xs
xsm
sm
md
lg

มองปัญหาด้วยปัญญา:วิธีเจริญสติเมื่อเกิดนิมิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปจุฉา
การเจริญสติเมื่อเกิดนิมิต


ดิฉันได้ฝึกหัดการเจริญสติให้เป็นสมาธิ โดยใช้เทคนิคการหายใจ แบบที่องค์หลวงปู่ฯ ท่านทรงแนะนำลูกหลานอยู่เป็นประจำ

ขณะที่จิตกำลังสงบ โดยได้ติดตามรับรู้กองลมที่เข้าและออก จู่ๆ ก็สังเกตเห็นลมหายใจ เข้ามาในตัวเอง ซึ่งปกติจะแค่รับรู้เฉยๆ แต่นี่เหมือนเห็นลมวิ่งเข้ามาในตัว

และขณะที่เห็นลมหายใจออก ก็ปรากฏหัวของตัวเองตาม ออกมาด้วย และหันมาประจันหน้ากันชัดเจนมาก (เหมือนเห็นคนมานั่งอยู่หน้าเราทั้งๆ ที่กำลังหลับตาอยู่)

ดิฉันก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ว่า ถ้าเราไม่หายใจเข้า หรือออกจะเป็นอย่างไร รูปหน้าของดิฉันก็เริ่มอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ในใจก็นึกว่า ถ้าไม่หายใจก็คง จะตาย ทันใดนั้น ใบหน้านั้นก็เริ่มซีด ขาว และเหมือนกับว่าตาย แล้ว ใจก็คิดว่าคนตายเป็นอย่าง นี้เอง ก็คิดต่อไปอีกว่า แล้วที่ตาย หลายวัน ศพจะขึ้นอืดอย่างไร ก็ ปรากฏให้เห็น ดิฉันนั่งดู นั่งพิจารณา พอรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ภาพต่างๆ ก็ปรากฏให้เป็นสภาพของสังขารที่เน่าเปื่อย ผุพัง ไปเรื่อยๆ จนถึงกะโหลก และค่อยๆ ยุ่ยสลายเป็นผง ลมพัดมาหายไปจนสิ้น ไม่ปรากฏชิ้นส่วนใดๆ เหลืออยู่เลย (นี่คงจะเรียกว่า อนัตตา มั้งคะ)

หลายครั้งต่อมาในขณะที่จะเข้านอนก็พยายามกำหนดลมหายใจ ก็ปรากฏอาการขนลุก ขนพอง น้ำตาไหล หรืออาการตัวพองโตเหมือนระเบิด และรู้สึกว่าผิวหนังหายใจได้ เพราะลมออกทุกรูขุมขนเลย

ต่อมาดิฉันก็พยายามฝึกเจริญสติอยู่เนื่องๆ เท่าที่เวลาและโอกาสจะอำนวย แต่ก็มีแต่อารมณ์ฟุ้งตลอดเวลา จิตไม่ค่อยรวมเป็นสมาธิเหมือนเดิมเลย จนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ

ดิฉันขอกราบเรียนปุจฉาหลวงปู่ฯ ว่า ทำไมถึงมีนิมิตแบบนั้นมาปรากฏให้เห็น ทำอย่างไรจะสามารถฝึกการเจริญสติให้ดียิ่งๆ ขึ้นได้ต่อไป

ขอความเมตตาให้ความสว่างแก่ลูกหลาน เพื่อจะค้นพบทางที่จะได้หลุดพ้นจาก วัฏฏะสงสารด้วยเจ้าค่ะ กราบนมัสการองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ มา ณ โอกาสนี้ด้วยเจ้าค่ะ

วิสัชนา

'ขณะที่คุณเจริญอานาปานสติ พิจารณาลมหายใจเข้าออก แล้วเกิดนิมิตเห็นตัวเองขึ้นอีกร่างหนึ่ง ที่จริงน่าจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะถ้าคุณไปติดใน นิมิตที่เห็นนั้น ก็ทำให้คุณทิ้งลมหายใจ แล้วไปใส่ใจนิมิต สุดท้ายทั้งลมหายใจและนิมิตก็จับไม่ได้

