xs
xsm
sm
md
lg

อริยสัจ:

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หัดใหม่ๆ เราไม่เห็นจิตหรอก
จะเห็นแต่อาการของจิต สิ่งที่จิตปรุงขึ้นมา
แล้วก็เข้าไปติดกับสิ่งที่มันปรุงแต่ง
เหมือนแมงมุมโง่ๆ ที่ชักใยขึ้นมา แล้วไปติดใยตัวเอง


ครั้งที่ 008
การเห็นจิตตสังขารเมื่อเริ่มดูจิต

มีคนเคยถามหลวงปู่ดูลย์ว่าจะปฏิบัติสั้นๆ ทำยังไง ท่านบอก "ไม่ส่งจิตออกนอก" อย่าไปจับเงาในเครื่องฉายหนังน่ะ แล้วก็มาดูจิต ให้ดูจิต มาดูจิตดูใจ วันหนึ่งท่านบอกหลวงพ่อนะ แต่ก่อนหลวงพ่อไปเรียนกับท่านเจ็ดเดือน ท่านก็ชมแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องมาหาท่านแล้วก็ได้ ไปได้ด้วยตัวเอง แต่เราก็ไปนะเพราะรักท่านเคารพท่าน ถึงเวลาก็ไปหา สามเดือนสี่เดือน เก็บสตางค์ไว้นะ เก็บวันลาไว้ เป็นข้าราชการเงินก็น้อยนะ วันลาก็น้อย เก็บๆ ไว้นะ ไม่เคยไปที่อื่น หรอก ไปแต่วัด สามเดือนสี่เดือนได้ไปหนหนึ่ง ไปส่งการบ้านว่า หลวงปู่สอนผมไปอย่างนี้ ผมทำอย่างนี้มีผลอย่างนี้จะทำยังไงอีก ถูกหรือผิด ถ้าผิดให้หลวงปู่ช่วยบอกด้วย ถ้าถูก ทำยังไงจะดีกว่านี้อีก ท่านบอกรู้ไป ถูกแล้วไม่ต้องทำอะไร ให้รู้ลูกเดียว เนี่ยเราภาวนานะ ดูเข้ามาถึงจิตถึงใจแล้วมันจะเหมือนผลไม้ที่รอเวลาสุก เขาสุกงอมหอมหวานของเขาเอง ไปเร่งรัดเขาไม่ได้นะ เนี่ยเอามาบ่มอะไรอย่างนี้ก็ไม่ได้ งั้นดูเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจ ง่ายที่สุดเลย หัดใหม่ๆ เรายังดูจิตไม่ได้หรอก เราไม่เห็นจิตหรอก หัดใหม่ๆ เราเห็นแต่อาการของจิต เห็นจิตตสังขารคือ สิ่งที่จิตปรุงขึ้นมา เช่น เราเห็นความสุขความทุกข์ เห็นกุศลอกุศลเกิดขึ้นมา เห็นได้แค่นี้เอง ไม่ได้เห็นจิตหรอก เราเฝ้ารู้ความปรุงแต่งเหล่านี้ของจิตนะ รู้กิริยาอาการของเขาจนเรารู้ว่าจริงๆ จิตเป็นยังไง อาการของจิตหรือความรู้สึกนึกคิดที่ปรุงแต่ง ขึ้นมาเป็นอย่างหนึ่ง จิตเป็นอย่างหนึ่ง ค่อยเรียนรู้ไป จนจิตพ้นจากความปรุงแต่ง จิตมันปรุงแต่งนะ แล้วมันก็เข้าไปติดกับสิ่งที่ มันปรุงแต่ง มันเหมือนแมงมุมโง่ๆ ตัวหนึ่ง ชักใยขึ้นมาแล้วไปติดใยตัวเอง มันมีจริง หรือเปล่าไม่รู้นะไอ้แมงมุมโง่อย่างนี้น่ะ แต่ว่า หลวงพ่อเห็นเต็มห้องนี้เลยนะ แมงมุมตัวจริง มันจะติดหรือเปล่าไม่รู้ แมงมุมในห้องนี้มันก็ติดใยของตัวเองนั่นแหละ คอยรู้นะ คอยรู้ทันความปรุงแต่งของจิตใจไป วันหนึ่งก็พ้น

