การเกิดภาวะเรือนกระจก หรือกรีน เฮาส์ เอฟเฟกซ์ (Greenhouse Effect) ซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนนั้น เริ่มขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ผู้คนทั่วโลกเพิ่งเริ่มหันมาตระหนักและตื่นตัวถึงผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
สาเหตุหนึ่งที่นำมาซึ่งภาวะโลกร้อนนั้นก็คือขยะบนโลก ที่นับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มีข้อมูลว่าขณะนี้ประเทศทั่วโลกมีปริมาณขยะรวมกันราว 720,000 ล้านตันต่อปี และที่น่าตกใจก็คือ ครึ่งหนึ่งของขยะทั้งหมดนี้ อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว!!
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าขยะล้นโลก?
เป็นคำถามที่ชวนให้คิดและมีจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น เรื่อง Wall.E หรือในชื่อภาษาไทยครั้งแรกว่า ‘หุ่นน้อยหัวใจรักษ์โลก’
ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น ‘หุ่นจิ๋วหัวใจเกินร้อย’
หนังของ ค่ายดิสนีย์และพิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอ
เหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ได้จินตนาการ ไปล่วงหน้าถึง 800 ปี ที่โลกเต็มไปด้วยขยะ และมลพิษ จนมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้ ต้องอพยพไปอยู่บนยานอวกาศลำหนึ่งชื่อแอ็กเซียม (Axiom) เหลือไว้เพียงหุ่นยนต์ตัวจิ๋วชื่อวอลล์ อี (Wall.E)
ซึ่งมาจากคำว่า Waste Allocation Load Litter Earth-Class ทำหน้าที่เก็บขยะและปัดกวาดโลกให้สะอาด
โดยฉากแรกของหนังที่เปิดมาก็ฉายให้เห็นถึงขยะจำนวนมหาศาลที่เจ้าหุ่นน้อย บีบ อัดเป็นแท่ง แล้วกองเรียงกันจนดูเหมือน ตึกระฟ้าในมหานครใหญ่
ทุกวันวอลล์ อี ทำงานในหน้าที่ของตนด้วยความสุข โดยมีสิ่งมีชีวิตที่หลงเหลืออยู่ตัวเดียวบนโลกมาเป็นเพื่อน นั่นก็คือเจ้าแมลงสาบ
แล้วชีวิตของวอลล์ อี หุ่นยนต์หนุ่มน้อยที่มีรูปร่างเหมือนหุ่นกระป๋องเก่าๆ ก็เปลี่ยนไป เมื่อได้พบกับหุ่นยนต์สาวน้อยนามว่า อีฟ
(EVE ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Extra-terrestrial Vegetation Evaluator) หุ่นยนต์ รุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม มีรูปทรงรูปไข่ สีขาวแวววาว
อีฟมาจากยานอวกาศที่มนุษย์อาศัยอยู่ โดยได้รับคำสั่งให้เดินทางมายังโลก เพื่อสำรวจดูว่าโลกมีความพร้อมที่จะให้มนุษย์กลับมาตั้งถิ่นฐานอีกครั้งหรือไม่
แม้เรื่องนี้จะเป็นหนังที่สะท้อนถึงปัญหาเกี่ยวกับมลภาวะของโลก แต่ก็ยังสอดแทรกเรื่องราวความรักโรแมนติคของหุ่นยนต์ ที่ผู้สร้างตั้งใจทำให้หุ่นยนต์ทุกตัวในหนังเรื่องนี้ มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับคน รวมทั้งแอคชั่นที่แสดงออกถึงความรัก ก็ทำได้อย่างน่ารัก เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่วอลล์ อี จะตกหลุมรักอีฟ หุ่นสาวแสนสวยทันทีที่ได้เห็น
แต่เมื่อวอลล์ อี นำกล้าไม้ต้นเล็กๆที่เพิ่งงอกงาม ซึ่งเขาเจอในกองขยะ มามอบให้อีฟ (เช่นเดียวกับชายหนุ่มให้ดอกไม้หญิงสาว) โปรแกรมในตัวอีฟ ก็ได้ส่งสัญญาณให้ผู้ควบคุมหุ่นสาวรู้ว่า โลกพร้อมที่จะรับมนุษย์กลับมาอยู่แล้ว จึงส่งยานอวกาศมารับอีฟกลับไป พร้อมกับแจ้งให้กัปตันผู้ควบคุมยานซึ่งมีหน้าที่ตรวจเช็คสถานะของยานด้วย ‘ออโต้’ ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติ รู้ว่าภารกิจของอีฟสำเร็จแล้ว
