ณ ปลายนาแห่งหนึ่ง ยังมีจอมปลวกขนาดใหญ่ ถูกพันด้วยผ้าแพรหลากสีตั้งอยู่ ที่นี่คือที่หมายปองของผู้คนมากมายที่ต่างแวะเวียนมากราบไหว้เพื่อขอโชคลาภ ผิดกับชายชราเจ้าของนาที่เริ่มออกไถดินเตรียมการเพาะปลูก โดยไม่สนใจจอมปลวกนั้นเลย
“มนุษย์นี่ช่างไม่รู้อะไรเลย มากราบไหว้พวกเราอยู่ได้ เราจะไปช่วยอะไรเขาได้ เพราะเราเป็นแค่ปลวก แล้วเราก็ต้องช่วยตัวเองเหมือนกัน” พญาปลวกเอ่ยขึ้น พร้อมกับกำชับให้บรรดาปลวกช่วยกันเร่งสร้างรังให้สูงใหญ่ขึ้น เพื่อป้องกันน้ำหลากที่จะมา ถึงในฤดูฝน
พวกปลวกเร่งสร้างรังกันอย่างแข็งขัน ไม่ย่อท้อ และไม่นานจอมปลวกก็มีขนาด ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งจอมปลวกใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ ผู้คนก็ละทิ้งการงาน หลั่งไหลมา ไหว้จอมปลวกกันมากขึ้น
“ดูซิ..ที่ผ่านมาพวกเราใช้เวลาสร้างรังกัน แต่มนุษย์พวกนี้กลับไม่ทำอะไรเลย มัวแต่มานั่งไหว้ขอโชคลาภพวกเราอยู่อย่างนี้” พญาปลวกรำพึงกับพวกปลวก
เมื่อฤดูฝนผ่านพ้นไปพร้อมกับปลวกทุกตัวปลอดภัยอยู่ในรังที่มั่นคง และรวงข้าว เหลืองทองอร่ามก็เต็มผืนนานี้ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว ขณะที่ผืนนาอื่นๆต้นข้าวยังเล็ก ไม่ออกรวง
“นาของท่าน ข้าวออกรวงเต็มไปหมดเลยนะ แต่นาของข้ายังไม่มีข้าวสักเมล็ด ไม่รู้ว่าปีนี้จะเอาข้าวที่ไหนกิน ข้าอุตส่าห์มาไหว้จอมปลวกทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นให้โชคลาภข้าบ้างเลย สงสัยจะให้แต่ท่านคนเดียว” ชายหนุ่มหลายคนที่มาไหว้จอมปลวก เอ่ยกับชายชราเจ้าของนา
“รู้ไหม..พวกปลวกน่ะให้โชคลาภใครไม่ได้หรอก พวกมันก็ยังต้องลงมือสร้างรังเองจนใหญ่โต โดยไม่สามารถดลบันดาลให้ใครมาสร้างให้มันได้ ข้าเองก็ไม่เคยไหว้ ปลวกพวกนี้เลย ข้าวในนานี้เป็นเพราะข้าเร่งทำนาตั้งแต่ตอนที่พวกเจ้ามานั่งเฝ้าจอมปลวกนี่แหละ” ชายชราอธิบาย และชวนให้บรรดาชายหนุ่มมาช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าว โดยแบ่งปันข้าวเปลือกให้เป็นการตอบแทน
เวลาผ่านไปพวกปลวกก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสร้างรังต่อไป จนกลายเป็นจอมปลวก ขนาดมหึมา แต่ไม่มีผู้คนแวะเวียนมากราบไหว้เหมือนเช่นเคย เพราะรู้แล้วว่าจอมปลวกให้โชคลาภใครไม่ได้
........
โชคลาภนั้นเกิดขึ้นจากการลงมือทำ ไม่ใช่เกิดจากการอ้อนวอน บนบานศาลกล่าว และเมื่อทำด้วยความตั้งใจเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ย่อมประสบความสำเร็จ สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ดังเช่นชายชราเจ้าของนาและบรรดาปลวกทั้งหลาย
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 92 ก.ค. 51 โดย ไม้หอม)
“มนุษย์นี่ช่างไม่รู้อะไรเลย มากราบไหว้พวกเราอยู่ได้ เราจะไปช่วยอะไรเขาได้ เพราะเราเป็นแค่ปลวก แล้วเราก็ต้องช่วยตัวเองเหมือนกัน” พญาปลวกเอ่ยขึ้น พร้อมกับกำชับให้บรรดาปลวกช่วยกันเร่งสร้างรังให้สูงใหญ่ขึ้น เพื่อป้องกันน้ำหลากที่จะมา ถึงในฤดูฝน
พวกปลวกเร่งสร้างรังกันอย่างแข็งขัน ไม่ย่อท้อ และไม่นานจอมปลวกก็มีขนาด ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งจอมปลวกใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ ผู้คนก็ละทิ้งการงาน หลั่งไหลมา ไหว้จอมปลวกกันมากขึ้น
“ดูซิ..ที่ผ่านมาพวกเราใช้เวลาสร้างรังกัน แต่มนุษย์พวกนี้กลับไม่ทำอะไรเลย มัวแต่มานั่งไหว้ขอโชคลาภพวกเราอยู่อย่างนี้” พญาปลวกรำพึงกับพวกปลวก
เมื่อฤดูฝนผ่านพ้นไปพร้อมกับปลวกทุกตัวปลอดภัยอยู่ในรังที่มั่นคง และรวงข้าว เหลืองทองอร่ามก็เต็มผืนนานี้ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว ขณะที่ผืนนาอื่นๆต้นข้าวยังเล็ก ไม่ออกรวง
“นาของท่าน ข้าวออกรวงเต็มไปหมดเลยนะ แต่นาของข้ายังไม่มีข้าวสักเมล็ด ไม่รู้ว่าปีนี้จะเอาข้าวที่ไหนกิน ข้าอุตส่าห์มาไหว้จอมปลวกทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นให้โชคลาภข้าบ้างเลย สงสัยจะให้แต่ท่านคนเดียว” ชายหนุ่มหลายคนที่มาไหว้จอมปลวก เอ่ยกับชายชราเจ้าของนา
“รู้ไหม..พวกปลวกน่ะให้โชคลาภใครไม่ได้หรอก พวกมันก็ยังต้องลงมือสร้างรังเองจนใหญ่โต โดยไม่สามารถดลบันดาลให้ใครมาสร้างให้มันได้ ข้าเองก็ไม่เคยไหว้ ปลวกพวกนี้เลย ข้าวในนานี้เป็นเพราะข้าเร่งทำนาตั้งแต่ตอนที่พวกเจ้ามานั่งเฝ้าจอมปลวกนี่แหละ” ชายชราอธิบาย และชวนให้บรรดาชายหนุ่มมาช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าว โดยแบ่งปันข้าวเปลือกให้เป็นการตอบแทน
เวลาผ่านไปพวกปลวกก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสร้างรังต่อไป จนกลายเป็นจอมปลวก ขนาดมหึมา แต่ไม่มีผู้คนแวะเวียนมากราบไหว้เหมือนเช่นเคย เพราะรู้แล้วว่าจอมปลวกให้โชคลาภใครไม่ได้
........
โชคลาภนั้นเกิดขึ้นจากการลงมือทำ ไม่ใช่เกิดจากการอ้อนวอน บนบานศาลกล่าว และเมื่อทำด้วยความตั้งใจเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ย่อมประสบความสำเร็จ สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ดังเช่นชายชราเจ้าของนาและบรรดาปลวกทั้งหลาย
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 92 ก.ค. 51 โดย ไม้หอม)