xs
xsm
sm
md
lg

อารมณ์ มีชัย คุณแม่นักสู้ แม่พิมพ์ของมวลชน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หนึ่งในหลากหลายผู้คนบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ร่วมกันออกมาให้ความรู้ความ ถูกต้อง เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยอันศักดิ์สิทธิ์นั้น มีชื่อ ‘อารมณ์ มีชัย’ ร่วมอยู่ด้วย

แม้สังขารจะไม่อำนวย ด้วยวัย 64 ปีที่ต้องเผชิญกับโรคมะเร็งร้าย แต่ด้วยจิตใจอันเข้มแข็งและแกร่งกล้า ที่พาให้เธอขึ้นเวทีและบอกถึงความรู้สึกว่า

“หมอบอกว่าจะอยู่ได้อีก 5 ปี ปัจจุบันผ่านไปแล้ว 2 ปี เหลืออีก 3 ปี หมอสั่งห้ามไม่ให้ไปไหน เราบอกหมอว่าถ้าให้ฉันนอนเฉยๆ ฉันอาจอยู่ได้อีก 20 ปี แต่ว่าทำอะไรให้สังคมไม่ได้เลย กินนอน ดูแลลูกหลาน แล้วฉันจะอยู่ไปทำไม หายใจทิ้งไปวันๆ ฉันมาทำงานกับประชาชน ถึงฉันอยู่ได้แค่ 10 วันแล้วฉันตาย ฉันก็มีความสุข”

‘อารมณ์ มีชัย’ ข้าราชการครูบำนาญ ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นทั้งแม่ดีเด่นแห่งชาติ สาขาผู้เสียสละและทำคุณประโยชน์เพื่อสังคมปี 2520 และยังเป็นครูต้นแบบด้านภาษาอังกฤษปี 2540

ตลอดชีวิตความเป็นครู และความเป็นแม่ผู้เสียสละ พร้อมทั้งหัวใจนักสู้ ผู้ไม่เคยห่างไกลธรรมะ ทำให้ห้องสนทนาฉบับนี้ ต้องไปคุยกับเธอ เพื่อค้นหาหลักธรรมในหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งแม่และครู

• เป็นโรคมะเร็งมากี่ปีแล้วคะ

ตอนที่เป็นมะเร็งเต้านม ก็ไม่รู้เลยนะว่าจะเป็น ร่างกายก็ปกตินี่แหละ จนวันหนึ่งไปตรวจร่างกายที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ หมอบอกเลยว่าถ้ามาช้ากว่านี้ 2 เดือน ก็ไม่ต้องรักษากันแล้ว ถึงวันนี้ก็ประมาณ 2 ปีแล้ว ตัดหน้าอกทิ้งไปหนึ่งข้าง และยังคงรักษาตัวตามที่หมอสั่งจนถึงตอนนี้

• ตกใจมั้ยคะ ตอนที่รู้ว่าเป็นโรคร้าย

ไม่เลย... มะเร็งเกิดขึ้นกับเรา มันดำรงอยู่ แล้วมันก็จะสลายไป เราบังคับอะไรไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวตนของเรา กายเราป่วย จิตอย่าป่วย เราต้องแยกกายกับจิตออกจากกันให้ได้ นั่นคือ หลักธรรมะ เจ็บก็ให้รู้ว่าเจ็บ มีคำว่า “รู้” คำเดียว หมอเคยถามว่าอาการของดิฉันที่ดีขึ้นไม่ทรุดลงเป็นเพราะอะไร ดิฉันก็ตอบหมอไปเลยว่า เราตายก่อนตายสิ คือ ตายใน “เป็น” น่ะ อย่ารอให้ตาย ก็คือ เรารู้ว่าชีวิตนี้เราอยู่ได้ไม่ยาว ความตายอยู่ใกล้เราเสมอ เราต้องคิดว่าชีวิตเรา มันก็เหมือนขับรถ สักวันมันก็ต้องสุดถนน ซึ่งเราไม่รู้ว่าตรงไหน ที่เราจะต้องเปลี่ยนถนนสายใหม่ เช่นเดียวกันวันหนึ่งเราก็ต้องเปลี่ยนภพภูมิใหม่

