รองศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ตราพระราชลัญจกร อันเป็นตราประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ ของไทยมีใช้มาแต่โบราณกาลนับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมใช้ประทับบนเอกสาร/หนังสือสำคัญ เช่น พระบรมราชโองการ กฎหมาย เป็นต้น
ต่อมาได้มีการประยุกต์ธรรมเนียมตะวันตกเข้ามาผสมผสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นตราโล่หรือตรา arm อันเป็นเกราะบังอาวุธแต่โบราณ ตราอาร์ม (อังกฤษ: Coat of arms) นั้นเป็นธรรมเนียมที่ไทยเราเอาปรับประยุกต์มาจากเจ้านายในทวีปยุโรป เรียกว่า Heraldry หรือ มุทราศาสตร์
ลักษณะของตราโล่โดยทั่วไปตามวิชามุทราศาสตร์ (Generic coat of arms) จะประกอบด้วย
1) เครื่องยอด (Crest) ของไทยจะผูกด้วยเครื่องศิราภรณ์/แฉกรัศมี/ดารา หรือดาวประดับ
2) แพรประดับ (Torse) ของไทยจะผูกด้วยสายสะพายหรือแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์
3) หมวกเกราะ (Helmet) อันเป็นแบบนักรบโรมันโบราณ ของไทยมักจะนำองค์ประกอบนี้ออกไป
4) มงกุฎ (Crown) ของไทยจะผูกด้วยเครื่องศิราภรณ์ เช่น พระมหาพิชัยมงกุฎ มงกุฎกษัตรีย์ หรือตราพระราชลัญจกร ยกตัวอย่างเช่น ตราพระเกี้ยว
5) ประคองข้าง (Supporter) ของตะวันตกมักเป็นสัตว์ในเทพปกรณัม ของไทยก็มักจะเป็นสัตว์หิมพานต์ เช่น ตราคชสีห์หรือตราราชสีห์ หรือ เป็นฉัตรเคียง หรืออื่น ๆ
6) เสื้อคลุมตราโล่ (Coat of arms) ของตะวันตกจะเป็นเสื้อคลุมของนักรบแต่โบราณ ส่วนของไทยอาจจะมีเสื้อคลุมหรือไม่มีก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ตราอาร์มแผ่นของไทยมีฉลองพระองค์ครุยมหาจักรี
7) ตราโล่ (Escutcheon) ของตะวันตกคือโล่ของนักรบโบราณ และมีการแบ่งออกตราโล่ออกเป็นห้อง โดยมีเส้นแบ่ง อาจจะแบ่งเป็นสามห้องหรือสีห้อง ในแต่ละห้องมักจะใช้สีพื้นห้อง (Field) ที่แตกต่างกันบนตราโล่ และแต่ละห้องจะมีเครื่องหมาย (Charge)
8) เครื่องหมาย (Charge) มักจะเป็นสัญลักษณ์หรือตราประจำตัวเจ้านาย/พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนแสดงลำดับราชสกุลหรือเครือญาติ (Kinship)
9) ฐานรองโล่ (Compartment) ของตะวันตกมักแสดงความเกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ เช่น หินหรือหญ้าสีเขียว ของไทยอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ หากมีก็มักจะเป็นพระแท่น
และ 10) คาถา/ภาษิต (Motto/Slogan) ของตะวันตกมักใช้คาถาภาษิตภาษาละติน ของไทยมักใช้คาถา/ภาษิต หรือพุทธภาษิต ภาษาบาลี

เมื่อสยามเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ก็เริ่มดัดแปลงมุทราศาสตร์หรือตราโล่มาผูกลายแบบไทยๆ ใช้องค์ประกอบศิลป์แบบไทย เริ่มต้นจากออกแบบหรือผูกลายตราประจำพระองค์ ไปจนกระทั่งตราแผ่นดินเช่น ตราอาร์มแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 ผูกลายโดยหม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกแต่ปรับแต่งผสมผสานกับศิลปะไทยจนกลายเป็นไทยอันงดงามราวกับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทที่ทำให้ตะวันออกพบกับตะวันตกได้อย่างงดงามลงตัวเป็นเอกลักษณ์
