xs
xsm
sm
md
lg

มองปัญหาด้วยปัญญา:ตัวตาย ตัวจริง ตัวแฝงคืออะไรและทำอย่างไรจึงจะละตัวตนได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปุจฉา
วิธีละตัวตน

ตัวตาย ตัวจริง ตัวแฝงคืออะไร จะเลือกใช้ตัวไหนดี และทำอย่างไรถึงจะเข้าถึงวิธีการละตัวตนได้

วิสัชนา

อืม ! จริงๆ แล้วมันเป็น กลบทปริศนาธรรม ถ้าจะบอกกันแล้ว ก็คือ ปัญหาที่ลองภูมิเชาวน์ปัญญา แต่ไม่เป็นไร ก็คือว่า มนุษย์จริงๆ แล้วมันเป็นความคิดของตน แล้วแต่ที่บัญญัติขึ้น ความหมายของมันไม่ได้มากมายอะไรกับการเกิดขึ้นแล้วดับไป

ทีนี้ถ้าเราเข้าใจกฎกติกาในไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นอย่างไรเราก็จะเข้าใจได้ว่า ตัวที่ตายได้นั้น ก็คือรูปร่างขันธ์ทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่ตายส่วนที่เป็นเรื่องจริงก็คือส่วนที่อยู่ในตัวตนของร่างกายที่เรียกว่า จิตวิญญาณ ส่วนที่เป็นตัวแฝงก็คือ กาม กิเลส ทั้งปวงที่เข้าครอบงำจิตวิญญาณเหล่านี้ และมีอำนาจเหนือวิญญาณเหล่านี้ ฉุดกระชากลากถูให้เราไปทำชั่วตีหัวชาวบ้าน ข่มขืนชาวบ้าน ขโมยของเขา หรือว่า ทำเรื่องเลวร้าย หรือเรื่องดีงามทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่า ตัวแฝง

เพราะฉะนั้น ตัวตาย ก็คือ ร่างกายมนุษย์ ตัวจริงก็คือจิตวิญญาณ ตัวแฝง ก็คือ กรรม การกระทำนั่นเอง

ส่วนวิธีการละตัวตนนั้น ก็คือ เมื่อเรารู้ว่ามีตัวตน และรู้สึกอึดอัดกับมัน ก็ไม่เห็นต้องมีคำถามว่า ทำอย่างไรต้องละ เพราะว่าเมื่อเรารู้ว่ามันมีตัวตน และรู้สึกอึดอัดกับมัน ก็แค่สลัดมันหลุดก็จบแล้ว ไม่ยึดถือ กับมัน ไม่ให้ความสำคัญกับมัน ไม่ปล่อยให้มันมาเป็นนายเรา ไม่ยกย่องมันจนตกเป็นทาส แค่นี้ก็น่าจะจบ

ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า อุปาทาน คือ ความยึดถือที่มี ถ้าตัดความยึดถือได้ทุกอย่างก็ไม่มีอะไร ไม่มีปัญหา แต่ทีนี้เราค่อนข้างจะไม่เข้าใจว่า ความยึดถือหน้าตาเป็นอย่างไร ตรงนี้ต่างหาก ความยึดถือ มันเป็นสิ่งที่แฝงมากับสิ่งที่ชอบก็มีสิ่งที่ชังก็มาก ความยึดถือทั้งสิ่งที่ชอบ และปฏิเสธสิ่งที่ชัง ทั้งสองอย่างนี้เรียกว่า อุปาทาน ถ้าเราตัดอุปาทานได้ คือ ปฏิเสธอุปาทาน ไม่สนใจอุปาทาน ไม่ปล่อยให้อุปาทานเป็นนาย และมีอำนาจเหนือเรา เราก็จะสลัดหลุดจาก ชาติ ชรา มรณะ ได้

