ปุจฉา
ตัณหากับการตั้งจิตอธิษฐาน
ในการทำบุญทุกครั้ง ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้สิ้นต่อกิเลสในชาตินี้ด้วยเทอญ จะถือว่าคำขอเช่นนี้เป็นตัณหาชนิดหนึ่งหรือไม่
วิสัชนา
ทุกอย่างก็เป็นตัณหาทั้งนั้น แหละลูก การที่เรามีโอกาสได้มานั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นตัณหา การที่เรามีโอกาสต้องการทำบุญ ก็เป็นตัณหา
ตัณหา คือ ความอยาก แต่มันเป็นส่วนอยากที่เป็นกุศล หรืออกุศลล่ะ สำคัญมันอยู่ตรงนั้น กุศล คือ ความฉลาด อกุศล คือ ความโง่ ความอยากที่จะทำตัวให้โง่ เรียกว่า อกุศล ความอยากที่จะทำตัวให้ฉลาดขึ้น สว่าง กระจ่างขึ้น เรียกว่า กุศล
เพราะฉะนั้น การทำบุญแล้วปรารถนานิพพาน บุญไม่ใช่
เครื่องยังให้สำเร็จถึงนิพพาน
การจะเข้าถึงนิพพาน ต้องเข้าถึงด้วยการปฏิบัติ ด้วยวิธีการลงไม้ลงมือที่จะกระทำอย่างถูกต้องตรงทางในอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นการฝึกหัดดัดกาย วาจา ใจ เพื่อเข้าไปสู่ความหมาย ของคำว่านิพพาน แต่ไม่ใช่ทำบุญแล้วได้นิพพาน
นิพพานไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีกุศล และอกุศล นิพพานไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน แต่นิพพานคือความว่าง นอกเหนือไร้ขีดจำกัด เป็นความสะอาดเหนือขีดจำกัด เป็นความสว่างและความสงบเหนือการคาดเดา
เพราะฉะนั้น ความหมายของนิพพานมันไม่ใช่ได้มาจากการขอหรือทำบุญ แต่มันได้มาจากการทดสอบ พิสูจน์ทราบ ค้นหา และค้นคว้า ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน และลงไม้ลงมือกระทำตามที่ค้นคว้าได้แล้วนั้นอย่างจริงจัง และจริงใจ นั่นแหละคือนิพพาน เป็นการสลัดตัดให้หลุด จากสิ่งที่ฉุดให้เราหลงใหลและได้ปลื้มไปด้วย คือ ความหมายของนิพพาน
สรุปก็คือ นิพพานได้มาจากการลงไม้ลงมือกระทำ ไม่ใช่ได้มาจากการสวดมนต์ อ้อนวอน หรือขอพร
ปุจฉา
บริจาคอวัยวะ
การบริจาคอวัยวะร่างกายให้แก่สภากาชาดไทย จะเป็นบุญกุศลอย่างไร และมีผลต่อชีวิต ในอนาคตในชาติหน้าได้อย่างไร
วิสัชนา
ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ใครทำได้ ถือว่าเป็นเรื่องดี
บริจาคตา เกิดชาติหน้าก็จะเป็นคนที่มีตา ปัญญาญาณหยั่งรู้ อาจจะทำให้ถึงขั้นมี ทิพยจักษุ
บริจาคหัวใจ ก็จะทำให้ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยพระธรรมและแสงสว่าง และก็ไม่ทำให้มีทุกข์เดือดร้อนใจในที่สุด คือ จะชนะความทุกข์เดือดร้อนทั้งปวงได้ และก็จะมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง
บริจาคไต บริจาคตับ ก็สามารถทำให้ตนเองขจัด กำจัดสิ่งสกปรก รกรุงรัง และโสโครก ทั้งหลาย เพราะหน้าที่ของไตและตับมันเป็นตัวการกำจัดสิ่งที่ เป็นมลพิษในร่างกาย ในชีวิตตนเองในชาติต่อไปก็จะสามารถ มีอำนาจเหนือมารและซาตาน ทั้งหลายทั้งปวงได้
ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งนั้น ในการบริจาคสิ่งที่เราไม่ได้ใช้แล้ว คือ เราตายแล้วไม่ได้ใช้ ก็ให้แก่คนที่เขาจำเป็นต้องใช้ก็เป็นเรื่องดี ขอสนับสนุน และอนุโมทนา ถ้าใครทำได้ถือว่าเป็นเรื่องดี ยอดมหาทานทีเดียว
หลวงปู่ได้ยินว่า เขามีหลักการในการบริจาคนะ พวกนี้จะต้องเป็นคนไข้ที่ไม่เป็นโรค เป็นคนไข้ที่มีร่างกายไม่ทุพพลภาพ คือไม่เสียหายทางร่างกาย เช่นไม่ติดโรคทางกระแสเลือด คือ ตายโดยอุบัติเหตุ สาเหตุจากปัจจุบันทันด่วน ป่วยตาย แก่ตาย นี่จะด้วยหรือไม่ ไม่แน่ใจ เพราะแก่ตายก็คือศักยภาพมันหมดไปแล้ว จะใช้อะไรไม่ได้แล้ว ลงหลุมไปเถอะโยม ไม่ได้ว่าคนแก่นะ พูดให้ฟัง แต่ว่าส่วนใหญ่ เขาจะเน้นเอาเฉพาะคนที่ป่วยทางสมอง พวกที่มีอุบัติเหตุทางสมองไม่สามารถทำงานได้ เพราะถือว่าศักยภาพในการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ยังสูงอยู่ แต่ต้องใช้ในเวลาไม่เกิน 17 หรือ 20 ชั่วโมง นี่จากที่รู้ๆ มานะ