ทั้งนี้ตราอาร์มแผ่นดินของไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผูกลายด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ อันประกอบด้วยพระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกรชัยพฤกษ์ ฉลองพระบาทเชิงงอน
พระมหาพิชัยมงกุฎหรือ The crown มีเครื่องยอด (Crest) คือรัศมีรอบพระมหาพิชัยมงกุฎ ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎมีตราจักรี ใต้ตราจักรีมีตราโล่ (Escutcheon)
ในตราโล่แบ่งเป็นสามห้อง ห้องบนมีตราช้างเอราวัณสามเศียรบนสีพื้นห้องสีเหลือง หมายถึงราชอาณาจักรสยาม ห้องล่างซ้ายมีตราช้างเผือกหมายถึงล้านช้าง ห้องล่างขวามีตรากริชคดและกริชตรงหมายถึงมลายู สองห้องล่างจึงแทนหัวเมืองประเทศราช
รอบตราโล่ประดับด้วยพระมหาสังวาลนพรัตน์รัตนราชวราภรณ์ อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ เป็นเครื่องหมายแห่งพระพุทธศาสนา และรองด้วยฉลองพระองค์ครุยมหาจักรีหลังตราโล่ ใต้ตราโล่มีสายสร้อยเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
แพรประดับ (Torse) คือแพรแถบสีชมพูของเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
ประคองข้าง (Supporter) ประกอบด้วยฉัตร 7 ชั้น (เคียงข้างพระมหาพิชัยมงกุฎ) อันแสดงให้เห็นว่าไทยปกครองแบบราชาธิปไตย และตราพระคชสีห์และพระราชสีห์ หมายถึงกลาโหมและมหาดไทย อันเป็นรูปแบบการปกครองของไทยที่มีทั้งทหารและพลเรือน
ฐานรองโล่ (Compartment) คือพระแท่นทรงจตุรมุขแบบไทย
คาถา/ภาษิต (Motto/Slogan) นั้นมีพระคาถาบาลีกำกับว่า "สพฺเพสํ สงฺฆภูตานํ สามคฺคี วุฑฺฒิสาธิกา" และตราดาราจุลจอมเกล้า คาถานี้แปลว่า "ความพร้อมเพรียงของบุคคลทั้งปวงผู้อยู่เป็นหมวดหมู่กัน ย่อมเป็นเครื่องทำความเจริญให้สำเร็จ" คาถาบทนี้เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) เปรียญธรรม 18 ประโยค สถิตที่วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สกลมหาสังฆปริณายก ผู้ผูกคาถาภาษิตกำกับตราอาร์มแผ่นดินถวายพระปิยมหาราชนี้ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ผนวชเป็นสามเณรในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงศึกษาภาษาบาลีกับวชิรญาโณภิกขุหรือต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช ได้อุปสมบทเป็นนาคหลวงด้วยทรงสอบไล่ได้เปรียญ 9 ประโยคขณะยังเป็นสามเณรรูปแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ต่อมาได้ลาสิกขาออกไปประกอบอาชีพ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ ทรงถามนายสาว่าจะบวชอีกหรือไม่ ได้พระราชทานเครื่องอัฏฐบริขารในการบวชให้นายสา และได้ทรงสอบไล่ได้เปรียญ 9 ประโยคอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
พระคาถาภาษิตกำกับตราอาร์มแผ่นดินนี้ เป็นที่พอพระทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นอย่างยิ่ง ดังที่ได้พระราชนิพนธ์เรื่อง “พระบรมราชาธิบายว่าด้วยเรื่องความสามัคคี” ขึ้น ความตอนหนึ่งว่า
“...คาถานี้เป็นคาถาซึ่งจารึกในอามแผ่นดินเป็นคาถาที่ว่าทั่วไปในหมู่ทั้งปวง...ไม่ว่าถึงคนทั้งปวงซึ่งเป็นหมู่ใหญ่ทั่วไป ยกเอาพวกที่เป็นผู้รับราชการเป็นผู้ปกครองรักษาและเป็นผู้ทำนุบำรุงบ้านเมืองจะประพฤติ อย่างไร จึงจะเป็นการสมควรถูกต้องด้วยคาถาสุภาษิตนี้ และจะได้รับความเจริญตามคาถาสุภาษิตนี้....”
