มนุษย์เรานี้มีข้อเสียประการหนึ่ง คือว่า ชอบเก็บทุกอย่าง วัตถุก็เก็บ อารมณ์ก็เก็บ มีอะไรผ่านมาก็เก็บใส่กระเป๋าเสียเรื่อย เอาไปกองไว้เยอะแยะในที่ที่จะกองได้ ถ้ามีทางพอที่จะวางของได้ มันก็ค่อยมากขึ้นๆ
ถ้าเราเก็บไว้ด้วยอารมณ์หวงแหน เก็บไว้ด้วยความโลภความตระหนี่ อันนั้นมันก็เป็นกิเลสเกิดขึ้นในใจ ทำ ให้เป็นภาระเป็นกังวลด้วยประการต่างๆ นิสัยของมนุษย์ก็ชอบเก็บอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงเก็บไปถึงอารมณ์ เรียกว่าเป็นสิ่งไม่มีตัวตนอะไร มันเป็นนามธรรม ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ว่าเราไม่ให้มันดับไป เอามาเก็บไว้
ญาติโยมทุกคนลองคิดดูว่า ในชีวิตของเรานี่เก็บอะไรไว้บ้าง เรื่องเก่าๆ แก่ๆ ตั้งแต่ในสมัยก่อนๆ สมมติว่าในสมัยเป็นเด็กเรายังจำได้ว่า อะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ถ้าเพียงนึกแล้วหัวเราะตนเองก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าบางทีเรานึกแล้วก็เศร้าใจ น้อยใจในโชคชะตาของตนเอง ว่าแหมเรานี้เกิดมาไม่เหมือนเขา เขาสะดวกเขาสบาย เขามั่งมีก้าวหน้า แต่ว่าเรานี้ไปไม่รอด เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นในตัวเอง ว่ามีสภาพเช่นนั้น อันนี้ก็เป็นทุกข์
ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะว่าไปเอาของเก่ามาดู มาดูไม่ได้ดูด้วยปัญญา แต่ดูด้วยความหลงผิดความเข้าใจผิด จึงได้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ คนบางคนมีอายุมากแล้ว แต่ยังคิดถึงความหลัง ซึ่งทำ ให้เศร้าเสียใจ ของเก่าที่ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วเอามาคิดให้มันเป็นทุกข์นี่ไม่ดีแน่ อย่าคิดอย่างนั้น
ถ้าเอามาคิดแต่เพียงเพื่อศึกษาเรื่องชีวิต เพื่อให้เห็นว่าแหม ชีวิตเรานี่มันผ่านอะไรมามากมาย ดีบ้างชั่วบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ได้บ้างเสียบ้าง ขึ้นและลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงป่านนี้แล้ว แล้วเราก็จะมองเห็นความจริงอันหนึ่งว่า บรรดาสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วมันก็หายไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่กับเราอีกต่อไป มันกลายเป็นความหลัง ขอให้มันเป็นความหลังไปเสีย อย่าให้มันเป็นความหวังเลย แต่ถ้าเราปล่อยให้มันเป็นความหลังผ่านพ้นไปแล้วก็แล้วไป มันไม่มีเรื่อง แต่ถ้ามีความหวังอยู่แล้วมันก็วุ่นวายสับสนด้วยประการต่างๆ นี่คือความยุ่งในชีวิตที่เป็นสันดานก็ว่าได้ เพราะเราเกิดมาก็ต้องมีการสะสมมาเรื่อยๆ เป็นทุกข์มาเรื่อยๆ
ทีนี้เรามาศึกษาธรรมะ มารู้ความจริงว่า การเก็บอารมณ์ทั้งหลายไว้นั้นไม่ดี เราก็หัดปล่อยวางของเก่าไปแล้ว แล้วก็อย่าเอาของใหม่เข้ามาอีก ใ ห้เหมือนกับคำสวดมนต์บทหนึ่งว่า
“ภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้า เป็นภาระหนักเน้อ
“ภาระหาโร จะ ปุคคะโลบุคคลนั่นแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป
“ภาราทานัง ทุกขัง โลเกการยึดถือของหนักไว้เป็นความทุกข์ในโลก
“ภาระ นิกเขปะนัง สุขังการสลัดของหนักลงเสียได้เป็นความสุข
