xs
xsm
sm
md
lg

พ่อครัวตัวจี๊ด หัวใจคับโลก Ratatouille ความฝันของ ‘หนู’ สู่ความมุ่งมั่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้” วลีสั้นๆ ในภาพยนตร์เรื่อง Ratatouille “ระ-ทะ-ตูู-อี้-พ่อครัวตัวจี๊ด หัวใจคับโลก” นี้ให้ความหมายอันลึกซึ้งสำหรับใครก็ตามที่อยากจะทำอะไรหรืออยากจะเป็นอะไร ก็สามารถเป็นได้ ถ้ามีความมุ่งมั่นเหมือน‘เรมี’พระเอก ‘หนู’ ตัวน้อยๆ ซึ่งมีความฝันอันยิ่งใหญ่ ที่จะเป็นเชฟทำอาหาร

Ratatouille มาจากชื่ออาหารพื้นบ้านของฝรั่งเศส และอีกหลากหลายเมนูที่แสนจะน่าลิ้มลองในหนังเรื่องนี้ทำให้ Ratatouille หนังการ์ตูนแอนนิเมชั่น ของค่ายวอล์ทดิสนีย์ พิกซาร์ มีความสนุกสนานชวนชิมตลอดเรื่อง และกวาดรางวัลมากมายทั้ง ออสการ์, ลูกโลกทองคำ, บาฟต้า และแกรมมี่

เมนูแสนอร่อยเรื่องนี้ ดำเนินเรื่องโดย ‘เรมี’ เจ้าหนูสัญชาติฝรั่งเศส ลูกของจังโก้ หัวหน้าหนูฝูงใหญ่ เรมีแตกต่างจากพวกพ้อง มันไม่ชอบขโมยกินอาหารจากขยะ เพราะตั้งใจว่าจะเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่ผู้ที่คอยแต่จะกอบโกย

เรมีมีความพิเศษกว่าหนูตัวอื่นๆ เพราะมันมีประสาทสัมผัสด้านรสชาติและดมกลิ่นเป็นเลิศ ดังนั้นพ่อจึงมอบหน้าที่ให้ดมกลิ่นพิสูจน์อาหารทุกอย่างเพื่อป้องกันยาเบื่อหนู แม้จะเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติ แต่เรมีกลับเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก

เวลาที่มันมีความสุขคือการได้เสาะหาของแปลกๆมาทำอาหารกิน วันหนึ่งเรมีหลง ไปในครัวของหญิงชราคนหนึ่งเพื่อหาของกิน แต่มันกลับเจอตำราอาหารของ ‘ออกุส กุสโตว์’ เชฟมือทองของฝรั่งเศส เจ้าของร้านอาหารชื่อดัง ‘กุสโตว์’ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีส วลีที่เขามักพูดเสมอว่า “ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้ แต่คนกล้าเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ” ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าหนูอยากเป็นเชฟขึ้นมาทันที

แต่ความมีชื่อเสียงก็ไม่ยั่งยืน เมื่อมันบังเอิญไปดูรายการทำอาหารในทีวีแล้วพบว่า ภัตตาคารของกุสโตว์ถูกนักวิจารณ์อาหารจอมเฮี๊ยบอย่าง ‘แอนตัน อีโก้’ สับแหลก และกุสโตว์เสียใจจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะที่เรมีกำลังดูทีวีรายการของกุสโตว์อยู่นั้น หญิงชราเจ้าของบ้านมาพบเข้า จึงคว้าปืนยิงไปทั่วห้อง เรมีหยิบหนังสือของกุสโตว์วิ่งหนีพร้อมพวกพ้องที่แตกกระเจิง เป็นเหตุให้มันพลัดหลงกับครอบครัว

