สำหรับใครบางคน ความสุขอาจเป็นเรื่องที่ต้องรอคอย และไขว่คว้าจากสิ่งไกลตัว แต่สำหรับ คนทำงานศิลปะอย่าง ‘เอกรัตน์ อรุณรัตน์’ ความสุขสามารถเกิดขึ้นกับเขาได้ทุกเวลา แค่ระลึกถึง ความสุขก็เดินทางมาหา ในขณะเดียวกันเขามักจะมองหาความสุขเหล่านั้นจากสิ่งใกล้ๆตัว
เหมือนเช่นที่หลายปีก่อน ‘เด็กหญิงส้มโอ’ หลานสาววัยหกขวบของเขาเคยเป็นสะพานให้เขาย้อนกลับไปนึก ถึงความสุขเมื่อวัยเด็กของตัวเอง ในวันที่เธอเล่นซนและมีความสุขอยู่คนเดียวตามประสาเด็กผู้หญิง
“เด็กผู้หญิงมีความน่ารัก มีความบริสุทธิ์อยู่ในตัวของเขาเอง เวลาเขากลับมาจากโรงเรียนเขาจะเล่น และมีความสุข เหมือนเขาอยู่ในโลกของเขา ทำให้ผมรู้สึกว่า ทำไมโลกของเขามันมีความสุขอะไรเช่นนี้”
ขณะที่กำลังมองหาไอเดีย เพื่อมาสร้างงานศิลปะที่สร้างความรู้สึกในด้านบวกให้แก่ผู้ชม หลังจากที่หันหลังให้กับการทำงานศิลปะที่สะท้อนสังคมในด้านมืดมาระยะหนึ่ง เอกรัตน์จึงตัดสินใจเลือกหลานสาวคนนี้ เป็นแบบในการสร้างงานศิลปะของตัวเอง
ทดลองสเก็ตซ์ภาพและทดลองใช้สีเรื่อยมา จนกระทั่งมาลงตัวที่ภาพแนวฝันๆ สีสันสดใส ซึ่งเป็นภาพของเด็กผู้หญิงหน้ากลม ผมยาว หลับตาพริ้ม ในโลกที่ไม่มีความทุกข์ใดๆ มาเจือปน เพราะโลกของเธอมีเพียง ต้นไม้ ดอกไม้ บึงน้ำ ฝูงปลา นก ท้องฟ้า และพระจันทร์ อยู่รายรอบ
นอกจากเพราะนึกถึงโลกอันแสนสุขของหลานสาว ส่วนหนึ่งนั้นเอกรัตน์ต้องการให้เด็กผู้หญิงในภาพเขียนของเขาเป็นสัญลักษณ์แทนความงามและความบริสุทธิ์ด้วย
“ผมก็เลยเขียนภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งให้อยู่ในโลกที่ผมจินตนาการขึ้น เป็นโลกที่ฝันๆและมีความสุขตามความนึกคิดของเรา”
มากกว่าความสุขที่เขาได้รับขณะที่เขียนภาพ ก็คือการที่ผู้ชมและผู้ซื้อหาไปครอบครองบอกกับเขาว่า ภาพของเขาได้สร้างความสุขให้กับหลายๆคน แม้จะเป็นความ สุขที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะใช้สายตามองก็ตาม
“คนทำงานศิลปะเนี่ย แค่อยากเขียนภาพส้มสักลูกหนึ่ง และเขาสามารถเขียนได้อย่างที่เขาตั้งใจ มันก็มีความสุขแล้ว” เอกรัตน์บอกเล่าถึงความสุขเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นขณะสร้างงาน
มองไปในสภาวะปัจจุบัน โลกอาจมีเรื่องที่ไม่ค่อยรื่นรมย์สักเท่าไหร่ สำหรับใครบางคน อย่างไรก็ตามเอกรัตน์เห็นว่าเราทุกคนยังสามารถเก็บเกี่ยวเอาความสุขจากคนใกล้ตัวได้ หรือไม่ก็ย้อนไปนึกถึงช่วงเวลาที่เคยมีความสุขของตัวเอง เหมือนกับคำว่า Just Sometimes
หรือเพียงบางเวลา อันเป็นชื่อผลงานชุดนี้ของเขา
“มองย้อนไปในวัยเด็ก เรารู้สึกว่า ทำไมเมื่อก่อนเรามีความสุขจังเลย ได้วิ่งไล่ วิ่งเล่นกันกับเพื่อน ชีวิตมันสดใส เพราะไม่มีภาวะของการงาน หรือเรื่องราวอื่นๆ มาบีบบังคับเรา และเรายังอยู่ในโลกที่มันใสมากๆ
แต่จริงๆแล้วความสุขมันก็ไม่ได้อยู่ไกลมาก มันก็อยู่รอบๆตัวเรา ใกล้ๆเรานี่แหละ แต่คนไม่ค่อยจะมองเห็นเท่านั้นเอง และชอบมองด้วยความคาดหวังซะมากกว่า เมื่อไม่ได้ผลอย่างที่ใจตัวเองคิด ก็ทุกข์
ถ้าเช่นนั้นเราก็อย่าไปคาดหวังกับมันซิิ ขอให้เรามองมาใกล้ๆที่ตัวของเราเองเป็นที่ตั้งก็น่าจะมีความสุขแล้ว”
คำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่งที่เอกรัตน์นำมาปรับใช้กับชีวิตบ่อยมาก คือเรื่องของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ของสิ่งต่างๆในโลกนี้ จึงส่งผลให้จิตใจของเขา ไม่ด่ำดิ่งอยู่กับความทุกข์ใดๆได้นาน
“ผมจะใช้บ่อยมาก ในเวลาที่เกิดปัญหา หรือว่าเวลาที่เราต้องพบเจอใครที่ไม่ทำให้เรามีความสุขสักเท่าไหร่ ผมก็จะคิดว่า มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เดี๋ยวเขาก็จากเราไป ผ่านเหตุการณ์ตรงนี้ไป เราก็ไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว แล้วเราจะไปทุกข์ใจทำไม คำสอนนี้ของพระพุทธเจ้าก็สามารถช่วยให้ผมคิดได้”
และที่สำคัญยังช่วยให้เขาสามารถเปิดรับสิ่งใหม่ๆให้เข้ามาในชีวิตได้เสมอ โดยที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับทั้งสุขและทุกข์ในอดีต รวมถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
“ในเรื่องของการทำงานศิลปะ ผมคิดอยู่ทุกวันว่าจะทำอย่างไรให้ผลงานพัฒนาขึ้น และผลออกมาอย่างที่ตั้งใจ ส่วนคนรอบตัว ผมพยายามคิดอยู่เสมอว่า จะทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าอยู่กับเราแล้วเขามีความสุข และมีความรักให้กันทุกวัน โดยไม่ต้องรอถึงปีใหม่ เพราะเราสามารถทำมันได้เลยทันที แค่เราลองคิดในแง่บวก ผมว่าสิ่งดีๆก็เกิดขึ้นแล้ว”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 98 ม.ค. 52 โดยฮักก้า)