วิธีการที่จะสลัดหลุดจากอุปาทานได้ ละอุปาทานได้ ไม่ให้ความสนใจอุปาทาน และไม่ปล่อยให้อุปาทานเป็นนายเรา ก็คือ ฝึกสติ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราฝึกสติ มีสมาธิกำกับอิริยาบถ การยืน เดิน นั่ง นอน เหล่านี้เป็นกระบวนการการเข้าไปตัดอุปาทานทั้งนั้น

ขอเล่าเรื่องอำนาจและศิลปะแห่งพระสติไว้เป็นข้อคิด คือครั้งหนึ่ง หลวงปู่ได้มาธุดงค์อยู่ในถ้ำไก่หล่น ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นิสัยหลวงปู่ชอบอยู่อย่างสงบ สร้างวัดไว้ใหญ่โตยังไม่อยากจะอยู่ในวัด ไม่อยากเป็นสมภารเจ้าอาวาส ไม่อยากจะเสวยสุขที่ไหน อยากมีอิสรเสรีภาพ แม้มีบางคนถามว่า หลวงปู่เป็นใคร มาจากไหน เป็นปัญหาโลกแตก คนที่อยู่กับหลวงปู่มา 5 ปี 10 ปี ยังไม่มีใครรู้ว่าหลวงปู่มาจากไหน ถ้าหากพวกเราจะทายกันว่า หลวงปู่เป็นหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นหลวงปู่จร พระศรีฯ พระโพธิสัตว์ ฯลฯ ถามว่ายอมรับไหม หลวงปู่ไม่ยอมรับ และไม่ยอมรับว่ามาจากไหน บางคนอาจสงสัยว่าเป็นพระเก๊หรือเปล่า หลวงปู่ไม่ได้เป็นหลวงปู่่เพราะที่ชาวบ้านยกย่องตั้งให้ แต่เป็นเพราะมีคุณธรรม คนเราถ้ารักจะคบกัน ขอแค่มีความจริงใจต่อกัน เอื้ออาทรซึ่งกันและกัน แค่นั้นก็น่าจะพอใจ จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องทราบชื่อเสียงเรียงนาม ที่มาที่ไป

ดังคำโบราณกล่าวไว้ว่า 'คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน' เปรียบดังสมัยพระพุทธเจ้า ยังมีพระชนม์อยู่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้สร้างเชตวันมหาวิหารถวายพระพุทธเจ้า เมื่อลูกสาวคนเล็กเจ็บป่วย เศรษฐีคนนี้จึงไปเยี่ยมลูกสาว ฝ่ายลูกสาวเห็นจึงถามว่า 'มาแล้วหรือน้องชาย' พ่อตกใจ ทำไมเรียกน้องชาย แสดงว่าอาการไข้คงหนักถึงขั้นประสาทหลอนแน่ จึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้า แต่ไม่พบพระพุทธเจ้า พบแต่พระสารีบุตร พระสารีบุตรยิ้มแล้วบอกว่า ที่ลูกสาวเขาเรียกนั้นถูกต้องแล้ว เพราะว่าคุณธรรมของท่านเป็นเพียงแค่พระโสดาบัน แต่คุณธรรมของลูกสาวท่านเป็นถึงขั้นพระสกิทาคามีแล้ว เพราะฉะนั้น เขาจึงควรเป็นพี่ใหญ่ของท่าน เป็นพี่ของท่านโดยคุณธรรม

ในศาสนานี้ คนแก่มีอายุ มิใช่แก่แต่ตัว แต่แก่ความรู้ ความเป็นครู เป็นครูให้เขาเห็น ทำทุกอย่างให้เป็น นั่นแหละคือ หลวงปู่ ถ้าอยากพิสูจน์เรื่องนี้ ก็ลองถามคนที่อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่ว่า ระยะเวลาเป็นเดือนเศษที่มาอยู่ที่นี่ หลายคนคงจะรู้ว่าหลวงปู่เป็นหลวงปู่เพราะอะไร หลายคนคงจะรู้ว่าหลวงปู่ไม่ได้เป็นหลวงปู่เพราะริมฝีปากชาวบ้านยกย่อง ที่พูดนี่มิใช่ต้องการยกตัวเอง หรือไม่ใช่ให้ใครยอมรับ แต่เพราะได้ยินพูดกันอยู่เป็นประจำ วิจารณ์กันอยู่เป็นปกติว่าเป็นพระเก๊หรือเปล่า มาหลอก

