xs
xsm
sm
md
lg

ที่มาของการ ‘บวช’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เดือนกรกฎาคมนี้ มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอยู่ ๒ วัน คือ วันที่ ๑๗ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นการบูชาในเดือน ๘ ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาที่เรียกชื่อว่า ‘ธัมมจักกัปปวัตนสูตร’ แก่ปัญจวัคคีย์ ๕ รูป คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ

การแสดงธรรมครั้งนี้ทำให้โกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม พระพุทธเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า

“อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ แปลว่า โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ”

ดังนั้น คำว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” จึงเป็นชื่อของท่านนับแต่นั้นมา และท่านอัญญาโกณฑัญญะก็ทูลขออุปสมบท เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแด่ท่านโกณฑัญญะ ซึ่งมีพระสังฆรัตนะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก และครบเป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นครั้งแรกเช่นกัน

ส่วนในวันที่ ๑๘ ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าพรรษาที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้พระภิกษุต้องอยู่จำพรรษา ๓ เดือน โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น นอกจากมีกิจจำเป็น และวันเข้าพรรษานี้พระพุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็นิยมบำเพ็ญบุญกุศลถือศีลฟังธรรมในวันพระตลอด ๓ เดือน คนหนุ่มอายุครบ ๒๐ ปี ก็จะออกบวชเป็นภิกษุตามประเพณีนิยมของชาวพุทธไทย ที่ถือว่าการได้บวชในพระพุทธศาสนานั้นเป็นการทดแทนคุณบิดามารดา และเป็นการฝึกอบรมตน ให้เป็นคนดีมีศีลมีธรรม มีความอดทนอดกลั้นในการดำเนินชีวิตในวันข้างหน้า คนที่ได้บวชเรียนแล้ว สึกหาลาเพศไปเป็นคฤหัสถ์ โบราณท่านเรียกว่า “บัณฑิต” แต่คำนี้คนไทยไม่ค่อยถนัดในการพูด จึงเพี้ยนมาเป็น “ทิด” ซึ่งไม่ตรงกับความหมายเดิมที่แปลว่า “ผู้รู้”

เมื่อพูดถึงการบวชแล้ว ก็จะขอนำวิธีการบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนามาเล่าไว้โดยสังเขป ดังต่อไปนี้

๑.เอหิ ภิกขุ อุปสัมปทา การบวชที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแก่ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็น ๒ ประการ คือ

ก.ทรงประทานการบวชแบบเอหิ ภิกขุ แก่ผู้เห็นธรรมแต่ยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ด้วยพระดำรัสว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” ผู้ที่ได้รับ เอหิ ภิกขุ นี้ รูปแรก คือ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ

ข.ทรงประทานเอหิ ภิกขุ แก่ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ด้วยพระดำรัสว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” ไม่มีคำว่า “เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” เพราะผู้ทูลขอบวชนั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว ผู้ที่ได้รับเอหิ ภิกขุ ตามแบบที่สองนี้ คือ พระยสะ ซึ่งเป็นบุตรของมหาเศรษฐีในเมืองพาราณสี

๒.การบวชด้วยวิธีไตรสรณาคมน์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาในแว่นแคว้นต่างๆ มี ผู้ศรัทธาจะบวชในพระพุทธศาสนา พระสาวกต้องพาผู้ศรัทธามาเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อทูลขอบวชจากพระองค์ ในบางครั้งบางกรณีต้องเดินทางไกลกันดาร เป็นความยากลำบาก แก่พระสาวกและผู้ศรัทธาที่จะมาเฝ้าทูลขอบวช พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชผู้ศรัทธาได้ด้วยตนเอง โดยให้โกนผม โกนหนวด ครองผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วเปล่งวาจา ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ๓ ครั้งว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ก็สำเร็จเป็นพระภิกษุ

แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชด้วยวิธีไตรสรณาคมน์นี้ก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงประทานการบวชด้วย “เอหิ ภิกขุ” อยู่คู่กันไป จึงเป็นอันว่ามีการบวช ๒ วิธี ที่ใช้พร้อมกันในเวลานั้น และภิกษุผู้บวชด้วยวิธีนี้ไม่มีชื่อปรากฏ