เพราะฉะนั้น แต่ละวันที่จะผ่านไป เราทำทุกวันให้ดีที่สุด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ต้องคิดถึงพรุ่งนี้ และไม่ต้องคิดถึงเมื่อวาน ถ้าวันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ดี พอถึงพรุ่งนี้ เมื่อวานก็ต้องดี เพราะพอถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็เป็นเมื่อวาน ฉะนั้น ต้องทำให้ตัวเองตายก่อนตาย คือ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่เอามายึดมั่น เพราะเราไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย นั่นคือวิธีการดูแลสุขภาพ ต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนสัตว์โลกอื่นๆ พูดง่ายๆ ว่า พยายามกินในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง กิน ผัก ผลไม้ ปลา ไม่กินสัตว์ใหญ่ แล้วก็พยายามกินให้พอรู้ว่าอิ่ม แล้วก็หยุด

• เป็นการใช้หลักธรรมในพุทธศาสนามาเยียวยาโรคร้าย

ค่ะ..เรารู้แล้ว เราปฏิบัติ ธรรมะก็คือธรรมชาติ เมื่อเรารู้จักธรรมชาติ เราต้องรู้จักการปฏิบัติตัวต่อธรรมชาติด้วย ก็คือ กฎของธรรมชาติ เราต้องรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร แล้วก็รับผลของการปฏิบัติ จึงทำให้เรารู้ว่า อะไรทุกอย่าง มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติ บังคับอะไรไม่ได้สักอย่าง ถึงมนุษย์จะเก่ง สร้างเทคโนโลยีขึ้นมามากมาย แล้วในที่สุด ธรรมชาติก็มาลงโทษมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์เอกของโลก

ตรงนี้พอเราอยู่ใกล้ธรรมะ ใจเราจะเบิกบาน ใจเราจะบริสุทธิ์ ก็ไม่มีความกลัว ไม่มีความเครียด รู้ว่าเป็น รู้ว่าดำรงอยู่ ก็ยอมรับ ผ่าตัดไป ฉายแสงไป รักษาทุกอย่าง เกือบครบเลยนะ ผ่าตัดนมทิ้ง ตัดต่อมน้ำเหลืองทิ้ง ฉายแสง 25 ครั้ง คีโมอีก กินฮอร์โมน รวมแล้ว ราว 2 ปีแล้ว

เมื่อ 4-5 เดือนที่แล้ว หมอมาบอกอีกว่า มะเร็งลามมาที่ตับกับปอด เราก็บอกไปว่าจะเกิดก็ให้มันเกิดไปสิ ก็รักษากันไป ตอนนี้ก็เหลือหน้าอกข้างเดียว หมอบอกว่า บางคนทำใจไม่ได้ ที่เหลืออยู่ข้างเดียว เราก็ยังบอกหมอเลยว่า หมอ...ตอนฉันเกิดฉันก็ไม่ได้ขอมันมา อย่างผมร่วง เราก็บอกว่าเห็นมั้ย ผมของเรา เราก็บังคับมันไม่ได้ ขนาดใช้แชมพูอย่างดี ถ้ามันอยากจะร่วง มันก็ร่วง ปล่อยให้มันไป บังคับกันไม่ได้

• เรื่องธรรมะนี่ อาจารย์ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่ เด็กเลยหรือเปล่าคะ

ดิฉันเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ยากลำบาก ที่บ้านเรามีฐานะดี เป็นเหมือนคหบดีอยู่ที่นครศรีธรรมราช ทางบ้านทำการค้า เป็นศูนย์รวมของการค้าขายสินค้า จะขายข้าว ก็ต้องมาที่บ้านเรา จะซื้อของชำ ซื้อเกลือ ซึ่งในสมัยนั้นเป็นของสำคัญ ก็ต้องมาซื้อที่บ้านเรา ดิฉันเห็นสิ่งเหล่านี้มาตลอด แล้วตรงนี้เอง แม้ว่าที่บ้านดิฉันจะไม่ได้เอาเปรียบใคร แต่ดิฉันก็จะเห็นการเอารัดเอาเปรียบอยู่เรื่อยๆ เพราะในการค้ามันก็ต้องมีกำไร

