xs
xsm
sm
md
lg

เติมใจให้กัน:

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ครั้งที่ 84
อัศจรรย์แห่งธรรมวินัย
เทียบด้วยความอัศจรรย์แห่ง
มหาสมุทร 8 ประการ

มีเรื่องซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้ช่วยที่ดีและความกล้าหาญเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของมหาโมคคัลลานะคือ คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทของวิสาขามิคารมารดา ในบุพพาราม นครสาวัตถี วันอุโบสถวันหนึ่ง พระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางภิกษุสงฆ์เพื่อทรงแสดงโอวาทปาฎิโมกข์ แต่ทรงประทับนั่งเฉย อยู่จนล่วงปฐมยามไปแล้ว พระอานนท์ เถระได้ลุกจากอาสนะกระทำผ้าห่มเฉวียนบ่า ประคองอัญชลีกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

'พระองค์ผู้เจริญ ราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามล่วงไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งรอนานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงพระปาฏิโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด'

เมื่อพระอานนท์กราบทูลดังนี้ พระศาสดาก็ยังคงประทับนั่งเฉยอยู่ จนล่วงมัชฌิมยาม พระอานนท์ก็กราบทูลดังนั้นอีก พระตถาคตเจ้าก็คงประทับเฉยจนล่วงปัจฉิมยาม จวนอรุณรุ่ง พระอานนท์ได้กราบทูลอีกครั้งหนึ่งพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า

'อานนท์! ในที่ประชุมสงฆ์นี้ มีภิกษุผู้ไม่บริสุทธิ์รวมอยู่ด้วย'

เมื่อได้ฟังพระพุทธดำรัสเพียงเท่านี้ พระมหาโมคคัลลานะได้กำหนดจิตพิจารณาภิกษุสงฆ์ซึ่งร่วมประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้น ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งผู้ทุศีล มีธรรมทราม มีความประพฤติไม่สะอาดน่ารังเกียจ มีการกระทำซึ่งปกปิดไว้ มิใช่สมณะ ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารี ปฏิญาณตนว่าเป็นพรหมจารี เป็นคนเน่าใน มีกิเลสร้าย สางได้ยากเหมือนกองหยากเยื่อ นั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์

พระมหาโมคคัลลานะเข้าไปพูดกับภิกษุนั้นว่า 'ลุกขึ้นเถิดอาวุโส พระผู้มีพระภาคเจ้าเห็นท่านแล้ว' แต่ภิกษุนั้นคงนั่งเฉย พระมหาโมคคัลลานะพูดดังนั้นถึง 3 ครั้ง ภิกษุผู้ทุศีลก็ยังคงนั่งเฉย ทำเป็นไม่รู้ไม่เข้าใจ

พระมหาโมคคัลลานะ ผู้เลิศทางฤทธิ์ตัดสินใจจับแขนภิกษุรูปนั้นคร่าออกไปทิ้งไว้ที่ภายนอกซุ้มประตูแล้วใส่กลอนโรงอุโบสถ แล้วกราบทูลพระศาสดาว่า

'ข้าแต่พระสุคตเจ้า! บุคคลผู้ไม่บริสุทธิ์ ข้าพระองค์คร่าออกไปแล้ว บัดนี้ภิกษุบริษัทบริสุทธิ์แล้ว ขอพระองค์จงแสดงพระปาฏิโมกข์ แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด'

พระศากยมุนีตรัสว่า 'อัศจรรย์จริง โมคคัลลานะ หนักหนาจริง โมคคัลลานะ โมฆบุรุษผู้ว่างเปล่าจากคุณธรรมนั้น ถึงกับต้องคร่าแขนกันออกไป' ดังนี้แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นั้นว่า

'ภิกษุทั้งหลาย! ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจักไม่ทำอุโบสถ ไม่สวดปาฏิโมกข์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเธอนั่นแหละจงทำอุโบสถ สวดปาฏิโมกข์กันเอง ภิกษุทั้งหลาย! เป็นการไม่เหมาะสม ไม่สมควรที่ตถาคตจะพึงทำอุโบสถ สวดปาฏิโมกข์ร่วมกับบริษัทผู้ไม่บริสุทธิ์'

พระศาสดาตรัสชี้แจงถึงเรื่องที่ไม่ทรงสวดปาฏิโมกข์ดังนี้แล้ว ตรัสถึงความอัศจรรย์แห่งธรรมวินัย 8 ประการ เทียบด้วยความอัศจรรย์แห่งมหาสมุทรดังต่อไปนี้