ตัณหากับการตั้งจิตอธิษฐาน
ในการทำบุญทุกครั้ง ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้สิ้นต่อกิเลสในชาตินี้ด้วยเทอญ จะถือว่าคำขอเช่นนี้เป็นตัณหาชนิดหนึ่งหรือไม่
วิสัชนา
ทุกอย่างก็เป็นตัณหาทั้งนั้น แหละลูก การที่เรามีโอกาสได้มานั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นตัณหา การที่เรามีโอกาสต้องการทำบุญ ก็เป็นตัณหา
ตัณหา คือ ความอยาก แต่มันเป็นส่วนอยากที่เป็นกุศล หรืออกุศลล่ะ สำคัญมันอยู่ตรงนั้น กุศล คือ ความฉลาด อกุศล คือ ความโง่ ความอยากที่จะทำตัวให้โง่ เรียกว่า อกุศล ความอยากที่จะทำตัวให้ฉลาดขึ้น สว่าง กระจ่างขึ้น เรียกว่า กุศล
เพราะฉะนั้น การทำบุญแล้วปรารถนานิพพาน บุญไม่ใช่
เครื่องยังให้สำเร็จถึงนิพพาน
การจะเข้าถึงนิพพาน ต้องเข้าถึงด้วยการปฏิบัติ ด้วยวิธีการลงไม้ลงมือที่จะกระทำอย่างถูกต้องตรงทางในอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นการฝึกหัดดัดกาย วาจา ใจ เพื่อเข้าไปสู่ความหมาย ของคำว่านิพพาน แต่ไม่ใช่ทำบุญแล้วได้นิพพาน
นิพพานไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีกุศล และอกุศล นิพพานไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน แต่นิพพานคือความว่าง นอกเหนือไร้ขีดจำกัด เป็นความสะอาดเหนือขีดจำกัด เป็นความสว่างและความสงบเหนือการคาดเดา
เพราะฉะนั้น ความหมายของนิพพานมันไม่ใช่ได้มาจากการขอหรือทำบุญ แต่มันได้มาจากการทดสอบ พิสูจน์ทราบ ค้นหา และค้นคว้า ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน และลงไม้ลงมือกระทำตามที่ค้นคว้าได้แล้วนั้นอย่างจริงจัง และจริงใจ นั่นแหละคือนิพพาน เป็นการสลัดตัดให้หลุด จากสิ่งที่ฉุดให้เราหลงใหลและได้ปลื้มไปด้วย คือ ความหมายของนิพพาน
สรุปก็คือ นิพพานได้มาจากการลงไม้ลงมือกระทำ ไม่ใช่ได้มาจากการสวดมนต์ อ้อนวอน หรือขอพร
ปุจฉา
บริจาคอวัยวะ
การบริจาคอวัยวะร่างกายให้แก่สภากาชาดไทย จะเป็นบุญกุศลอย่างไร และมีผลต่อชีวิต ในอนาคตในชาติหน้าได้อย่างไร
วิสัชนา
ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ใครทำได้ ถือว่าเป็นเรื่องดี
บริจาคตา เกิดชาติหน้าก็จะเป็นคนที่มีตา ปัญญาญาณหยั่งรู้ อาจจะทำให้ถึงขั้นมี ทิพยจักษุ
บริจาคหัวใจ ก็จะทำให้ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยพระธรรมและแสงสว่าง และก็ไม่ทำให้มีทุกข์เดือดร้อนใจในที่สุด คือ จะชนะความทุกข์เดือดร้อนทั้งปวงได้ และก็จะมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง
บริจาคไต บริจาคตับ ก็สามารถทำให้ตนเองขจัด กำจัดสิ่งสกปรก รกรุงรัง และโสโครก ทั้งหลาย เพราะหน้าที่ของไตและตับมันเป็นตัวการกำจัดสิ่งที่ เป็นมลพิษในร่างกาย ในชีวิตตนเองในชาติต่อไปก็จะสามารถ มีอำนาจเหนือมารและซาตาน ทั้งหลายทั้งปวงได้
ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งนั้น ในการบริจาคสิ่งที่เราไม่ได้ใช้แล้ว คือ เราตายแล้วไม่ได้ใช้ ก็ให้แก่คนที่เขาจำเป็นต้องใช้ก็เป็นเรื่องดี ขอสนับสนุน และอนุโมทนา ถ้าใครทำได้ถือว่าเป็นเรื่องดี ยอดมหาทานทีเดียว
หลวงปู่ได้ยินว่า เขามีหลักการในการบริจาคนะ พวกนี้จะต้องเป็นคนไข้ที่ไม่เป็นโรค เป็นคนไข้ที่มีร่างกายไม่ทุพพลภาพ คือไม่เสียหายทางร่างกาย เช่นไม่ติดโรคทางกระแสเลือด คือ ตายโดยอุบัติเหตุ สาเหตุจากปัจจุบันทันด่วน ป่วยตาย แก่ตาย นี่จะด้วยหรือไม่ ไม่แน่ใจ เพราะแก่ตายก็คือศักยภาพมันหมดไปแล้ว จะใช้อะไรไม่ได้แล้ว ลงหลุมไปเถอะโยม ไม่ได้ว่าคนแก่นะ พูดให้ฟัง แต่ว่าส่วนใหญ่ เขาจะเน้นเอาเฉพาะคนที่ป่วยทางสมอง พวกที่มีอุบัติเหตุทางสมองไม่สามารถทำงานได้ เพราะถือว่าศักยภาพในการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ยังสูงอยู่ แต่ต้องใช้ในเวลาไม่เกิน 17 หรือ 20 ชั่วโมง นี่จากที่รู้ๆ มานะ