ขณะที่ดิฉันเองก็ได้รับการปลูกฝังมาจากที่บ้านตั้งแต่ยังเล็กว่า ที่นาทั้งหลายที่เรามีตั้งหลายร้อยไร่ เราทำเองไม่ไหวหรอก คนที่เขาไม่ได้มีมากอย่างเรา เราก็ยินดีแบ่งบางส่วนให้เขาไปทำมาหากิน ถึงเวลาพอเกิดดอกออกผลเขาก็นำบางส่วนกลับมาให้ และเราจะไม่คิดว่าเป็นบุญคุณต่อกันแล้วจะต้องไปเอารัดเอาเปรียบ คือ พ่อแม่จะสอนอยู่เสมอ ว่าให้รู้จักช่วยเหลือคน มีข้าวก็ต้องหุงติดหม้อเอาไว้ มีปลาเค็มก็ต้องเอามาแขวนไว้ ใครไปใครมาฝากท้องไว้ได้ ดิฉันจะถูกสอนมาว่าให้รู้จักเอื้อเฟื้อ แม่จะบอกตลอดว่าที่เราสุขสบายอย่างทุกวันนี้ เราทำคนเดียวไม่ได้ คนกลุ่มนี้เขาไม่ใช่ลูกจ้างเรานะ แต่ที่เรามีฐานะขึ้นมาได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคนกลุ่มนี้เขาทำให้เรา

คือ พ่อแม่จะสอนให้คิดถึงคนที่เขาลำบากกว่าเรา ช่วยได้ก็ช่วยเขา ให้ได้ก็ให้เขา และการทำบุญทำทานนั้น จริงๆมันมีหลายแบบ ไม่จำเป็นต้องทำที่วัดอย่างเดียว การมองว่าอะไรถูกหรือผิด ก็ต้องยึดเอาศาสนาเป็นหลัก ถ้าถูกต้องตามที่พระท่านเทศน์สอน เราก็ต้องยึดเอาแบบนั้น แม่สอนมาแต่เด็ก ก็เรื่อง อิทธิบาท 4 อริยสัจ 4 พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4 ดิฉันเองก็จะสอนลูกทุกคนอยู่ 4 อย่างนี้เหมือนกัน สำคัญที่สุดคือ พรหมวิหาร 4 ซึ่งจะมีเมตตา-เห็นคนตกทุกข์ได้ยากก็ช่วยเหลือเขา กรุณา-ก็ทำให้เขาเป็นสุข หากใครที่ยังมีความทุกข์เรื่องอะไรอยู่ ก็ต้องทำให้เขาเป็นสุข มุทิตา-มีความยินดีกับเขาด้วยที่เขามีความสุข อุเบกขา-ไม่ใช่วางเฉย ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งไปช่วย ปล่อยให้เขาช่วยตัวเองก่อน ถ้าเขาไม่ไหวแล้ว เราก็เข้าไปช่วย ไม่นิ่งดูดาย เพราะฉะนั้นเวลาที่ดิฉันเลี้ยงลูก ก็เลี้ยงพวกเขาด้วยหลักธรรมอย่างนั้น

• บทบาทความเป็นแม่เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่คะ และเน้นอะไรเป็นพิเศษในการเลี้ยงลูกตามแบบฉบับของอาจารย์

ดิฉันแต่งงานเมื่อปี 2510 กับครูเจริญ มีชัย(สามี) ซึ่งเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษ และมีอุดมการณ์เหมือนกัน พอแต่งงานได้ 2 ปี ก็มีลูกชายคนโต ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ดิฉันเริ่มชีวิตความเป็นครูด้วย จากนั้นอีก 2 ปี มีลูกคนที่ 2 และอีก 2 ปี ก็มีลูกคนที่ 3 ตอนนี้แต่ละคนโตเป็นผู้ใหญ่ แต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว และยังคงทำงานเพื่อประชาชนและสังคม

ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง สามีจะบอกเสมอว่า เราไม่มีเงินเยอะนะ แต่เราสามารถให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกได้ นั่นก็คือทุนทางสังคม ซึ่งหมายถึง สอนให้ลูกเป็นคนมีคุณธรรม ไม่ได้เน้นว่าต้องเลี้ยงให้เรียนสูงๆ ในโรงเรียนชื่อดัง เพราะเราไม่ได้ต้องการเน้นตรงนั้น และไม่บังคับให้เรียนด้วย อยากจะเรียนอะไร เรียน แต่ต้องมีคุณธรรม รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