เหมือนนิทานอีสป เรื่องหมากับเงา หมาคาบเนื้อมาที่สะพาน แล้วมองเห็นเงาเนื้อในน้ำว่าโตกว่าเนื้อที่ตนคาบมา เลยปล่อยเนื้อที่คาบ กระโจนลงไปคาบเนื้อในน้ำ สุดท้ายทั้งเนื้อแท้เนื้อเงาก็ไม่ได้ หมาเลยเศร้าไปตามระเบียบ

แต่คุณรู้จักใช้วิกฤตมาเป็น โอกาส ยังมีสติปัญญาพิจารณานิมิตที่เห็นจนเป็นวิปัสสนา ปรากฏเป็นอุบาย ทำให้เกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงของร่างกาย

ถ้าพิจารณาต่อไปไม่เลิก ฉันก็คงจะได้พบพระอริยะแล้ว แต่น่าเสียดาย ปัญญาบารมียังไม่เข้มแข็ง แถมยังขาดขันติ วิริยะ สัจจะ อธิษฐาน เลยทำให้คุณพลาดโอกาสที่ประสบกับประสบการณ์ทางวิญญาณที่เยี่ยมยอดไป แต่ก็นับว่าคุณมีบารมีเก่าติดมาไม่น้อยเหมือนกัน

ขอให้เพียรพยายามสั่งสมอบรมในการปฏิบัติธรรมต่อไป แล้วชัยชนะจักมีแก่คุณในที่สุด

ส่วนที่คุณถามว่า พยายามฝึกสติ กำหนดลมหายใจจนเกิดนิมิต เกิดปีติ น้ำตาไหล ตัวพองขนลุก มีความรู้สึกเป็นสุข แล้วลมหายใจมันหายไป ที่จริงลมหายใจมิได้หาย แต่ที่หายคือสติของคุณต่างหาก เพราะคุณมัวแต่ไปติดนิมิต ติดปีติ และอาการเครื่องปรุงจิต ซึ่งถือว่าเป็นมายาขจิต เหมือนดังสุนัขที่ติดเงาเนื้อ (ต้องขออภัยฉันมิได้ว่าคุณนะ แต่ยกตัวอย่าง เพื่อให้คุณเห็นภาพให้ชัด) เลยทิ้งเนื้อจริงที่คาบมา

วิธีก็คือ ไม่ว่าอะไรจักเกิดขึ้น ในขณะที่คุณกำลังเจริญสติ พิจารณาลมหายใจ ก็อย่าไปใส่ใจ อย่าไปสนใจ คุณมีหน้าที่พิจารณาลมหายใจอย่างเดียว จนกว่าสติคุณจักตั้งมั่น จนบังเกิดสมาธิ คือ ความสงบ

และถ้าพบนิมิต ก็ให้คุณใช้สติและความสงบที่มี พิจารณาถึงอาการของนิมิตที่ตั้งอยู่ และความดับไปของนิมิต นั้น (เหมือนดังที่คุณเคยทำมา) พร้อมกับพิจารณาน้อมอาการเหล่านั้นให้เข้ามาหาตัวคุณเอง จนเห็นตามความเป็นจริงถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของร่างกาย ทั้งภายในและภายนอก คุณจะมีจิตบังเกิดความเบื่อหน่ายต่อเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ผ่อนคลายความกำหนัดยินดีในตัณหาอุปาทานทั้งหลาย ถึง วิมุตติความหลุดพ้นในที่สุด

ฉันจะไม่อธิบายละเอียด ขอให้คุณทำด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะรู้อาการของจิต พร้อมสิ่งที่เกิดกับจิต ด้วยตัวคุณเอง เพราะหากอธิบายไปมากๆ เดี๋ยวจักกลายเป็นขยะสะสมเพิ่มขึ้นในจิตของคุณอีก

เอาเป็นว่า รู้จริง ไม่ต้องจำ ทำได้มีประโยชน์ รู้ไม่จริง ถึงจำ ทำไม่ได้ มีแต่โทษ
กำลังโหลดความคิดเห็น