กันกินหรือไม่ มาหากินหรือเปล่า มาบอกบุญจริงหรือไม่ ฟังแล้วไม่ชอบใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาในชีวิต อุตส่าห์หนีมาอยู่ถึงยอดเขา หนีซองเรี่ยไร หนีซองฎีกา หนีตู้บริจาค ยังมาเจอในถ้ำอีก มีบางคนถามว่า ทำไมไม่ชอบเงิน ก็เงินคืองู หลวงปู่เคยพกเงินไหม หลวงปู่ไม่เคยพกเงิน มีพกแต่พระสติ มีพระสติอยู่ที่ไหนก็มีอันจะกิน อยู่บนยอด เขายังมีไอศกรีมกิน พวกเรามีพระสตางค์ แต่เมื่อไปอยู่บนเขาก็ไม่มีใครแบกของไปขายให้ เมื่อมีพระสติก็มีกินสมบูรณ์พูนสุข สดชื่นเบิกบาน ป่วยก็ไม่นาน มีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้รบกวนให้ชาวบ้านรำคาญจนเกินไป

เพราะการมีพระสติจะระแวดระวังให้กับตัวเอง ไม่เคย มีอุบัติเหตุ ไม่เคยหกล้มหัวทิ่ม ไม่เคยให้ใครมาถ่มน้ำลายรดหน้า ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำหรือประมาท ไม่สบประมาทคนอื่นเขาด้วยความขาดสติ

พระสติมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพระที่พวกเราห้อยคอเสียอีก ถ้าไม่มีพระสติอยู่ในหัวใจ ต่อให้แขวนพระสมเด็จไว้เต็มคออาจจะโดนใครตีตายเพราะไม่มีสติป้องกันตัว ไม่มีสติ ระแวดระวังตัว ไม่มีสติจะระลึกได้ว่า คำพูดใดควรพูด คำพูดใดควรงดพูด คำพูดอะไรควรแสดง และคำพูดอะไรไม่ควรแสดง กิริยาอะไรควรแสดง กิริยาอะไรไม่ควรแสดง

พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า ธรรมที่มีอุปการะมากและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ 'สติ' เพราะคนมีสติ คิดอะไรไม่พลาด ทำอะไรไม่ผิดพลาด คิดก็ไม่ผิด พูดก็ไม่ผิด เพราะอำนาจของพระสติดีกว่าพระสมเด็จ แม้คนแขวนพระเต็มคอแต่ขาดสติ เห็นนอนอ่านหนังสือพิมพ์ตายกลางถนนก็มากมี ตกหลุมตกท่อ ถูกตีตายเพราะความลำพอง ทรนง จองหอง อวดดี อยากลองของก็มากมาย

เพราะฉะนั้น อำนาจของพระสติ นอกจากทำให้เรามีกินแล้ว ยังมีงานดี มีชีวิตอย่างโปร่งใส สุขสบายตั้งแต่หัวจดเท้า เรียบร้อย เพียบพร้อมสวยงาม มีเสรีภาพและอิสระ คนมีสติสามารถกำจัดข้าศึกทั้งหลายทั้งปวง และเอาชนะอารมณ์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ จากตาที่พบเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส กายสัมผัสได้ เพียงขอให้มีสติประจำตัวและอยู่ในหัวใจ จะป้องกันระวังภัยได้ทั้งสิ้น ไม่ปล่อยให้อารมณ์ถูกฉุดกระชากลากถูไป

