ฤดูฝนใกล้เข้ามาแล้ว ชาวนาในหมู่บ้านต่างเริ่มตระเตรียมดินเพื่อเพาะปลูกข้าว มีเพียงชายหนุ่มคนเดียวในหมู่บ้านที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ทั้งๆที่เขามีที่นาอยู่ถึง 10 ไร่ที่พ่อทิ้งไว้ให้เป็นมรดกก่อนตาย พร้อมเงินอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อมีเพื่อนบ้านถามว่า ทำไมเขาจึงยังไม่ลงมือเตรียมดินไว้ปลูกข้าว ชายหนุ่มก็ตอบว่า
“พรุ่งนี้ก็ได้ ยังมีเวลาอีกถมเถไป ข้ายังแข็งแรง ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ เชิญพวกท่านทำไปก่อนเถิด”
แล้วเขาก็ใช้เวลาไปกับการดื่มสุรา เที่ยวดูการละเล่น และเล่นการพนันตามหมู่บ้านต่างๆจนเงินทองที่มีอยู่เริ่มหมดไปทีละน้อย
เวลาผ่านไปจนถึงฤดูฝน ชายชราที่เป็นเพื่อนบ้านและเป็นเพื่อนพ่อของชายหนุ่ม ได้เอ่ยเตือนเขาด้วยความเป็นห่วงว่า
“ฝนมาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ลงมือไถหว่านเสียที มัวแต่เที่ยวเล่น อีกหน่อยนาของเจ้าก็จะไม่มีข้าวเหมือนของคนอื่น”
แต่ชายหนุ่มกลับตอบว่า “พรุ่งนี้ก็ได้ ยังมีเวลาอีกถมเถไป ข้ายังแข็งแรง ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ พ่อลุงอย่าห่วงไปเลย”
ชายหนุ่มไม่สนใจคำเตือนของชายชรา และยังคงใช้ชีวิตเหมือนเช่นเดิม จนกระทั่งเงินที่เหลืออยู่น้อยนิดก็หมดไป และร่างกายก็ทรุดโทรมลง เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องนอนซมอยู่กับบ้าน และยังมีโรคร้ายที่มาจากการดื่มสุรา ตอนนี้เขาไม่ใช่ชายหนุ่มที่แข็งแรงอีกต่อไปแล้ว เป็นเพียงชายขี้โรคคนหนึ่ง
ไม่ช้าฤดูฝนก็ผ่านพ้นไป เริ่มเข้าฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวที่ออกรวงเหลืองเต็มท้องทุ่ง ชายหนุ่มนั่งมองผู้คนในหมู่บ้านที่ออกไปเก็บเกี่ยวข้าวและแบกกระสอบข้าวกลับบ้านด้วยความสุข
เขารำพึงกับตัวเองด้วยความเสียใจว่า “ถ้าข้าเริ่มเตรียมดินเพื่อไถหว่านพร้อมกับพวกเขา เหมือนที่พ่อลุงเตือน ป่านนี้ข้าก็คงมีข้าวเต็มนาแล้วเหมือนกัน นี่เป็นเพราะข้าประมาทว่าตัวเองยังแข็งแรง ทำเมื่อไหร่ก็ได้ จึงได้รับผลเช่นนี้”
.......
พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องความประมาทไว้มากมาย เช่น ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ผู้ประมาทเหมือนคนตายแล้ว คนมีปัญญาทรามย่อมประกอบแต่ความประมาท คนประมาทย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน ฯลฯ เพราะความประมาท คือ ความหลงมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เมาในวัย และเมาในชีวิต เพราะคิดว่าตัวเองยังหนุ่มยังสาว จึงประมาทในความไม่มีโรค ไม่ระมัดระวังรักษาสุขภาพ ใช้ชีวิตอย่างไม่มีสาระ ซึ่งบางครั้งกว่าจะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว
จาก ธรรมลีลา ฉบับที่ 103 มิถุนายน 2552
โดย ไม้หอม
“พรุ่งนี้ก็ได้ ยังมีเวลาอีกถมเถไป ข้ายังแข็งแรง ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ เชิญพวกท่านทำไปก่อนเถิด”
แล้วเขาก็ใช้เวลาไปกับการดื่มสุรา เที่ยวดูการละเล่น และเล่นการพนันตามหมู่บ้านต่างๆจนเงินทองที่มีอยู่เริ่มหมดไปทีละน้อย
เวลาผ่านไปจนถึงฤดูฝน ชายชราที่เป็นเพื่อนบ้านและเป็นเพื่อนพ่อของชายหนุ่ม ได้เอ่ยเตือนเขาด้วยความเป็นห่วงว่า
“ฝนมาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ลงมือไถหว่านเสียที มัวแต่เที่ยวเล่น อีกหน่อยนาของเจ้าก็จะไม่มีข้าวเหมือนของคนอื่น”
แต่ชายหนุ่มกลับตอบว่า “พรุ่งนี้ก็ได้ ยังมีเวลาอีกถมเถไป ข้ายังแข็งแรง ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ พ่อลุงอย่าห่วงไปเลย”
ชายหนุ่มไม่สนใจคำเตือนของชายชรา และยังคงใช้ชีวิตเหมือนเช่นเดิม จนกระทั่งเงินที่เหลืออยู่น้อยนิดก็หมดไป และร่างกายก็ทรุดโทรมลง เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องนอนซมอยู่กับบ้าน และยังมีโรคร้ายที่มาจากการดื่มสุรา ตอนนี้เขาไม่ใช่ชายหนุ่มที่แข็งแรงอีกต่อไปแล้ว เป็นเพียงชายขี้โรคคนหนึ่ง
ไม่ช้าฤดูฝนก็ผ่านพ้นไป เริ่มเข้าฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวที่ออกรวงเหลืองเต็มท้องทุ่ง ชายหนุ่มนั่งมองผู้คนในหมู่บ้านที่ออกไปเก็บเกี่ยวข้าวและแบกกระสอบข้าวกลับบ้านด้วยความสุข
เขารำพึงกับตัวเองด้วยความเสียใจว่า “ถ้าข้าเริ่มเตรียมดินเพื่อไถหว่านพร้อมกับพวกเขา เหมือนที่พ่อลุงเตือน ป่านนี้ข้าก็คงมีข้าวเต็มนาแล้วเหมือนกัน นี่เป็นเพราะข้าประมาทว่าตัวเองยังแข็งแรง ทำเมื่อไหร่ก็ได้ จึงได้รับผลเช่นนี้”
.......
พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องความประมาทไว้มากมาย เช่น ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ผู้ประมาทเหมือนคนตายแล้ว คนมีปัญญาทรามย่อมประกอบแต่ความประมาท คนประมาทย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน ฯลฯ เพราะความประมาท คือ ความหลงมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เมาในวัย และเมาในชีวิต เพราะคิดว่าตัวเองยังหนุ่มยังสาว จึงประมาทในความไม่มีโรค ไม่ระมัดระวังรักษาสุขภาพ ใช้ชีวิตอย่างไม่มีสาระ ซึ่งบางครั้งกว่าจะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว
จาก ธรรมลีลา ฉบับที่ 103 มิถุนายน 2552
โดย ไม้หอม