“นิกขิปิตวา คะรุง ภารังพระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว
“อัญญัง ภารัง อนาทิยะทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก
“สะมูลัง ตัณหัง อัพพุยหะก็เป็นผู้ถอนตัณหาขึ้นได้กระทั่งราก
“นิจฉาโต ปะรินิพพุโตเป็นผู้หมดสิ่งปรารถนา ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ
หมายความว่า จิตมันว่าง พอปล่อยวางอันเก่าแล้ว อย่าไปเอาอันใหม่เข้ามาอีก ให้จิตมันว่างจากความอยากในเรื่องนั้น เที่ยงแท้ที่จะดับทุกข์ได้ คือถึงพระนิพพาน นี่คือการสอนให้ปล่อยวาง
เพราะว่าคนเราไม่ชอบปล่อยวาง จึงเป็นทุกข์ ทีนี้หัดปล่อยหัดวางเสียบ้าง เรื่องอะไรที่มันกลุ้มอกกลุ้มใจ เอามาคิดแล้วมันไม่สบายใจวางๆเสียบ้าง อย่าคิดถึงสิ่งนั้น การที่จะไม่คิดถึงสิ่งนั้นก็ต้องควบคุมจิตใจของเราไว้เวลามันเกิดความคิดในเรื่องอะไร ซึ่งเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ซ้ำรอย คิดแล้วมันกลุ้มทุกทีเดือดร้อนทุกที น้ำตาไหลทุกที ก็พอรู้บ้าง มีประสบการณ์มาเยอะ พอสิ่งนั้นแวบเข้ามาก็ให้รู้ทัน แล้วก็ตะเพิดมันออกไป ไล่มันออก ไป ด้วยการพูดกับตัวเองว่า “เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว จะโง่อีกแล้ว โง่ที่ไรแล้วยุ่งทุกที อย่าโง่เลย ปล่อยมันไปเถอะ” บอกกับตัวเองอย่างนั้น บอกอย่างนี้บ่อยๆ มันค่อยฉลาดขึ้น การปล่อยวางก็จะเกิดขึ้นในใจของเรา เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่วุ่นวายหนักหนา คอยดุคอยว่าตัวเองไว้ อย่าง นี้เขาเรียกว่า กำหนดความคิดของเราไว้ในใจ เราก็สามารถ จะเอาชนะสิ่งนั้นได้
ญาติโยมเกิดความทุกข์อะไรขึ้นในใจ ก็ใช้วิธีนี้ขับไล่มันออกไป แต่ว่าขับมันออกไปแล้ว มันไปแล้ว เราก็ต้องคิดอีกหน่อย คิดว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมมันจึงได้เกิดอย่างนั้น สิ่งนั้นคืออะไร มันมีคุณมีค่าอะไรหนักหนาที่ทำให้เราต้องคิดต้องนึกถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ มองให้ดี พิจารณาให้รอบคอบ ให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรที่เรียว่าเป็นสุขสนุกสนาน ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อแท้ในตัวมันเอง มันเป็นแต่เพียงอาศัยอะไรๆหลายอย่างปรุงแต่งรวมกันเข้า แล้วแสดงให้เราเห็นเป็นภาพมายาทั้งภายนอกทั้งภายใน
คล้ายกับว่า เราเห็นพยับแดด เวลาแดดร้อนจัด ตา ลายไป มองเห็นเป็นภาพอะไรๆ พอเข้าใกล้มันหายไป หรือว่าภาพมายาประเภทต่างๆ ที่เราเห็นแล้วมันก็หายไปๆ เราก็เอามาบอกตัวเองว่า นี่มันเป็นเรื่องมายาทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน ทำไมไปคิดให้มันวุ่นวายใจ บอกตัวเองอย่างนั้น สิ่งนั้นมันก็ค่อยคลายเบาไปจากจิตใจเราจะอยู่อย่างมีความสุข สดชื่นในชีวิตประจำวัน การอยู่ อย่างสดชื่นนั่นแหละ คือการที่เราได้สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับ ชีวิต แต่การอยู่อย่างชนิดที่กลุ้มใจๆ มันไม่มีประโยชน์ อะไร มันเป็นเรื่องให้เกิดความวุ่นวายเปล่าๆ
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๒๐ )