“หุ่นยนต์ที่สำรวจพฤกษชาติพันธุ์พืชได้กลับมาจากโลก พร้อมกับตัวอย่างที่ได้รับการยืนยันของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้ด้วยการสังเคราะห์แสงถูกต้อง นั่นคือถึงเวลาที่จะได้กลับบ้านกันแล้ว เมื่อโลกสามารถฟื้นฟูกลับไปสู่สถานะของการมีชีวิต ถ้าเช่นนั้นเราก็สามารถปฏิบัติการตั้งอาณานิคมใหม่”
และเมื่อหนังตัดภาพไปภายในยาน ซึ่งเปรียบเสมือนโลกใหม่ของมนุษย์ ก็ชี้ให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของผู้คนที่อาศัยเทคโนลยีเครื่องยนต์กลไก ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย เพียงแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้สุดไฮเทคที่แล่นไปมาได้เหมือนรถยนต์ บนเก้าอี้มีสารพัดปุ่มกดสำหรับสั่งงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะดื่มน้ำ ดูหนัง ฟังเพลง และแม้กระทั่งหยิบอาหารเข้าปาก รวมทั้งมีหุ่นยนต์รับใช้คอยช่วยแต่งตัวให้ด้วย
การใช้ชีวิตอยู่บนเก้าอี้ โดยไม่ต้องเดินนั้น ส่งผลให้มนุษย์ทุกคนบนยานมีรูปร่างอ้วนกลมปุ๊ก ขณะที่เท้าทั้งสองข้างเล็กนิดเดียว!!
วอลล์ อี ได้ตามอีฟกลับมาที่ยานแอ็กเซียมด้วยความรัก แล้วเรื่องราวอันยุ่งเหยิงก็เกิดขึ้น เมื่ อ ‘ออโต้ ไพลอต’
(Auto Pilot) เครื่องยนต์ที่ควบคุมยาน ได้ขัดขวางการนำต้นกล้าไม้ไปให้กัปตัน แต่ทว่ากัปตันซึ่งค้นพบตัวเองว่าแท้จริงแล้วการเป็นผู้นำนั้นจะต้องกล้าหาญในการตัดสินใจเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เขาจึงได้แสดงความกล้าหาญ โดยการทำทุกวิถีทางที่จะพามนุษย์เดินทางกลับสู่โลก ด้วยความช่วยเหลือของวอลล์ อี อีฟ และบรรดาหุ่นยนต์หมดสภาพอีกหลายตัว
ในที่สุดยานแอ็กเซียมก็ได้พามนุษย์กลับสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความที่ทุกคนไม่เคยได้ใช้เท้ายืนหรือเดินมาเป็นเวลา นาน ทำให้เมื่อสองเท้าต้องแตะโลก ก็ไม่สามารถยืนได้ทันที ต่างล้มลุกคลุกคลาน เมื่อต้องกลับมาใช้สิ่งที่ธรรมชาติสร้างให้มา แต่กำเนิด
บางคนถึงกับบ่นว่า “นี่เราต้องยืนด้วยขาของตัวเองแล้วหรือ?”
จินตนาการในหนังเรื่องนี้ อาจไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันหรือเกินเลยไปนัก หากมนุษย์อีกค่อนโลก ยังคงเห็นแก่ตัว ไร้ความรับผิดชอบ รวมทั้งไม่ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ คงเหมือนกับคำพูดของมนุษย์คนหนึ่งบนยานแอ็กเซียมว่า
“ฉันต้องการใช้ชีวิต แต่ฉันไม่ต้องการ อยู่รอด”
แต่ในที่สุดแล้ว มนุษย์ก็ไม่อาจใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบในความหมายของคำว่ามนุษย์ คือ ความเป็นผู้มีใจสูง จะเป็นได้ก็แค่เพียงหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่ไร้ค่ายิ่งกว่าวอลล์ อี ซะด้วยซ้ำ
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 99 ก.พ. 52 โดยเมฆขาว)
สาเหตุหนึ่งที่นำมาซึ่งภาวะโลกร้อนนั้นก็คือขยะบนโลก ที่นับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มีข้อมูลว่าขณะนี้ประเทศทั่วโลกมีปริมาณขยะรวมกันราว 720,000 ล้านตันต่อปี และที่น่าตกใจก็คือ ครึ่งหนึ่งของขยะทั้งหมดนี้ อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว!!