1. มหาสมุทรลาดลงตามลำดับ ลึกลงตามลำดับไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น มีการศึกษาและการปฏิบัติการบรรลุผลตามลำดับ

2. น้ำในมหาสมุทรย่อมไม่ล้นฝั่ง (แม้จะมีสายน้ำจากแหล่งต่างๆ ไหลลงสู่มหาสมุทรเป็นอันมาก) ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น สาวกของเราย่อมไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แล้ว แม้จะต้องสูญเสียชีวิตก็ตาม

3. มหาสมุทรย่อมไม่อยู่กับซากศพ ย่อมซัดสาดซากศพขึ้นฝั่งโดยเร็ว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น บุคคลใดทุศีล มีธรรมทราม สงฆ์ย่อมไม่ยอมอยู่ร่วมกับบุคคลเช่นนั้น ย่อมประชุมกันขับไล่เสียจากหมู่ ภิกษุผู้ทุศีลเช่นนั้นแม้อยู่ท่ามกลางสงฆ์ก็ชื่อว่าอยู่ห่างไกล แม้สงฆ์ก็ชื่อว่าห่างไกลจากบุคคลเช่นนั้น

4. มหานทีทั้งหลาย เมื่อไหลลงสู่มหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามของตน ถึงซึ่งการนับว่า 'มหาสมุทร' ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น วรรณะทั้งหลาย อาทิ วรรณะกษัตริย์เมื่อออกบวชแล้วย่อมละนามและโคตรเดิมของตน ถึงซึ่งการนับว่า 'เป็นสมณศากยบุตร'เสมอเหมือนกันหมด

5. สายน้ำจากแหล่งต่างๆ ไหลลงสู่มหาสมุทรอยู่เสมอ (ทั้งจากฟากฟ้าและจากพื้นดิน) แต่ความพร่องหรือความเต็มย่อมไม่ปรากฏ ฉันใด ในธรรมวินัยก็ฉันนั้น แม้จะมีภิกษุเป็นอันมาก ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุไปแล้ว แต่ความพร่องหรือความเต็ม หาปรากฏแก่นิพพานธาตุนั้นไม่

6. มหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม ฉันใด ธรรมวินัยก็ฉันนั้น มีรสเดียวคือ วิมุตติรสความหลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวง

7. มหาสมุทรมีรัตนะเป็นอันมาก ฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น มีรัตนะคือธรรมเป็นอันมาก อันเป็นไปเพื่อความสุขความเจริญทั้งปัจจุบันและภายหน้า

8. มหาสมุทร เป็นที่อยู่อาศัยของภูต คือสัตว์ใหญ่ๆ เป็นอันมากฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น เป็นที่อาศัยอยู่ของภูต คือบุคคลใหญ่ๆ เป็นอันมาก เช่นพระโสดาบันเป็นต้น

ภิกษุทั้งหลาย! ภูตคือสัตว์ทั้งหลายได้เห็นความมหัศจรรย์แห่งมหาสมุทร 8 ประการนี้แล้ว ย่อมอภิรมย์ต่อมหาสมุทรนั้นฉันใด ภูตคือบุคคลทั้งหลายมีพระโสดาบันเป็นต้น ได้เห็นความอัศจรรย์แห่งธรรมวินัย 8 ประการนี้แล้ว ย่อมอภิรมย์พอใจต่อธรรมวินัยนี้ ฉันนั้น

พระศาสดาทรงเปล่งพระอุทานในขณะนั้นว่า

'กิเลสย่อมครอบงำกำซาบภิกษุผู้ปกปิดอาบัติไว้ แต่ไม่ครอบงำกำซาบภิกษุผู้เปิดเผยอาบัติ เพราะฉะนั้นควรเปิดเผยอาบัติ ด้วยอาการอย่างนี้ กิเลสจักครอบงำไม่ได้'

ดูก่อนผู้แสวงสันติวรบท! ตั้งแต่บัดนั้นมา พระศาสดามิได้ทรงทำอุโบสถสวดปาฏิโมกข์ร่วมกับภิกษุทั้งหลายอีกเลย แต่ต้องเข้าใจ อย่างหนึ่งว่า พระปาฏิโมกข์ที่พระศาสดาทรงสวดนั้นหมายถึงพระโอวาทปาฏิโมกข์ไม่ใช่ภิกขุปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกข์คือพระธรรมอันเป็นหลักสำคัญ ส่วนภิกขุปาฏิโมกข์คือพระวินัย อันเป็นหลักให้ภิกษุอยู่ร่วมกันโดยไม่รังเกียจกันในเรื่องศีลเรื่องวินัย
กำลังโหลดความคิดเห็น