(จาก หนังสือ ธรรมลีลา ฉบับ 104 กรกฎาคม 52 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
ถ้าเราเก็บไว้ด้วยอารมณ์หวงแหน เก็บไว้ด้วยความโลภความตระหนี่ อันนั้นมันก็เป็นกิเลสเกิดขึ้นในใจ ทำ ให้เป็นภาระเป็นกังวลด้วยประการต่างๆ นิสัยของมนุษย์ก็ชอบเก็บอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงเก็บไปถึงอารมณ์ เรียกว่าเป็นสิ่งไม่มีตัวตนอะไร มันเป็นนามธรรม ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ว่าเราไม่ให้มันดับไป เอามาเก็บไว้
ญาติโยมทุกคนลองคิดดูว่า ในชีวิตของเรานี่เก็บอะไรไว้บ้าง เรื่องเก่าๆ แก่ๆ ตั้งแต่ในสมัยก่อนๆ สมมติว่าในสมัยเป็นเด็กเรายังจำได้ว่า อะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ถ้าเพียงนึกแล้วหัวเราะตนเองก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าบางทีเรานึกแล้วก็เศร้าใจ น้อยใจในโชคชะตาของตนเอง ว่าแหมเรานี้เกิดมาไม่เหมือนเขา เขาสะดวกเขาสบาย เขามั่งมีก้าวหน้า แต่ว่าเรานี้ไปไม่รอด เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นในตัวเอง ว่ามีสภาพเช่นนั้น อันนี้ก็เป็นทุกข์
ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะว่าไปเอาของเก่ามาดู มาดูไม่ได้ดูด้วยปัญญา แต่ดูด้วยความหลงผิดความเข้าใจผิด จึงได้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ คนบางคนมีอายุมากแล้ว แต่ยังคิดถึงความหลัง ซึ่งทำ ให้เศร้าเสียใจ ของเก่าที่ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วเอามาคิดให้มันเป็นทุกข์นี่ไม่ดีแน่ อย่าคิดอย่างนั้น
ถ้าเอามาคิดแต่เพียงเพื่อศึกษาเรื่องชีวิต เพื่อให้เห็นว่าแหม ชีวิตเรานี่มันผ่านอะไรมามากมาย ดีบ้างชั่วบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ได้บ้างเสียบ้าง ขึ้นและลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงป่านนี้แล้ว แล้วเราก็จะมองเห็นความจริงอันหนึ่งว่า บรรดาสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วมันก็หายไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่กับเราอีกต่อไป มันกลายเป็นความหลัง ขอให้มันเป็นความหลังไปเสีย อย่าให้มันเป็นความหวังเลย แต่ถ้าเราปล่อยให้มันเป็นความหลังผ่านพ้นไปแล้วก็แล้วไป มันไม่มีเรื่อง แต่ถ้ามีความหวังอยู่แล้วมันก็วุ่นวายสับสนด้วยประการต่างๆ นี่คือความยุ่งในชีวิตที่เป็นสันดานก็ว่าได้ เพราะเราเกิดมาก็ต้องมีการสะสมมาเรื่อยๆ เป็นทุกข์มาเรื่อยๆ
ทีนี้เรามาศึกษาธรรมะ มารู้ความจริงว่า การเก็บอารมณ์ทั้งหลายไว้นั้นไม่ดี เราก็หัดปล่อยวางของเก่าไปแล้ว แล้วก็อย่าเอาของใหม่เข้ามาอีก ใ ห้เหมือนกับคำสวดมนต์บทหนึ่งว่า
“ภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้า เป็นภาระหนักเน้อ
“ภาระหาโร จะ ปุคคะโลบุคคลนั่นแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป
“ภาราทานัง ทุกขัง โลเกการยึดถือของหนักไว้เป็นความทุกข์ในโลก
“ภาระ นิกเขปะนัง สุขังการสลัดของหนักลงเสียได้เป็นความสุข
“นิกขิปิตวา คะรุง ภารังพระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว
“อัญญัง ภารัง อนาทิยะทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก
“สะมูลัง ตัณหัง อัพพุยหะก็เป็นผู้ถอนตัณหาขึ้นได้กระทั่งราก
“นิจฉาโต ปะรินิพพุโตเป็นผู้หมดสิ่งปรารถนา ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ
หมายความว่า จิตมันว่าง พอปล่อยวางอันเก่าแล้ว อย่าไปเอาอันใหม่เข้ามาอีก ให้จิตมันว่างจากความอยากในเรื่องนั้น เที่ยงแท้ที่จะดับทุกข์ได้ คือถึงพระนิพพาน นี่คือการสอนให้ปล่อยวาง
เพราะว่าคนเราไม่ชอบปล่อยวาง จึงเป็นทุกข์ ทีนี้หัดปล่อยหัดวางเสียบ้าง เรื่องอะไรที่มันกลุ้มอกกลุ้มใจ เอามาคิดแล้วมันไม่สบายใจวางๆเสียบ้าง อย่าคิดถึงสิ่งนั้น การที่จะไม่คิดถึงสิ่งนั้นก็ต้องควบคุมจิตใจของเราไว้เวลามันเกิดความคิดในเรื่องอะไร ซึ่งเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ซ้ำรอย คิดแล้วมันกลุ้มทุกทีเดือดร้อนทุกที น้ำตาไหลทุกที ก็พอรู้บ้าง มีประสบการณ์มาเยอะ พอสิ่งนั้นแวบเข้ามาก็ให้รู้ทัน แล้วก็ตะเพิดมันออกไป ไล่มันออก ไป ด้วยการพูดกับตัวเองว่า “เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว จะโง่อีกแล้ว โง่ที่ไรแล้วยุ่งทุกที อย่าโง่เลย ปล่อยมันไปเถอะ” บอกกับตัวเองอย่างนั้น บอกอย่างนี้บ่อยๆ มันค่อยฉลาดขึ้น การปล่อยวางก็จะเกิดขึ้นในใจของเรา เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่วุ่นวายหนักหนา คอยดุคอยว่าตัวเองไว้ อย่าง นี้เขาเรียกว่า กำหนดความคิดของเราไว้ในใจ เราก็สามารถ จะเอาชนะสิ่งนั้นได้
ญาติโยมเกิดความทุกข์อะไรขึ้นในใจ ก็ใช้วิธีนี้ขับไล่มันออกไป แต่ว่าขับมันออกไปแล้ว มันไปแล้ว เราก็ต้องคิดอีกหน่อย คิดว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมมันจึงได้เกิดอย่างนั้น สิ่งนั้นคืออะไร มันมีคุณมีค่าอะไรหนักหนาที่ทำให้เราต้องคิดต้องนึกถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ มองให้ดี พิจารณาให้รอบคอบ ให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรที่เรียว่าเป็นสุขสนุกสนาน ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อแท้ในตัวมันเอง มันเป็นแต่เพียงอาศัยอะไรๆหลายอย่างปรุงแต่งรวมกันเข้า แล้วแสดงให้เราเห็นเป็นภาพมายาทั้งภายนอกทั้งภายใน
คล้ายกับว่า เราเห็นพยับแดด เวลาแดดร้อนจัด ตา ลายไป มองเห็นเป็นภาพอะไรๆ พอเข้าใกล้มันหายไป หรือว่าภาพมายาประเภทต่างๆ ที่เราเห็นแล้วมันก็หายไปๆ เราก็เอามาบอกตัวเองว่า นี่มันเป็นเรื่องมายาทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน ทำไมไปคิดให้มันวุ่นวายใจ บอกตัวเองอย่างนั้น สิ่งนั้นมันก็ค่อยคลายเบาไปจากจิตใจเราจะอยู่อย่างมีความสุข สดชื่นในชีวิตประจำวัน การอยู่ อย่างสดชื่นนั่นแหละ คือการที่เราได้สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับ ชีวิต แต่การอยู่อย่างชนิดที่กลุ้มใจๆ มันไม่มีประโยชน์ อะไร มันเป็นเรื่องให้เกิดความวุ่นวายเปล่าๆ
(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๒๐ )
(จาก หนังสือ ธรรมลีลา ฉบับ 104 กรกฎาคม 52 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)