“...ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านผู้ซึ่งมีความคิดอยู่ปลายทั้งสองฝ่าย ควรจะลดหย่อนความคิดเห็นของตนร่นลง มาให้อยู่ตรงกลางผู้จะจัดการบ้านเมืองตามเวลาที่สมควรจะสำเร็จตลอดไปได้ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกันในอย่างกลางนี้แล้ว จะเป็นผลให้การทั้งปวงสำเร็จตลอดไปได้ ดีกว่าที่จัดอยู่หัว
อยู่ท้ายนั้นมาก...”
เมื่อทรงให้ผูกตราอาร์มแผ่นดินนี้แล้ว ได้ทรงใช้ตราอาร์มแผ่นดินองค์นี้เป็นตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ด้วย ดังองค์พระราชลัญจกรประจำพระองค์ด้านล่างนี้

โดยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จึงได้ใช้รูปพระราชลัญฉกรประจำแผ่นดินนี้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องหมายราชการของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ" ดังกำหนดอยู่ในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดภาพเครื่องหมายราชการ ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายราชการ พุทธศักราช 2482 (ฉบับที่ 58) ลงวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2513 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 87 ตอนที่ 77 วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2513 หน้า 431-472 โดยผูกแพรใต้ตราอาร์มชื่อ รร. นายร้อย จปร. เอาไว้ เน้นโทนสีเหลืองแดง

สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ตราพระราชลัญจกร อันเป็นตราประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ ของไทยมีใช้มาแต่โบราณกาลนับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมใช้ประทับบนเอกสาร/หนังสือสำคัญ เช่น พระบรมราชโองการ กฎหมาย เป็นต้น
ต่อมาได้มีการประยุกต์ธรรมเนียมตะวันตกเข้ามาผสมผสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นตราโล่หรือตรา arm อันเป็นเกราะบังอาวุธแต่โบราณ ตราอาร์ม (อังกฤษ: Coat of arms) นั้นเป็นธรรมเนียมที่ไทยเราเอาปรับประยุกต์มาจากเจ้านายในทวีปยุโรป เรียกว่า Heraldry หรือ มุทราศาสตร์
ลักษณะของตราโล่โดยทั่วไปตามวิชามุทราศาสตร์ (Generic coat of arms) จะประกอบด้วย
1) เครื่องยอด (Crest) ของไทยจะผูกด้วยเครื่องศิราภรณ์/แฉกรัศมี/ดารา หรือดาวประดับ
2) แพรประดับ (Torse) ของไทยจะผูกด้วยสายสะพายหรือแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์
3) หมวกเกราะ (Helmet) อันเป็นแบบนักรบโรมันโบราณ ของไทยมักจะนำองค์ประกอบนี้ออกไป
4) มงกุฎ (Crown) ของไทยจะผูกด้วยเครื่องศิราภรณ์ เช่น พระมหาพิชัยมงกุฎ มงกุฎกษัตรีย์ หรือตราพระราชลัญจกร ยกตัวอย่างเช่น ตราพระเกี้ยว
5) ประคองข้าง (Supporter) ของตะวันตกมักเป็นสัตว์ในเทพปกรณัม ของไทยก็มักจะเป็นสัตว์หิมพานต์ เช่น ตราคชสีห์หรือตราราชสีห์ หรือ เป็นฉัตรเคียง หรืออื่น ๆ
6) เสื้อคลุมตราโล่ (Coat of arms) ของตะวันตกจะเป็นเสื้อคลุมของนักรบแต่โบราณ ส่วนของไทยอาจจะมีเสื้อคลุมหรือไม่มีก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ตราอาร์มแผ่นของไทยมีฉลองพระองค์ครุยมหาจักรี