ผู้มีพระสตินอกจากปลอดภัย ยังทำอะไรได้ไกลกว่า พระสติอยู่อย่างไม่เปลืองสุขภาพ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิต ไม่โอ้อวดจนเกินไป มีคนพูดว่า หลวงปู่ขนาดนอนให้น้ำเกลืออยู่ยังหัวเราะได้ ก็เพราะอำนาจของพระสติ เราจะหัวเราะได้ทุกถิ่น ทุกที่ ทุกทาง ด้วยความสบายใจ เพราะเรามีสติป้องกันภัย ไม่ปล่อยเวทนากล้าแข็งเกินไปจนนอนละเมอเพ้อพก ร้องโอดโอยไม่เข้าท่า หากยังเป็นเช่นนั้น นั่นแสดงว่า ขาดสติ

พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ถ้าใครตายอย่างขาดสติก็เลวบัดซบ จะต้องตกนรกอเวจี เพราะฉะนั้นพวกเราจงรู้ไว้ว่า พระอะไรก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระสติที่อยู่ในหัวใจพวกเรา จงจำไว้ว่าถ้าขาดสติตัวเดียว ใครก็ช่วยไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเรามีพระสติ ไม่ต้อง พกพระอะไรเลย แม้แต่พระสตางค์ก็อาจจะไม่ต้องพก ถ้าเราทำดีเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ จนคนอื่นเขาเคารพเลื่อมใส กราบไหว้บูชา

ความเป็นหลวงปู่ มิใช่อยู่ที่รูปร่าง ดาบที่จะคม มิใช่อยู่ที่ลักษณะของดาบ แต่อยู่ที่เนื้อเหล็ก และอยากจะรู้ว่าเป็นเหล็กดี ไม่ดี ต้องตีดู บุคคลที่จะเป็นครูที่วิเศษไม่จำเป็นต้องแสดง มีวิชาโบราณเรียกแบบนี้ว่า...'บุคคลที่เข้าถึงขั้นไร้รูป ไร้ลักษณ์ ไร้ร่องรอย' ใครที่จะทำความรู้จักถึงบุคคล ที่เข้าถึงวิชานี้ยาก

หลวงปู่เคยกล่าวว่า คนในแผ่นดินนี้ ถ้าใครรู้จักหลวงปู่ละก็นั่นแหละยอดคน คนที่อยู่ใกล้ๆ หลวงปู่ เคยเรียกหลวงปู่ว่า 'มนุษย์ไร้อารมณ์' หลวงปู่บอกไม่ใช่ อย่างนี้ต้องเรียกว่า 'คนหมื่นอารมณ์' เดี๋ยวหลวงปู่หัวเราะได้ เดี๋ยวก็ทำให้คนร้องไห้ เดี๋ยวก็ทำให้เขาสบายใจ ใครที่อยู่ใกล้หลวงปู่จะไม่เครียดและไม่เสียสติ หลวงปู่ไม่อวดอำนาจ ไม่ไปแสดงออกตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นพระ ไม่เคยบอกใครว่าเป็นพระ ไม่เคยเขียนบอกไว้ที่หน้าผากเลยว่าเป็นพระ พระสติ ทำให้เรารักษาพระอยู่ข้างใน ความเป็นพระไม่ต้องแสดงมาก บางคนมาหาหลวงปู่แล้วอาจจะไม่พอใจกลับไป และพูดว่าพระอะไรพูดจาไม่ดี พูดทะลุหูซ้ายย้ายไปหูขวา พูดแบบขวานผ่าซาก อาจจะได้ยินแบบนั้นก็ได้ แต่ก็็สบายใจและภูมิใจที่ทำได้ หรือใครจะเอาแบบอย่างก็ได้