เมื่ออยู่ลำพังตัวเดียว เรมีก็เปิดหนังสือดู พลันก็ปรากฏจินตนาการของมันเป็นเชฟ กุสโตว์ออกมาเตือนว่า “ถ้ามัวยึดติดกับสิ่งที่ทิ้งไว้ข้างหลัง นายจะไม่มีวันเห็นว่าข้างหน้ามีอะไร” และ“อาหารมาหาคนที่ชื่นชอบ การทำอาหารเสมอ” ทำให้มันตัดสินใจเดินหน้าต่อ แล้วก็พบว่าตัวเองอยู่ที่มหานครปารีสอันแสนงดงามใต้ร้านอาหารของ กุสโตว์ ซึ่งขณะนี้มี ‘สกินเนอร์’ หัวหน้าเชฟผู้ร้ายกาจ เป็นผู้ควบคุมดูแลร้าน เขาใช้ชื่อเสียงของร้านกุสโตว์ หาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง เพื่อผลกำไร โดยไม่คำนึงถึงหลักการของร้านที่กุสโตว์ตั้งไว้

เรมีแอบเข้าไปในครัว เห็นสกินเนอร์หัวหน้าเชฟกำลังคุยกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ ‘อัลเฟรโด้ ลิงกวินี่’ ซึ่งถือจดหมายของ แม่ที่เสียชีวิตไปแล้วเพื่อมาของานทำ แม้้สกินเนอร์จะไม่ชอบหน้าลิงกวินี่ แต่‘คอลเลต์’ เชฟสาวเพียงคนเดียวบอกว่ากุสโตว์เป็นคนให้โอกาสคนอยู่เสมอ สกินเนอร์จึงยอมให้ลิงกวินีทำงานในตำแหน่งเก็บขยะ

ขณะที่กำลังทำงานอยู่นั้น ลิงกวินีเกิดทำหม้อซุปหก เขาจึงแอบปรุงใหม่แบบมั่วๆ เพราะทำอาหารไม่เป็น เรมีเห็นเข้าก็แอบมาปรุงใหม่ ปรากฏว่าซุปหม้อนี้ได้รับคำชมว่าอร่อยยอดเยี่ยม แต่แล้วลิงกวินี่ก็รู้ว่าผู้ที่ปรุงซุปคือเรมี หนูตัวเล็กๆที่แอบเข้ามาในครัวนั่นเอง

เมื่อคนมีพรสวรรค์มาพบกับคนที่อยากมีพรสวรรค์ ในที่สุดลิงกวีนีก็ร่วมกับเรมีปรุงอาหาร โดยให้เรมีซ่อนอยู่ในหมวกของเขา และใช้วิธีดึงผมเขาเพื่อควบคุมการทำอาหาร แม้ว่าสกินเนอร์จะแกล้งให้ลิงกวีนีปรุงเมนูยากๆของร้าน แต่ทั้งคู่ก็สอบผ่าน จนรับออร์เดอร์จากลูกค้าไม่หวาดไม่ไหว

แต่เค้าของความยุ่งยากก็เริ่มขึ้นเมื่อสกินเนอร์พบความจริงว่าลิงกวินีเป็นลูกชาย ของกุสโตว์ ซึ่งจะต้องได้รับมรดกคือร้านนี้ จึงพยายามกีดกันทุกวิถีทาง วันหนึ่งเรมีได้พบกับพ่อ พ่อดีใจมากและอยากให้มันกลับเข้ากลุ่มอย่างเดิม แต่เรมีปฏิเสธว่า ตัวเองไม่ใช่หนู และจะอยู่เป็นพ่อครัว ทำให้พ่อ ต้องเตือนให้มันตระหนักว่ามนุษย์รังเกียจหนูที่สุด

วันหนึ่งเรมีได้พบความจริงว่าลิงกวินี่เป็นลูกชายของกุสโตว์และจะได้เป็นเจ้าของ ร้านนี้ และเมื่อความจริงถูกเปิดเผย สกินเนอร์ก็ถูกไล่ออก ลิงกวีนีได้เป็นเจ้าของร้าน เขาย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ แต่ไม่ลืมพาเจ้าหนูตัวเล็กไปอยู่ด้วย เมื่อมีชื่อเสียงมากขึ้นลิงกวินี่ก็เริ่มเบื่อที่จะต้องฟังคำสั่งจากเรมี ทั้งคู่จึงทะเลาะกัน ลิงกวินีไล่เรมีออกจากร้าน เรมีกระเซอะกระเซิงไปทั่วเมือง เมื่อผู้คนเห็น ก็พากันไล่ตี จนเรมีนึกถึงคำของพ่อ

