นับจากที่รับบทเป็นสาวใช้ในภาพยนตร์เรื่อง “แจ๋ว” และ “พี่แตน” พยาบาลสุดฮา แห่ง ร.พ.เกาะพะงัน ในภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อนสนิท” ชีวิตของสาวดำขำอย่าง ‘โอปอล์’ ปาณิสรา พิมพ์ปรุ ก็ยังไม่เคยห่างหายไปจากเส้นทางบันเทิง
แม้“รถไฟฟ้ามหาบันเทิง”ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่เธอร่วมแสดงจะมีกำหนดฉายปลายปี 52 แต่ทุกวันพุธ เวลา 09.30 น. และวันเสาร์ เวลา 08.00 น. ทางช่อง 5 เรายังพบ กับเธอได้ในหน้าที่พิธีกรรายการ “มาดามร้อยเล่มเกวียน” และ “แฮปปี้มอร์นิ่ง” ส่วนทุกวันพฤหัสฯ เวลา 21.00-23.00 น. หมุนวิทยุไปฟังเสียงเธอทำหน้าที่ดีเจได้ทางคลื่น 94 EFM หรือถ้าแวะไปแถวสยาม อย่าลืมอุดหนุนร้านกาแฟ “มงคล” บริเวณ 25 พลาซ่า เพราะนั่นเป็นกิจการส่วนตัวของเธอเอง
ด้วยเหตุนี้ตลอดทั้งอาทิตย์ เธอจึงแทบไม่มีเวลาได้หยุดพักอย่างแท้จริง เพราะนอกเหนือจากงานที่กล่าวมา เธอยังรับงานอ่านสปอตวิทยุ และงาน event ดังนั้นหากมีเวลาว่างสิ่งที่เธอต้องการทำมากที่สุดก็คือ นอนหลับพักผ่อน
“ครอบครัวปอล์ไม่ชอบเดินห้าง ถ้ามีเวลาว่างสักหนึ่งวัน พ่อแม่ก็อยากชวนไปเที่ยวไปไหว้พระ เพราะสิ่งที่ครอบครัวเราชอบทำร่วมกันตั้งแต่เด็กจนโต คือการขับรถเที่ยว และเดินสายไหว้พระ ขับออกไปเส้นอยุธยาแล้วก็เข้าสุพรรณ แต่พักหลังปอล์ไม่ไหวเลยจริงๆ อยากจะนอน”
เธอบอกเล่าว่าเป็นโชคดีที่ชีวิตมีโอกาสใกล้ชิดกับธรรมะมาตั้งแต่เด็ก และสิ่งที่ทำให้เธอสนใจธรรมะก็คือ หนังสือธรรมะในห้องของคุณยาย โดยเฉพาะหนังสือ “โลกทิพย์” ที่แม้ว่าเรื่องเกี่ยวกับผีและปาฏิหาริย์จะดึงความสนใจของเธอไปมากกว่า แต่ก็พลอยทำให้เธอได้พลิกไปอ่านเนื้อหาที่เกี่ยวกับชีวประวัติของพระอริยะสงฆ์ รูปต่างๆ แม้แต่หนังสือธรรมะพิมพ์แจกบางเล่มที่มีบอกเอาไว้ว่า สวดร้อยจบกระดูกลอยได้ ก็มีส่วนทำให้เธอรักในการสวดมนต์มาตั้งแต่นั้น
“ตอนเด็กๆปอล์เหมือนบัวใต้น้ำมาก เรื่องปาฏิหาริย์อาจจะสัมผัสเราได้มากกว่า แต่มันก็ช่วยดึงเราให้เริ่มสนใจธรรมะ ขณะที่พ่อแม่จะชอบพาปอล์ไปใส่บาตรไป ถวายสังฆทานที่วัดตั้งแต่เด็ก เวลากลับจากวัดจะรู้สึกสบายใจ เหมือนเราได้สะสมแต้มบุญ”
จนเมื่อได้อ่านพบประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า“สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน” ทำให้เธออยากลองเปลี่ยนจากการสวดมนต์ธรรมดา ไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิดูบ้าง
แต่ความต้องการของเธอได้ถูกปิดกั้น เพราะคุณพ่อของเธอคิดว่า เด็กในวัยสิบกว่าขวบเช่นเธอ ณ เวลานั้น อาจจะใช้เป็นข้ออ้างเพื่อไปเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่นก็เป็นได้
จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย เธอจึงได้สัมผัสกับความสงบและความอิ่มเอมในใจที่ค้นหามานาน
“วัดที่ไปอยู่ที่ชัยนาท จากที่เคยไปสามวันก็ไปยาวเป็นเดือน ชีวิตในกรุงเทพฯ ปอล์เป็นคนเปรี้ยว แต่งตัวจัด ทำกิจกรรม เพื่อนเยอะ กรี๊ดกร๊าด แต่พอซัมเมอร์ปุ๊ป จะไปปฏิบัติธรรม ไปนั่งสมาธิ ไปชาร์ตแบตเตอรี่ให้กับตัวเอง”
ทุกวันนี้เธออาจไม่มีเวลาไปเข้าวัดปฏิบัติธรรมอย่างที่เคยทำ แต่ที่ผ่านมาเพราะได้สะสมภูมิคุ้มกันจิตใจเอาไว้เยอะ ชีวิตของเธอจึงยังคงมีหลักให้ยึด
“ยอมรับว่าชีวิตตอนนี้ยุ่งจนไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้เข้าวัดฟังธรรม แต่จากที่ปอล์เคยนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมมานับสิบปี มันทำให้ปอล์เรียนรู้ว่า ทุกอย่างจิตเป็นนาย ถ้าจิตเราระลึกรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา มันก็ทำให้ชีวิตเราไม่ฟุ้ง