7) ตราโล่ (Escutcheon) ของตะวันตกคือโล่ของนักรบโบราณ และมีการแบ่งออกตราโล่ออกเป็นห้อง โดยมีเส้นแบ่ง อาจจะแบ่งเป็นสามห้องหรือสีห้อง ในแต่ละห้องมักจะใช้สีพื้นห้อง (Field) ที่แตกต่างกันบนตราโล่ และแต่ละห้องจะมีเครื่องหมาย (Charge)
8) เครื่องหมาย (Charge) มักจะเป็นสัญลักษณ์หรือตราประจำตัวเจ้านาย/พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนแสดงลำดับราชสกุลหรือเครือญาติ (Kinship)
9) ฐานรองโล่ (Compartment) ของตะวันตกมักแสดงความเกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ เช่น หินหรือหญ้าสีเขียว ของไทยอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ หากมีก็มักจะเป็นพระแท่น
และ 10) คาถา/ภาษิต (Motto/Slogan) ของตะวันตกมักใช้คาถาภาษิตภาษาละติน ของไทยมักใช้คาถา/ภาษิต หรือพุทธภาษิต ภาษาบาลี
เมื่อสยามเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ก็เริ่มดัดแปลงมุทราศาสตร์หรือตราโล่มาผูกลายแบบไทยๆ ใช้องค์ประกอบศิลป์แบบไทย เริ่มต้นจากออกแบบหรือผูกลายตราประจำพระองค์ ไปจนกระทั่งตราแผ่นดินเช่น ตราอาร์มแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 ผูกลายโดยหม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกแต่ปรับแต่งผสมผสานกับศิลปะไทยจนกลายเป็นไทยอันงดงามราวกับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทที่ทำให้ตะวันออกพบกับตะวันตกได้อย่างงดงามลงตัวเป็นเอกลักษณ์
ทั้งนี้ตราอาร์มแผ่นดินของไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผูกลายด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ อันประกอบด้วยพระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกรชัยพฤกษ์ ฉลองพระบาทเชิงงอน
พระมหาพิชัยมงกุฎหรือ The crown มีเครื่องยอด (Crest) คือรัศมีรอบพระมหาพิชัยมงกุฎ ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎมีตราจักรี ใต้ตราจักรีมีตราโล่ (Escutcheon)
ในตราโล่แบ่งเป็นสามห้อง ห้องบนมีตราช้างเอราวัณสามเศียรบนสีพื้นห้องสีเหลือง หมายถึงราชอาณาจักรสยาม ห้องล่างซ้ายมีตราช้างเผือกหมายถึงล้านช้าง ห้องล่างขวามีตรากริชคดและกริชตรงหมายถึงมลายู สองห้องล่างจึงแทนหัวเมืองประเทศราช
รอบตราโล่ประดับด้วยพระมหาสังวาลนพรัตน์รัตนราชวราภรณ์ อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ เป็นเครื่องหมายแห่งพระพุทธศาสนา และรองด้วยฉลองพระองค์ครุยมหาจักรีหลังตราโล่ ใต้ตราโล่มีสายสร้อยเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
แพรประดับ (Torse) คือแพรแถบสีชมพูของเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
ประคองข้าง (Supporter) ประกอบด้วยฉัตร 7 ชั้น (เคียงข้างพระมหาพิชัยมงกุฎ) อันแสดงให้เห็นว่าไทยปกครองแบบราชาธิปไตย และตราพระคชสีห์และพระราชสีห์ หมายถึงกลาโหมและมหาดไทย อันเป็นรูปแบบการปกครองของไทยที่มีทั้งทหารและพลเรือน
ฐานรองโล่ (Compartment) คือพระแท่นทรงจตุรมุขแบบไทย
