ถ้าอย่างนั้นไม่ถูก
โยม : มีอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ยคะ
หลวงพ่อ : ใจไม่ตั้งมั่น ดูออกมั้ย จิตตอนนี้ไม่ตั้งมั่นไม่ถึงฐานมัน ดูออกมั้ย นั่นแหละ ไปดูตัวนั้นล่ะ จิตไม่ตั้งมั่น
หลวงพ่อ : เอ้า...ริน
โยม : ก็มีถลำไปดูเยอะค่ะ
หลวงพ่อ : แล้วใจทื่อๆ อยู่ดูออกมั้ย
โยม : อันนี้ดูไม่ออกค่ะ
หลวงพ่อ : รู้สึกมั้ย มันนิ่งๆ มันทื่อๆ ยังซึมๆ อยู่ ให้รู้ทันนะ
โยม : ค่ะ
โยม : คืออยากจะกราบนมัสการเรียนถามว่า เวลาปฏิบัติชอบง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อ : เหรอ ไปยืนเลย ไปยืน ไปเดิน อย่านั่ง
โยม : ส่วนใหญ่จะมีเวลาง่วงมากกว่าเวลาที่จะปกติอะค่ะ
หลวงพ่อ : งั้นต้องพยายามฝึกตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ง่วง ฝึกอยู่ในชีวิตประจำวันให้ได้ ต้องหางานทำ ทำงานบ้านก็ยังดี
โยม : ก็เวลาทำงานก็พยายามดูจิตอยู่อะค่ะ
หลวงพ่อ : ให้รู้ไปเรื่อยๆ นะ ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตเคลื่อนไหวคอยรู้สึก ตอนนี้จิตไหลแวบๆๆ 3 ครั้งต่อกัน 4 ครั้งแล้ว รู้สึกมั้ย ให้รู้ทัน รู้ลงปัจจุบันไปเรื่อยๆ
โยม : ค่ะ
หลวงพ่อ : นี่น่ะหนีไปคิดแล้วทราบมั้ย ใจไหลไปแล้ว ไหลไปคิด ให้รู้ลงไปเรื่อยๆ รู้ลงปัจจุบันไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นเลย จิตนี้มันทำงานทั้งวันทั้งคืน มันไม่เที่ยง จิตนี้บังคับไม่ได้ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เลือกไม่ได้ มันเป็นอนัตตา บังคับมันไม่ได้ นี่น่ะใจลอยแวบหนึ่งทราบมั้ย มันหนีแวบไป ดูออกมั้ย
โยม : ดูไม่ออกค่ะ
หลวงพ่อ : พอบอกแล้วรู้มั้ย ถ้าบอกแล้วยังไม่รู้ ก็ต้องฟังอีกนานหน่อย ถ้าบอกแล้วเห็นสภาวะก็ง่าย แต่ที่ทำอยู่ตอนนี้ใช้ได้แล้วนะ ใจค่อยตื่นแล้วล่ะ
โยม : คือ รู้สึกว่าจะใจร้อนอยากให้เร็วค่ะ
หลวงพ่อ : โอ้... ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้
โยม : เพราะว่าอายุมากแล้ว ก็เลยอยาก
หลวงพ่อ : อายุมากแล้วต้องใจเย็นๆ ยิ่งใจร้อน ยิ่งทำไม่ได้ อย่างคนเราอายุมากจะต้องเดินหลายกิโลฯ ค่อยๆ เดินไป อย่าไปรีบจ้ำๆ นะ จ้ำๆ เดี๋ยวขาแพลง เอวเคล็ดอยู่กลางทางเลยไปไม่ได้ ภาวนาก็เหมือนกัน รีบร้อนไม่ได้ ค่อยๆ ทำไป ได้แค่ไหนแค่นั้น แท้จริงแล้วง่ายสุดๆ เลยจะบอกให้
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/
เจริญสติเผชิญความกลัว)