เรื่องคุณธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งเขาต้องรับรู้ความเป็นชุมชนและเพื่อนร่วมโลกไปพร้อมกันด้วย เราในฐานะแม่ ต้องสร้างความภาคภูมิใจให้ลูก ต้องหมั่นสอนให้เขารักประชาชน คือ เวลาที่เขาอยู่บ้าน ตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้ว พอมีคนกวาดขยะมาหน้าบ้าน เขาจะคอยดูว่า คนกวาดขยะมา แล้ววิ่งไปเอาน้ำในตู้เย็นใส่แก้วไปให้คนกวาดขยะ ดิฉันจะสอนลูกตลอดว่า ถ้าเราทำดี ไม่ต้องอาย แสดงให้เขารู้ว่าเราภูมิใจในตัวเขาเมื่อเขาทำดี การที่ลูกเราคิดได้ และกล้าทำในสิ่งดีนั้น ดิฉันจะไม่ไปบอกหรือบังคับให้เขาทำ นะ แต่ใช้วิธีทำให้เขาดูเป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะการรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ชีวิตเราต้องเป็นแบบอย่างให้เขาเรียนรู้เอง ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ให้มาคุยกัน ดิฉันจะคอยให้คำปรึกษาแนะนำ เปิดโอกาสให้กับเขา แล้วลูกเราก็จะกล้า

• ในบทบาทแม่ของลูก และครูของนักเรียน อาจารย์คิดว่าแตกต่างกันมั้ยคะ

ดิฉันยึดคุณธรรมเป็นหลักในการสอนเด็ก รักเขา หวังดีต่อเขา ซึ่งก็ไม่พ้นหลักพรหมวิหาร 4 ที่ใช้สอนกัน ไม่ว่าลูกเราหรือลูกใคร ไม่ว่าจะบทบาทแม่หรือครู หรือจะเคยได้รับยกย่องให้เป็นครูต้นแบบเมื่อปี 2540 อย่างที่เคยได้รับหรือไม่ก็ตาม แต่โดยความตั้งใจของดิฉัน ความเป็นแม่อยู่ในความเป็นครู แม่บางคนอาจจะไม่ได้เป็นครู แต่ในความเป็นครู ทุกคนต้องมีความเป็นแม่อยู่ด้วย ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นแม่พิมพ์ของชาติ

เพราะฉะนั้นจะเป็นแม่ของลูก หรือว่าเป็นแม่พิมพ์ของชาตินั้น ไม่แตกต่างกันเลย เพราะว่าสิ่งที่เราใช้สอนให้ลูกศิษย์ของเรา มันไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ในตำรา ในทุกวิชาเราสามารถสอดแทรกธรรมะเข้าไปได้ สอนให้เขารู้จักใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นลูกเรา หรือลูกคนอื่นก็ต้องสอนเหมือนกัน เราจะไปสอนลูกคนอื่นอย่างหนึ่ง ลูกเราอีกอย่างหนึ่ง มันจะเป็นสองมาตรฐาน แล้วลูกเราจะสับสน เออ ทำไม..แม่เราเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราก็ปฏิบัติกับคนอื่นเหมือนกับที่เราปฏิบัติต่อลูกของเรา

• แล้วในยุคนี้ล่ะคะ ครูควรสอนเด็กๆ อย่างไร

อยากบอกว่า เด็กในยุคนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราไปโทษเด็กอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสภาพแวดล้อม สังคม มันก็หล่อหลอมให้เขาออกมาไม่ดีไปบ้าง แต่เราเป็นครู ต้องไม่ลืมว่า เราเป็นแม่พิมพ์ เด็กจะออกมาอย่างไรนั้น ส่วนสำคัญอยู่ที่พิมพ์ ครูต้องเป็นพิมพ์ที่ดี อย่าเบี้ยว อย่าบิด ถ้าไม่อยากทำอาชีพนี้ ก็อย่าเข้ามา แต่ถ้าอยากทำอาชีพนี้ ก็ต้องเป็นแม่พิมพ์ที่ดี ต้องเป็นเทียนไขที่ส่องแสงสว่าง เพราะเทียนไขมลายแท่ง เปล่งแสงอันอำไพ ใช่มั้ย..เป็นเทียนไข ก็ต้องยอมเผาไหม้ตัวเอง อย่าหวังความร่ำรวย แล้วก็อย่าทำตัวให้ห่างเหินมวลชน และการเป็นครูต้องใช้ชีวิตแบบพอเพียงด้วย เพื่อเป็นแบบอย่างแก่นักเรียน