ฝึกเป็นกลางทั้งกับกิเสสแล้วก็ต้องเป็นกลางกับกุศลด้วยนะ ไม่เฉพาะเป็น กลางกับกิเลสอย่างเดียว คือ สุขทุกข์ดีชั่ว จิตเป็นกลางทั้งหมดเลย พอจิตเป็นกลางจิตไม่ดิ้น จิตไม่ปรุงแต่ง เห็นไหมพอถึงจุดหนึ่งจิตจะพ้นความปรุงแต่ง งั้นให้เรารู้สุขทุกข์ดีชั่ว อะไรเกิดขึ้นก็รู้ไปเรื่อยๆ ทีแรกรู้แล้วก็หวั่นไหวยินดียินร้าย ต่อมาเราก็รู้ทันจิตที่หวั่นไหวยินดียินร้ายอีกชั้นหนึ่ง รู้เข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ทีแรกมันรู้สภาวธรรม ทั้งหลาย แล้วก็เกิดความยินดียินร้ายขึ้นมา ให้รู้ทันลงไป พอจิตหมดจากความยินดียินร้าย ไม่ใช่ไปเพ่งให้หมดนะ ให้รู้เฉยๆ มันจะดับไปเอง ความยินดียินร้ายมันเกิดจากการที่เราไปคิดให้ค่าว่าไอ้นี่ดีไอ้นี่ไม่ดี มันก็เลยยินดียินร้ายขึ้นมา พอเราไปรู้ความยินดี ยินร้ายโดยไม่ไปหลงอยู่ในโลกของความคิด ไม่ได้ให้ค่าอะไรเพิ่มนะ ความยินดียินร้ายจะดับไปเองโดยอัตโนมัติ เพราะไม่มีต้นเหตุคือเราไม่ได้คิดปรุงไป ความยินดียินร้าย ก็ดับ ใจเป็นกลาง เราจะเห็นสุขทุกข์ดีชั่วเสมอ ภาคกันคือเกิดแล้วดับ ไม่ใช่เป็นกลางกับกิเลสอย่างเดียว เป็นกลางกับกุศลด้วย พอใจเราเป็นกลาง ใจจะไม่ดิ้น ใจไม่ดิ้น ใจจะเข้าถึงธรรม ใจที่ยังดิ้นนะ ใจมันหิวมันก็ดิ้นไปเรื่อย จิตใจมันดื้อมันด้าน มันมีความหิวขึ้นมามันก็ดิ้นนะ เราเอาอาหารไปให้มันกิน คือเราตอบสนองกิเลสไป มันยิ่งได้เรี่ยวแรงขึ้นอีก มันแข็งแรงขึ้น มันก็ยิ่งดิ้นแรงกว่าเก่า ดิ้นเท่าเก่ายังไม่มีปัญญาสู้เลย พอเราสนองมันเข้าไป มันมีแรงมากกว่าเก่า อย่างคนเคยทำชั่วจะทำชั่วได้เร็วกว่าเก่า อย่างคนแต่เดิมไม่เคยโกหกเนี่ย เวลาจะโกหกทีหนึ่งใจสั่นริกๆ ริกๆ มือเท้าเย็นหน้าแดง พอโกหกบ่อยๆ เฉยๆ นะ พูดไปเรื่อยๆ เฉยๆ เราชิน งั้นกิเลสจะยิ่งมีกำลังกล้าขึ้นๆ งั้นอย่าไปให้อาหารมัน ตัดอาหารมันเสีย ตัดอาหารมัน คือมีศีลให้ดีๆ รักษาศีลไว้ให้ดี ไม่ตอบสนองกิเลส และก็คอยตามรู้คอยตามดูเรียนรู้มันไป เรียนรู้เข้ามาให้ถึงจิตถึงใจเลย กิเลสก็ส่วนกิเลสสิ จิตก็ส่วนจิตสิ คนละอันกัน กิเลสก็คือสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา เหมือนแมงมุมชักใยขึ้นมา แล้วกิเลสนั่นแหละกลับมาครอบงำจิต แมงมุมไปติดใยตายแล้ว จิตมันแอบไปปรุงขึ้นมา ปรุงกิเลสขึ้นมานะ แล้วกิเลสก็กลับมามีอิทธิพลครอบงำจิต ต่อไปกิเลสก็มีกำลังกล้ามากขึ้นๆ คราวนี้บงการจิตได้ทั้งวันแล้ว เพราะฉะนั้นสู้กับกิเลส ถอยไม่ได้นะ ต้องสู้ตายนะ สู้กันด้วยถึงเลือดถึงเนื้อเลย

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/
สู้กับกิเลสด้วยสติปัญญา)
กำลังโหลดความคิดเห็น