ชีวิตที่ขาดศิลปะ การจะพูดจา จะตำหนิติเตียน จะตักเตือนใคร ถ้าไม่มีศิลปะ ถึงด่า แบบไพเราะเขาก็จะคิดว่าหยาบ แต่ถ้าพูดด้วยความรู้สึกเอื้ออาทร เต็มไปด้วยความเมตตาการุณย์ และออกมาจากหัวใจบริสุทธิ์ ไม่ต้องไปปรุงแต่งให้เป็นมายากล ไม่ต้องไปอวดว่าเราพูดจาเพราะเสนาะหู พูดจาดี พูดให้คนอื่นเชื่อ ทุกอย่างไม่ว่าจะพูดอะไรออกมาจากใจแล้วละก็ ถึงจะฟังแล้วไม่รื่นหู แต่มันมากไปด้วยค่าและราคาของคำพูดและคนฟัง

ฉะนั้นจงจำไว้ว่า ความจริงจังเป็นสิ่งสำคัญ หลวงปู่เคยเขียนบทโศลกไว้ที่วัดอ้อน้อย ที่หน้าหอฉันว่า

'ลูกรัก สัจจะและความจริงใจ เป็นเครื่องเสริมสร้างบุคลิกภาพและความสำเร็จ'

ในชีวิตหลวงปู่ไม่เคยโกหก ใคร ไม่เคยโกหกแม้กระทั่ง ตัวเอง คำพูดที่เตือนเขา ไม่ว่าจะเป็นคำด่าหรือคำชม ก็พูดออกมาจากหัวใจที่นิยมแต่ความเป็นจริง เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจเพื่อที่จะให้คนเชื่อถือ จะเชื่อหรือ ไม่ก็ตาม หากเราก็พูดจริงอยู่แล้ว คนฟังจึงรู้สึกว่าเต็มไปด้วยความ เอื้ออาทร... ของจริง ไม่จำเป็นต้องไปเติมแต่งกลิ่นสีและเสียงให้ไพเราะ แต่ถ้าของโกหกมันจำเป็นจักต้องทำให้ผู้อืี่นเชื่อถือ จึงต้องเติมแต้มกลิ่นสีเสียง ให้สวยหรู งามสง่า แสนไพเราะ เพื่อให้ใครเขายอมรับและศรัทธา

ตลอดชีวิตหลวงปู่ไม่ได้บวชเพื่อให้ชาวบ้านมาศรัทธา ไม่ได้บวชเพื่อให้ใครเขามาเคารพบูชา ไม่ได้บวชเพื่อให้ใครมาสักการะกราบไหว้ หรือมาทำอะไรให้มากมาย ขอเพียงทำหน้าที่เป็นผู้เผยแผ่สัจธรรม ปลดปล่อยทาสของอารมณ์ทั้งหลายก็พอแล้ว การกระทำเหล่านี้รวมเรียกกันว่า 'หลวงปู่' ซึ่งใครก็สามารถจะเป็นได้ ขอเพียงมีความศรัทธา ความจริงใจ อย่างจริงจังต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะเป็นได้หมด ทั้งยังเป็นผู้ที่น่าศรัทธา มีเสน่ห์ มีความสุข มีความพร้อมที่จะให้ผู้อื่นมาเคารพเราได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ พระสติเป็นตัวสำคัญ อะไรจะศักดิ์สิทธิ์เท่าพระสติเป็นไม่มี

สรุปแล้ว พระสติเป็นอำนาจอันสำคัญ เป็นกำลังอันยิ่งใหญ่ ดลบันดาลให้เรามีชีวิตยืนยาวและเกริกไกร ยิ่งใหญ่ในหัวใจของใครได้เสมอ และยังความศรัทธาให้เกิดขึ้น ใครพบเห็นก็มีเสน่ห์ มีอำนาจ วาสนา มีบารมี มีพลังในตัวเรา และ ป้องกันภัยทั้งหลายได้...

จงมีชีวิตอย่างผู้มีสติ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้มีศิลปะ ละตัวตน ละตัณหา ละอุปาทาน ต่างๆ ได้ ก็ด้วยการมีพระสติ เป็นพระประจำใจนั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น