๓.การบวชด้วยญัตติจตุตถกรรม เมื่อมีพระสงฆ์เป็นจำนวนมากขึ้น การบริหารการพระศาสนามีข้อวัตรปฏิบัติที่รัดกุมพอที่จะวางใจให้สิทธิให้อำนาจแก่คณะสงฆ์ได้ ก็ทรงเปลี่ยนการบวชให้เป็นอย่างวิธีรับคนเข้าหมู่คณะหรือสมาคม คือให้ทำพิธีบวชในสงฆ์ ซึ่งเป็นคณะภิกษุ โดยมีพระพุทธบัญญัติว่า ในมัธยมประเทศ ซึ่งหาพระได้ง่าย การบวชต้องทำในคณะสงฆ์ ๑๐ รูป ถ้าเป็นปัจจันตประเทศ คือประเทศชายแดน ซึ่งหาพระยาก กำหนดให้มีพระ ๕ รูป ถือเป็นคณะสงฆ์ บวชผู้ศรัทธาได้ ผู้ที่ได้บวชโดยวิธีนี้เป็นคนแรกคือ พระราธะ ซึ่งเป็นศิษย์ของพระสารีบุตร

การบวชด้วยญัตติจตุตถกรรมนี้ เป็นการทรงยกอำนาจให้แก่พระสงฆ์ รวมทั้งสิทธิของพระองค์เองที่จะบวชด้วย โดยการยกเลิกวิธีเอหิ ภิกขุ ที่พระองค์ทรงประทานเอง และทรงให้ยกเลิกการบวชด้วยไตรสรณาคมน์อีกด้วย ต่อมาเมื่อพระราหุล พระโอรสจะผนวช แต่พระชนมายุไม่ถึง ๒๐ ปี ผนวชเป็นภิกขุไม่ได้ เพราะมีพระชนมายุเพียง ๗ ปีเท่านั้น จึงทรงอนุญาตให้ผนวชเป็นสามเณร ด้วยวิธีไตรสรณาคมน์ ที่เคยบวชภิกษุ มาเป็นการบวชสามเณรแต่นั้นมา พระราหุล จึงถือเป็นสามรเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา และคำว่า “บวช” นี้โดยทั่วไปมักเรียกรวมกันไปทั้งบวชพระ บวชสามเณร แต่ในศัพท์ทางศาสนาเรียกการบวชสามเณว่า “บรรพชา” เรียกการบวชพระว่า “อุปสมบท” หรือเรียกพร้อมกันไปว่า “บรรพชาอุปสมบท” ในกรณีที่ผู้ต้องการบวชเป็นภิกษุต้องขอบรรพชาเป็นสามเณรก่อน แล้วจึงจะขออุปสมบทได้

ผู้จะบวชต้องเป็นชายอายุ ๒๐ ปี มีข้อห้ามบวชมากมายเกินกว่าจะนำมาเขียนในที่นี้ได้ จึงขอนำข้อห้ามที่ไม่ทรงอนุญาตให้บวชเด็ดขาด ดังนี้คือ ๑.คนที่ฆ่าพระอรหันต์ ๒.คนที่เคยทำร้ายภิกษุณี ๓.คนที่เคยปลอมเป็นภิกษุ ๔.เคยบวชเป็นภิกษุแล้ว แต่ภายหลังไปเข้าลัทธิอื่น แล้วเปลี่ยนใจมาขอบวชอีก ก็บวชไม่ได้ ๕.คนที่เคยบวชแต่ต้องอาบัติปาราชิก ๖.คนที่เคยเป็นภิกษุแล้วทำสังฆเภท คือทำลายสงฆ์ให้แตกจากกัน ๗.คนที่ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต คนเหล่านี้แม้ปิดบังตัวเข้ามาบวชก็ไม่เป็นภิกษุตามพระธรรมวินัย

ปัจจุบัน ประเพณีการบวช ๓ เดือน ในระหว่างการจำพรรษานั้น หาผู้บวชได้น้อยแล้ว เพราะคนวัยหนุ่มนั้นมีการงานและอาชีพที่ต้องกระทำ เนื่องจากประเทศของเราเปลี่ยน แปลงจากประเทศกสิกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม คนจึงมีเวลาว่างน้อยกว่าอดีต ก็ทำให้การพระศาสนานั้นห่างจากคน และคนก็ห่างออกจากศาสนา วัตถุนิยมต่างๆ หลั่งไหลมาทับถมจิตใจ จนทำให้สังคมที่เคยสงบสุข เป็นสังคมที่ต้องดิ้นรนแข่ง ขันชิงดีชิงเด่น คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น จนนำไปสู่ลัทธิการผลิต และแสวงหาในลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา คนที่ร่ำรวย อยู่แล้วก็ยิ่งทะเยอะทะยานอยากร่ำรวยมากยิ่งขึ้น โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม ศีลธรรม และจรรยาบรรณที่ดีงาม

การที่ไทยจะก้าวไปสู่ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลก คงจะเป็นได้เพียงความคาดหวังเท่านั้น?

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 92 ก.ค. 51 โดย ธมฺมจรถ)
กำลังโหลดความคิดเห็น