• รางวัลแม่ดีเด่นแห่งชาติที่อาจารย์ได้รับนั้น คิดว่ามาจากอะไรคะ

คิดว่า เป็นบทบาทของการช่วยเหลือสังคม การให้โอกาสทางการศึกษากับเด็กๆ ในฐานะครู และขณะเดียวกันเราเอง ก็เป็นแม่ของลูกๆด้วย ซึ่งในใบประกาศเกียรติคุณ เขียนไว้ว่า เป็นแม่ดีเด่นแห่งชาติ พ.ศ.2520 สาขาผู้เสียสละและทำคุณประโยชน์เพื่อสังคม พอได้รับรางวัลมา เราก็ยิ่งต้องตั้งใจทำให้บทบาททั้งแม่ของลูก และแม่พิมพ์ของชาติที่เราเป็นอยู่ ดีขึ้นกว่าเดิมอีก

• เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติด้วย อาจารย์อยากพูดอะไรในวันนี้บ้างคะ

อยากจะขอกราบแทบพระบาทของพระองค์ท่าน ขอให้ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ อยู่เป็นมิ่งขวัญของประชาชนไปนานๆ ที่ผ่านมารู้สึกซาบซึ้งในความเสียสละของพระองค์ท่านที่มีต่อพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของแม่ทั้งประเทศ ถึงแม้จะเป็นถึงพระราชินี แต่ก็มิได้ละเว้นที่จะดูแลพระราชโอรสพระราชธิดาด้วยพระองค์เอง

ก็อยากให้เราทุกคนได้ช่วยกันดูแลบุตรหลานของตนอย่างดี และปฏิบัติตนตามพระราชเสาวนีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการอนุรักษ์ป่าไม้ ต้นน้ำ และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่พระองค์ท่านทรงเป็นห่วงนะคะ

ซึ่งส่วนตัวก็ได้ยึดเอาแบบอย่างของพระองค์ท่านมาใช้กับตัวเองด้วย คือเรื่องการเสียสละเพื่อครอบครัว เสียสละเพื่อประชาชน สังคม เมื่ออยู่บ้านในฐานะแม่ เราก็เป็นแม่ที่ดีของลูก ไปโรงเรียนเราเป็นคุณครู เราก็เป็นแม่ของนักเรียน โดยการทำหน้าที่ของตัวเองในทุกๆบทบาทให้ดีที่ สุดค่ะ

• แล้วสิ่งที่จะฝากถึงคุณแม่ท่านอื่นๆ ล่ะคะ

อย่ามุ่งหวัง ขยันทำงาน สร้างบ้าน เก็บเงินฝากในธนาคารไว้ให้ลูกอย่างเดียว ซึ่งมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย จงสร้างทุนทางสังคมให้กับลูก นั่นก็คือ จงให้ธรรมะกับลูก จำไว้ว่าธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยากเพราะไม่ปฏิบัติ ธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติ อย่าไปเรียกร้องว่า ลูกต้องมาเคารพเรา ลูกต้องรักเรา แล้วเรามานั่งเสียใจ เมื่อลูกไม่เอาใจใส่ต่อเรา ที่สำคัญเราต้องปฏิบัติให้เขาดูเป็นแบบอย่าง เรามีพ่อ มีแม่ เราก็ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเรา เรามีญาติพี่น้อง เราก็ปฏิบัติต่อญาติพี่น้องของเรา ในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน

และที่ขาดไม่ได้ คือ เรื่องศีล 5 กับ พรหมวิหาร 4 แค่นั้นพอ เรารักลูก ก็จะเมตตาลูก อยากให้ลูกพ้นทุกข์ ใช่มั้ย และเรากรุณาต่อลูก อยากให้ลูกเป็นสุข แล้วเราก็ยินดีเมื่อลูกมีความสุข แต่ไม่ใช่ความสุขของเรานะ ไม่ใช่ว่า การที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ พ่อแม่มานั่งเสียใจ แล้วก็ลงโทษลูก ให้ลูกต้องแข่งขัน ยัดเยียดลูกให้ไปเรียนกวดวิชา ทำให้เครียดกันทั้งครอบครัว จนเด็กไม่มีเวลาเป็นเด็กเลย เรียนแต่หนังสืออย่างเดียว จนนึกว่าในโลกนี้มีแต่ห้องเรียน ไม่ได้นึกเลยว่า ในโลกนี้มีสิ่งรื่นรมย์อีกเยอะมาก อยากให้ลองถามดูซิว่าเขาอยากทำอาชีพอะไร ให้เขาเรียนรู้เพื่อสร้างงานให้กับตัวเอง อย่าให้เขาเรียนรู้เพื่อจะหางาน อยากฝากไปถึงแม่ทุกคนเท่านี้แหละค่ะ

