เมื่อต้นมะม่วงซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงให้นายคัณฑะ คนเฝ้าอุทยาน เมืองสาวัตถี ปลูกและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วแล้วนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงเนรมิตจงกรมแก้วในอากาศเหนือต้นมะม่วง แล้วเสด็จขึ้นสู่ที่จงกรมนั้น เพื่อแสดงยมกปาฏิหาริย์ นั่นคือ การทำปาฏิหาริย์ให้บังเกิดเป็นคู่ ๆ โดยวิธีต่างๆ คือ มีท่อน้ำและท่อไฟพุ่งมาจากส่วนต่างๆ ของพระวรกายสลับกันไป ท่อไฟที่พุ่งออกมานั้นมีฉัพพรรณรังสี คือ มี ๖ สีสลับกัน ได้แก่ ๑.นีล-เขียวเหมือนดอกอัญชัน ๒.ปีต-เหลืองเหมือนหรดาลทอง ๓.โลหิต-แดงเหมือนตะวันอ่อน ๔.โอทาต-ขาวเหมือนแผ่นเงิน ๕.มัญเชฐ-สีหงสบาท เหมือนดอกหงอนไก่ ๖.ประภัสสร -เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก เมื่อกระทบกับสายน้ำมีแสงสะท้อนงดงามมาก แล้วทรงเนรมิตพระองค์เองขึ้นมาอีกพระองค์หนึ่ง เป็น“พระพุทธเนรมิตร” อยู่ในพระอิริยาบถต่างๆ คือ นั่ง นอน ยืน เดิน เช่นเดียวกับพระองค์ และเมื่อทรงตั้งปุจฉา พระพุทธเนรมิตก็ตรัสวิสัชนาแก้ สลับกันไป พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์สลับกับการแสดงพระธรรมเทศนา จนพุทธบริษัททั้งหลายเกิดความเลื่อมใสและได้บรรลุธรรมเป็น จำนวนมาก
พระพุทธรูปปางแสดงยมกปาฏิหาริย์ คือ พระพุทธรูปที่อยู่ในอิริยาบถประทับนั่งห้อยพระบาทบนบัลลังก์ รองรับด้วยดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) จีบนิ้วพระหัตถ์เป็นกิริยาของการแสดงธรรม หลักฐานที่พบเก่าที่สุดของไทยอยู่ในสมัยทวารวดี เช่น พระพิมพ์ปางยมกปาฏิหาริย์ พบที่จังหวัดนครปฐม เป็นต้น
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 91 มิ.ย. 51 โดย กีรติกร)