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าขยะล้นโลก?
เป็นคำถามที่ชวนให้คิดและมีจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น เรื่อง Wall.E หรือในชื่อภาษาไทยครั้งแรกว่า ‘หุ่นน้อยหัวใจรักษ์โลก’
ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น ‘หุ่นจิ๋วหัวใจเกินร้อย’
หนังของ ค่ายดิสนีย์และพิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอ
เหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ได้จินตนาการ ไปล่วงหน้าถึง 800 ปี ที่โลกเต็มไปด้วยขยะ และมลพิษ จนมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้ ต้องอพยพไปอยู่บนยานอวกาศลำหนึ่งชื่อแอ็กเซียม (Axiom) เหลือไว้เพียงหุ่นยนต์ตัวจิ๋วชื่อวอลล์ อี (Wall.E)
ซึ่งมาจากคำว่า Waste Allocation Load Litter Earth-Class ทำหน้าที่เก็บขยะและปัดกวาดโลกให้สะอาด
โดยฉากแรกของหนังที่เปิดมาก็ฉายให้เห็นถึงขยะจำนวนมหาศาลที่เจ้าหุ่นน้อย บีบ อัดเป็นแท่ง แล้วกองเรียงกันจนดูเหมือน ตึกระฟ้าในมหานครใหญ่
ทุกวันวอลล์ อี ทำงานในหน้าที่ของตนด้วยความสุข โดยมีสิ่งมีชีวิตที่หลงเหลืออยู่ตัวเดียวบนโลกมาเป็นเพื่อน นั่นก็คือเจ้าแมลงสาบ
แล้วชีวิตของวอลล์ อี หุ่นยนต์หนุ่มน้อยที่มีรูปร่างเหมือนหุ่นกระป๋องเก่าๆ ก็เปลี่ยนไป เมื่อได้พบกับหุ่นยนต์สาวน้อยนามว่า อีฟ
(EVE ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Extra-terrestrial Vegetation Evaluator) หุ่นยนต์ รุ่นใหม่ที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม มีรูปทรงรูปไข่ สีขาวแวววาว
อีฟมาจากยานอวกาศที่มนุษย์อาศัยอยู่ โดยได้รับคำสั่งให้เดินทางมายังโลก เพื่อสำรวจดูว่าโลกมีความพร้อมที่จะให้มนุษย์กลับมาตั้งถิ่นฐานอีกครั้งหรือไม่
แม้เรื่องนี้จะเป็นหนังที่สะท้อนถึงปัญหาเกี่ยวกับมลภาวะของโลก แต่ก็ยังสอดแทรกเรื่องราวความรักโรแมนติคของหุ่นยนต์ ที่ผู้สร้างตั้งใจทำให้หุ่นยนต์ทุกตัวในหนังเรื่องนี้ มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับคน รวมทั้งแอคชั่นที่แสดงออกถึงความรัก ก็ทำได้อย่างน่ารัก เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่วอลล์ อี จะตกหลุมรักอีฟ หุ่นสาวแสนสวยทันทีที่ได้เห็น
แต่เมื่อวอลล์ อี นำกล้าไม้ต้นเล็กๆที่เพิ่งงอกงาม ซึ่งเขาเจอในกองขยะ มามอบให้อีฟ (เช่นเดียวกับชายหนุ่มให้ดอกไม้หญิงสาว) โปรแกรมในตัวอีฟ ก็ได้ส่งสัญญาณให้ผู้ควบคุมหุ่นสาวรู้ว่า โลกพร้อมที่จะรับมนุษย์กลับมาอยู่แล้ว จึงส่งยานอวกาศมารับอีฟกลับไป พร้อมกับแจ้งให้กัปตันผู้ควบคุมยานซึ่งมีหน้าที่ตรวจเช็คสถานะของยานด้วย ‘ออโต้’ ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติ รู้ว่าภารกิจของอีฟสำเร็จแล้ว