• สำหรับผู้ที่เป็นลูกๆทั้งหลาย อาจารย์อยากฝาก อะไรเป็นพิเศษถึงพวกเขาบ้าง

อยากฝากว่า ไม่ต้องสะสมอะไร ให้สะสมแต่ความดี สะสมธรรมะให้ติดตัว เพราะของที่สะสมไว้น่ะ พอตายแล้วมันเอาไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ต้องขออะไรจากพระ ดิฉันจะขอจากพระอย่างเดียวก่อนนอน คือ เกิดภพหนึ่งภพใด ภูมิหนึ่งภูมิ ใด ขอให้ได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ขอให้ได้พบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้ได้รู้จักควบคุมอารมณ์ และใจตัวเอง ให้อยู่ในความเป็นมนุษย์โสสิ ที่ไม่ได้อยู่ในกามกิเลส ที่ต้องการแต่ความสุข

ชีวิตคนเรามันสั้น เราไม่รู้วันตายอยู่ตรงไหน อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ทำดีได้ทำไปเลย สิ่งนี้ไม่มีใครให้เราได้ ถึงตายแล้ว ลูกหลานทำบุญให้ ก็ไม่ได้รับ แต่เราต้องทำตัวเองให้ดี สำคัญที่สุดก็คือรู้จักให้และรู้จักรักคนอื่น รักในทุกสิ่ง ทุกอย่าง รักธรรมชาติ รักสิ่งแวดล้อม รักสัตว์ รักธรรมชาติ รักประชาชน รักประเทศชาติ

.........

ทุกวันนี้ ครูอารมณ์ยังทำงานเป็นประธานมูลนิธิบ้านคุ้มครองเด็กภาคใต้ ซึ่งดูแลเด็กที่ถูกข่มขืน ทำร้ายทารุณ และดูแลเด็กที่ตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ครูอารมณ์จึงยังคงเป็นแม่และเป็นครูที่อยู่ในหัวใจของลูกๆและเด็กๆ อย่างไม่เสื่อมคลาย

คารวะคุณแม่อารมณ์ มีชัย หญิงใจเพชรใจเด็ดเดี่ยว

เหลือช่วงอันสั้นนักเกินจักคาด
แต่ใจแกร่งแข็งฉกาจเกินชาติทหาร
สั่งสอนทั้งสั่งสมอุดมการณ์
ด้วยวิญญาณหญิงแท้เพศแม่เรา
เต็มความงามความรักเต็มมรรคผล
เพื่อให้คนผ่านข้ามพ้นความเขลา
ดุจแสงสาดกราดฉายทำลายเงา
พาทุกเท้าทุกทางสืบสร้างธรรม
รู้ศัตรู รู้มิตร รู้ผิดถูก
ห่วงหลานลูกข้างหลังจะพลั้งถลำ
เป็นแบบอย่างสร้างวิถีการชี้นำ
สำหรับจำแล้วจดเป็นบทเรียน
ว่าชีวิตนิดน้อยค่าด้อยนัก
เมื่อหาญหักโหมแรงการแปลงเปลี่ยน
เมื่อยินยอมหลอมแท่งเพิ่มแรงเทียน
เมื่อขับเฆี่ยนคนโฉดหิวโหดร้าย
ก่อนเหนื่อยหนักพักหลับ... ขอรับรู้
การตื่นสู้จะสานทอดตลอดสาย
จะหนุนนับทับทวีไม่มีตาย
เต็มแสงพรายพราวพร่างเหนือทางเดิน
เหลือช่วงอันสั้นนักเกินจักคิด
แต่มวลมิตรไม่สิ้นเสียงสรรเสริญ
เป็นเสียงซึ่งซึ้งธรรมทอดดำเนิน
ทอดไกลเกินกว่าไกลถึงใจโพ้น!

คมทวน คันธนู กวีซีไรต์ 7/7/51

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 93 ส.ค. 51 โดย ภาษิตา)

กำลังโหลดความคิดเห็น