คาถา/ภาษิต (Motto/Slogan) นั้นมีพระคาถาบาลีกำกับว่า "สพฺเพสํ สงฺฆภูตานํ สามคฺคี วุฑฺฒิสาธิกา" และตราดาราจุลจอมเกล้า คาถานี้แปลว่า "ความพร้อมเพรียงของบุคคลทั้งปวงผู้อยู่เป็นหมวดหมู่กัน ย่อมเป็นเครื่องทำความเจริญให้สำเร็จ" คาถาบทนี้เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) เปรียญธรรม 18 ประโยค สถิตที่วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สกลมหาสังฆปริณายก ผู้ผูกคาถาภาษิตกำกับตราอาร์มแผ่นดินถวายพระปิยมหาราชนี้ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ผนวชเป็นสามเณรในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงศึกษาภาษาบาลีกับวชิรญาโณภิกขุหรือต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช ได้อุปสมบทเป็นนาคหลวงด้วยทรงสอบไล่ได้เปรียญ 9 ประโยคขณะยังเป็นสามเณรรูปแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ต่อมาได้ลาสิกขาออกไปประกอบอาชีพ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ ทรงถามนายสาว่าจะบวชอีกหรือไม่ ได้พระราชทานเครื่องอัฏฐบริขารในการบวชให้นายสา และได้ทรงสอบไล่ได้เปรียญ 9 ประโยคอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
พระคาถาภาษิตกำกับตราอาร์มแผ่นดินนี้ เป็นที่พอพระทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นอย่างยิ่ง ดังที่ได้พระราชนิพนธ์เรื่อง “พระบรมราชาธิบายว่าด้วยเรื่องความสามัคคี” ขึ้น ความตอนหนึ่งว่า
“...คาถานี้เป็นคาถาซึ่งจารึกในอามแผ่นดินเป็นคาถาที่ว่าทั่วไปในหมู่ทั้งปวง...ไม่ว่าถึงคนทั้งปวงซึ่งเป็นหมู่ใหญ่ทั่วไป ยกเอาพวกที่เป็นผู้รับราชการเป็นผู้ปกครองรักษาและเป็นผู้ทำนุบำรุงบ้านเมืองจะประพฤติ อย่างไร จึงจะเป็นการสมควรถูกต้องด้วยคาถาสุภาษิตนี้ และจะได้รับความเจริญตามคาถาสุภาษิตนี้....”
“...ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านผู้ซึ่งมีความคิดอยู่ปลายทั้งสองฝ่าย ควรจะลดหย่อนความคิดเห็นของตนร่นลง มาให้อยู่ตรงกลางผู้จะจัดการบ้านเมืองตามเวลาที่สมควรจะสำเร็จตลอดไปได้ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกันในอย่างกลางนี้แล้ว จะเป็นผลให้การทั้งปวงสำเร็จตลอดไปได้ ดีกว่าที่จัดอยู่หัว
อยู่ท้ายนั้นมาก...”
เมื่อทรงให้ผูกตราอาร์มแผ่นดินนี้แล้ว ได้ทรงใช้ตราอาร์มแผ่นดินองค์นี้เป็นตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ด้วย ดังองค์พระราชลัญจกรประจำพระองค์ด้านล่างนี้
โดยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จึงได้ใช้รูปพระราชลัญฉกรประจำแผ่นดินนี้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องหมายราชการของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ" ดังกำหนดอยู่ในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดภาพเครื่องหมายราชการ ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายราชการ พุทธศักราช 2482 (ฉบับที่ 58) ลงวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2513 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 87 ตอนที่ 77 วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2513 หน้า 431-472 โดยผูกแพรใต้ตราอาร์มชื่อ รร. นายร้อย จปร. เอาไว้ เน้นโทนสีเหลืองแดง