สังคมและอาชีพที่ปอล์ทำอยู่มันโหดร้ายมาก มันยั่ว ยุเราในทุกๆรูปแบบ ชื่อเสียงเงินทอง รูปรสกลิ่นเสียง คนมันถึงหลงผิดไปได้เยอะ ปอล์กลายเป็นที่รู้จัก ได้รับคำยกยอสรรเสริญ ได้รับสิทธิพิเศษในทุกๆอย่าง ไม่เคยต้องต่อคิว ได้รับบัตรเชิญ บัตรฟรี ชีวิตนี้ง๊ายง่าย ถ้าปอล์ ไม่มีภูมิคุ้มกันต่างๆนานาที่ปอล์ค้นพบด้วยตัวเอง หรือจากการไปนั่งสมาธิ ไม่มีคำว่าชีวิตไม่แน่นอนขึ้นมา หรือคำ ว่าอย่ายึดติด ปอล์สามารถหลุดเพ้อไปกับมันได้แน่นอน
เวลาเห็นเพื่อนที่ทำอาชีพเดียวกัน หลงในชื่อเสียงเงินทอง ปอล์ก็ไม่รู้ว่าจะเตือนเขาอย่างไร แต่ในใจก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อมันผ่านมาแล้ว ก็จะผ่านไปเร็วมาก”
และเพราะรู้ดีว่า ชีวิตนี้ตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนนี่เอง เธอจึงพยายามทำให้ทุกนาทีเป็นเวลาของความสุข
“บางทีปอล์ก็เหมือนคนเพี้ยน แต่จริงๆแล้ว ความไม่แน่นอนคือหลักที่จริงที่สุดที่ปอล์ยึดถือ วันนี้เราแต่งตัวออกจากบ้านอาจจะไม่ได้กลับเข้าบ้านก็ได้ ทุกวันก่อนออกจากบ้าน ปอล์จะกอดพ่อกอดแม่ แล้วออกไปใช้ชีวิต เต็มที่กับการทำงาน และทำออกมาให้ดีที่สุด เพราะเราไม่รู้จริงๆว่า มันจะเป็นงานสุดท้ายหรือเปล่า และปอล์จะไม่ทำร้ายจิตใจใคร ทั้งคำพูดและการกระทำ จะไม่ผูกใจเจ็บ เพราะไม่อยากติดค้างอะไรกับใคร”
เธอบอกว่าชีวิตนี้เกิดมามีบุญ แม้จะไม่มีรูปเป็นทรัพย์ แต่ก็มีเสน่ห์ให้ใครต่อใครหลงรัก
“ปอล์ดีใจมากที่ในชาตินี้เกิดมาไม่สวย ไม่รวย ไม่ได้เก่งกว่าใคร แต่ปอล์คิดว่าตัวเองได้รับพรมาอย่างหนึ่งคือ สามารถสร้างความสุขให้คนอื่นได้ โดยที่บางทีเราไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ จะเดินไปไหน ใครเห็นก็หัวเราะ ก็ขำ เดินเข้ามาหยิกมาตี บางครั้งขึ้นเครื่องบิน พวกแอร์ฯและสจ๊วตพอเห็นปอล์ก็หัวเราะกัน รู้สึกว่ามันเป็นบุญ ที่เวลาคนอื่นเขาเห็นเรา แล้วเขามีความบันเทิงใจ
บางคนอกหัก จะฆ่าตัวตาย พอเขาได้ฟังรายการวิทยุ ที่ปอล์จัด เขาโทรมาบอกว่า พอฟังโอปอล์หัวเราะ พี่รู้สึกว่า ชีวิตนี้ยังมีอะไรอีกตั้งเยอะ ซึ่งบางทีเขาก็ไม่รู้หรอกว่า ตอนที่เราหัวเราะอยู่ บางครั้งก็กำลังร้องไห้กับปัญหาชีวิตอยู่เหมือนกัน ทุกสิ่งที่ปอล์ได้รับมาจากคนรอบข้าง มันทำให้ปอล์รู้สึกว่า ฉันจะใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด”
และเคล็ดลับของการใช้ชีวิตให้มีความสุขในแบบของเธอก็คือ การใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างคนที่ไม่ยึดติด
“ใครที่กำลังอ่านหนังสือธรรมลีลาฉบับนี้อยู่ ปอล์อยากบอกว่าทุกคนอย่ายึดติด ทั้งกับพ่อแม่ พี่น้อง หรือคนรัก และอย่าไปคิดว่า นี่คือที่สุด นี่คือประสบความสำเร็จ ที่สุด เศร้าที่สุด ดีใจที่สุด การยึดติดมันจะทำให้คุณไม่ไปไหน และเป็นทุกข์ อย่าอยู่กับอดีต ให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง กับคนอื่นให้มากที่สุด นาทีนี้คุณกำลังหายใจ นาทีต่อมาคุณอาจจะตายก็ได้ โกรธใครอย่าโกรธนาน ถ้าโกรธแล้วให้อภัยได้ รีบให้อภัย ถ้ายังไม่บอกรักใครให้บอกรัก อยากทำอะไรให้ทำ ถ้ามันไม่รบกวนใคร ไม่ลำบากใคร จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง ดังนั้นเมื่อทุกอย่างไม่แน่นอน อย่าทุกข์นาน อย่าดีใจนาน ใช้ชีวิตให้มันกลางๆ”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 106 กันยายน 2552 โดยพรพิมล)