“หุ่นยนต์ที่สำรวจพฤกษชาติพันธุ์พืชได้กลับมาจากโลก พร้อมกับตัวอย่างที่ได้รับการยืนยันของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้ด้วยการสังเคราะห์แสงถูกต้อง นั่นคือถึงเวลาที่จะได้กลับบ้านกันแล้ว เมื่อโลกสามารถฟื้นฟูกลับไปสู่สถานะของการมีชีวิต ถ้าเช่นนั้นเราก็สามารถปฏิบัติการตั้งอาณานิคมใหม่”
และเมื่อหนังตัดภาพไปภายในยาน ซึ่งเปรียบเสมือนโลกใหม่ของมนุษย์ ก็ชี้ให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของผู้คนที่อาศัยเทคโนลยีเครื่องยนต์กลไก ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย เพียงแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้สุดไฮเทคที่แล่นไปมาได้เหมือนรถยนต์ บนเก้าอี้มีสารพัดปุ่มกดสำหรับสั่งงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะดื่มน้ำ ดูหนัง ฟังเพลง และแม้กระทั่งหยิบอาหารเข้าปาก รวมทั้งมีหุ่นยนต์รับใช้คอยช่วยแต่งตัวให้ด้วย
การใช้ชีวิตอยู่บนเก้าอี้ โดยไม่ต้องเดินนั้น ส่งผลให้มนุษย์ทุกคนบนยานมีรูปร่างอ้วนกลมปุ๊ก ขณะที่เท้าทั้งสองข้างเล็กนิดเดียว!!
วอลล์ อี ได้ตามอีฟกลับมาที่ยานแอ็กเซียมด้วยความรัก แล้วเรื่องราวอันยุ่งเหยิงก็เกิดขึ้น เมื่ อ ‘ออโต้ ไพลอต’
(Auto Pilot) เครื่องยนต์ที่ควบคุมยาน ได้ขัดขวางการนำต้นกล้าไม้ไปให้กัปตัน แต่ทว่ากัปตันซึ่งค้นพบตัวเองว่าแท้จริงแล้วการเป็นผู้นำนั้นจะต้องกล้าหาญในการตัดสินใจเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เขาจึงได้แสดงความกล้าหาญ โดยการทำทุกวิถีทางที่จะพามนุษย์เดินทางกลับสู่โลก ด้วยความช่วยเหลือของวอลล์ อี อีฟ และบรรดาหุ่นยนต์หมดสภาพอีกหลายตัว
ในที่สุดยานแอ็กเซียมก็ได้พามนุษย์กลับสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความที่ทุกคนไม่เคยได้ใช้เท้ายืนหรือเดินมาเป็นเวลา นาน ทำให้เมื่อสองเท้าต้องแตะโลก ก็ไม่สามารถยืนได้ทันที ต่างล้มลุกคลุกคลาน เมื่อต้องกลับมาใช้สิ่งที่ธรรมชาติสร้างให้มา แต่กำเนิด
บางคนถึงกับบ่นว่า “นี่เราต้องยืนด้วยขาของตัวเองแล้วหรือ?”
จินตนาการในหนังเรื่องนี้ อาจไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันหรือเกินเลยไปนัก หากมนุษย์อีกค่อนโลก ยังคงเห็นแก่ตัว ไร้ความรับผิดชอบ รวมทั้งไม่ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ คงเหมือนกับคำพูดของมนุษย์คนหนึ่งบนยานแอ็กเซียมว่า
“ฉันต้องการใช้ชีวิต แต่ฉันไม่ต้องการ อยู่รอด”
แต่ในที่สุดแล้ว มนุษย์ก็ไม่อาจใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบในความหมายของคำว่ามนุษย์ คือ ความเป็นผู้มีใจสูง จะเป็นได้ก็แค่เพียงหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่ไร้ค่ายิ่งกว่าวอลล์ อี ซะด้วยซ้ำ
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 99 ก.พ. 52 โดยเมฆขาว)