“พ่อพูดถูก..ฉันหลอกตัวเอง เราเป็นอย่างที่เราเป็น นั่นคือเราเป็นหนู” ในที่สุดเรมีก็ต้องมาติดกับดักหนูของสกินเนอร์ แต่พ่อของมันก็มาช่วยไว้ได้ทัน

เมื่อ ‘อีโก้’ นักวิจารณ์ผู้หลงอำนาจของตน ได้ข่าวว่าร้านกุสโตว์กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง เขาจึงแวะไป เพื่อพิสูจน์ฝีมือเชฟคนใหม่ พร้อมกับสั่งเมนูพิเศษ

ขณะที่ลิงกวินีไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำเมนูพิเศษนี้ได้อย่างไร ทันใดนั้นเรมีก็ปรากฏตัวขึ้น เชฟทุกคนเห็นหนูเข้ามาในร้านก็คว้ามีดจะเข้าไปไล่ แต่ลิงกวินีกลับห้ามและสารภาพความจริงว่า

“ผมไม่มีพรสวรรค์เลย หนูเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เขาเป็นเชฟตัวจริง” แต่เชฟคนอื่นๆ ยอมรับไม่ได้ จึงเดินออกจากร้าน ทั้งๆที่อีโก้และลูกค้าอื่นๆรออยู่เต็มร้าน

ในยามคับขันเช่นนี้ พ่อและพวกพ้องหนูก็แห่กันมาช่วย โดยมีเรมีเป็นผู้ควบคุมการทำอาหารและลิงกวินีเป็นผู้เสิร์ฟ เรมีตัดสินใจทำเมนู Ratatouille ไปเสิร์ฟอีโก้ เมื่ออีโก้จอมผยองได้ลิ้มรสชาติคำแรกก็หวนนึกถึงอาหารแบบที่แม่เคยทำให้กินตอนเด็กๆ แล้วก็ขอพบเชฟที่ทำเมนูนี้ แต่อีโก้ถึงกับอึ้งเมื่อรู้ความจริงว่าเป็นฝีมือของเจ้าหนูน้อย

วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ตีพิมพ์คำวิจารณ์ของอีโก้ว่า “บ่อยครั้งที่โลกเราไร้ความเมตตาต่อผู้มีพรสวรรค์หน้าใหม่ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อาจมาจากที่ไหนก็ได้ มันยากจะจินตนาการถึงจุดกำเนิดที่ต่ำต้อยกว่า คนที่ทำอาหารในร้านกุสโตว์ตอนนี้เป็นเชฟที่เก่งที่สุดในฝรั่งเศส”

แม้จะได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดี แต่ร้านกุสโตว์ก็ถูกปิดเพราะผู้ตรวจจากกรมอนามัยพบว่าในร้านมีหนู แต่ลิงกวินีและเรมีก็จับมือกันไปเปิดร้านใหม่ในชื่อว่า Ratatouille...

นอกจากการสื่อให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่นำมาซึ่งความสำเร็จแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังบอกเล่าถึงมิตรภาพต่างสายพันธุ์ ระหว่างคนกับหนู ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นแขนขา และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นมันสมอง ตราบใดที่ทั้งสองส่วนผสมผสานเข้ากันดี ย่อมนำพาไปสู่ความสำเร็จ ดังเช่นอาหารรสชาติดี ก็ย่อมเกิดจากส่วนผสมที่เข้ากันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้การยอมรับตัวเองของเรมีว่าเป็นเพียงแค่หนู และลิงกวินีที่ยอมรับว่าตนไม่มีพรสวรรค์ ได้สะท้อนความคิดว่า แม้จะหลอกผู้อื่นได้ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้

และในคำวิจารณ์ของอีโก้ยังชี้ให้เห็นว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้น มิได้อยู่ที่ชาติกำเนิด ดังเช่นคำสอนในพุทธศาสนาที่ว่า ใครจะเป็นคนเลวใครจะเป็นคนดี เพราะชาติกำเนิด ก็หาไม่ แต่คนจะเลว หรือจะดี ก็เพราะการกระทำและความประพฤตินั่นเอง


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 92 ก.ค. 51 โดย ปาณี)




กำลังโหลดความคิดเห็น