xs
xsm
sm
md
lg

จากต้นสายถึงปลายทาง (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สำหรับเรื่องของสัมมาสมาธิ มีแง่มุมที่ควรทราบ เพิ่มเติมดังนี้คือ
๔.๔.๑ ความหมายของสมาธิ ก่อนที่จะกล่าวถึงประเภทและการทำงานของ “สัมมาสมาธิ” อันเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา พวกเราควรทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “สมาธิ” เสียก่อน ดังนี้
องค์ธรรมของสมาธิได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก คือความตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว

เอกัคคตาเจตสิก (๑) มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นลักษณะ (๒) มีการรวบ รวมสหชาตธรรมเป็นกิจ คือสมาธิเป็นที่รวมของสภาวธรรมที่เกิดร่วมกัน เช่น เป็นที่รวมองค์ทั้ง ๗ ของมรรคให้ทำกิจร่วมกันในการรู้รูปนามตามความเป็นจริง จนเกิดอริยมรรคขึ้น เป็นต้น (๓) มีความสงบ (อุปสมะ) เป็นผล และ (๔) มีสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิด

เอกัคคตาเจตสิก เป็นเจตสิก (หรือสภาวธรรมที่ประกอบกับจิต) ชนิดที่เรียกว่าสัพพจิตสาธารณเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกชนิดที่เกิดทั่วไปกับจิตทุกดวง จึงเกิดขึ้นได้แม้ในขณะที่จิตเป็น อกุศล ดังนั้นพวกเราจึงควรระมัดระวัง
ในเรื่องการทำสมาธิกันให้ดี เพราะไม่จำเป็นว่า ถ้าทำสมาธิได้แล้วจะเกิดปัญญาเสมอไป ต้องเป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น จึงจะเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ส่วนสมาธิประเภทที่เกิดร่วมกับอกุศล เช่นเกิดร่วมกับโมหะคือสมาธิประเภทลืมเนื้อลืมตัว หรือจิตเที่ยวฟุ้งซ่านออกไปรู้อะไรๆภายนอก และสมาธิที่เกิดร่วมกับโลภะคือสมาธิประเภทเพลิดเพลินยินดีไปในความสุขความสงบ สมาธิเหล่านี้ไม่ส

๔.๔.๒ ประเภทของสมาธิ สมาธิจำแนกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สมาธิธรรมดาโดยทั่วไปหรือมิจฉาสมาธิ กับสมาธิในองค์มรรคหรือสัมมาสมาธิ

สมาธิธรรมดาหรือ มิจฉาสมาธิไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือเลวในตัวของมันเอง เพราะสมาธิสามารถเกิดขึ้นกับจิตที่เป็นอกุศลก็ได้ และเกิดขึ้นกับจิตที่เป็นกุศลแต่ขาดปัญญาก็ได้ ความหมายของสมาธิประเภทนี้มีตั้งแต่อย่างกว้าง คือ

(๑) หมายถึงเอกัคคตาเจตสิกที่ทำให้จิตทุกดวงสามารถรู้อารมณ์ได้เพียงอย่างเดียว คือทำให้จิตจับหรือตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ได้เพียงอย่างเดียว เช่น จิตที่ทำหน้าที่ฟังก็ฟังได้อย่างเดียว คือรู้เสียงได้อย่างเดียว จะคิดไม่ได้ เป็นต้น สมาธิในความหมายนี้เกิดร่วมกับจิตได้ทุกดวงทุกประเภท เพื่อนนักปฏิบัติบางท่านจึงมองข้ามความสำคัญของสัมมาสมาธิ เพราะไปคิดว่าเอกัคคตาเจตสิกคือสัมมาสมาธิ จึงเห็นว่าแม้ไม่ต้องอบรมสัมมาสมาธิ ก็มีสัมมาสมาธิอยู่แล้ว ความจริง ถ้าสัมมาสมาธิเกิดได้ง่ายอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็คงไม่ต้องทรงสอนเรื่อง จิตสิกขาเอาไว้เลย ในความเป็นจริง สัมมาสมาธิไม่ได้เป็นเพียงเอกัคคตาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทุกดวง หากแต่มีลักษณะเฉพาะบางประการ ซึ่งยากมากที่จะเกิดขึ้นได้

และ (๒) ความหมายของสมาธิในอีกลักษณะหนึ่งก็คือ การที่จิตตั้งมั่นจดจ่ออยู่กับการงานอันใดอันหนึ่ง เช่นตั้งมั่นในการอ่านหนังสือ ทำให้อ่านได้รู้เรื่องเป็นอย่างดี และตั้งมั่นในการขับรถ ทำให้ขับได้ดี เป็นต้น สมาธิในลักษณะนี้แหละที่ทำให้พวกเรามักพูดกันว่า วันนี้จิตมีสมาธิ วันนี้จิตไม่มีสมาธิ หรือพูดว่า เด็กคนนี้มีสมาธิสั้น ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งมีสมาธิดี เป็นต้น สมาธิในความหมายนี้จึงไม่ได้ เกิดขึ้นตลอดเวลากับจิตทุกดวง แต่เป็นสิ่งที่ต้องฝึก ต้องพัฒนาให้มีขึ้น อย่างไรก็ตามสมาธิอย่างนี้ก็ยังไม่ใช่สัมมาสมาธิอีกเช่นกัน แต่เป็นสมาธิอย่างโลกๆ ธรรมดาๆ และเอาไว้ใช้ประโยชน์เพื่อการอยู่กับโลกเท่านั้นเอง

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 90 พ.ค. 51 โดยพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช)
กำลังโหลดความคิดเห็น