ผศ. ดร. ดารารัตน์ อานันทนสุวงศ์
รศ. ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
รศ.ดร. พาชิตชนัต ศิริพานิช
รศ.ดร. เดือนเพ็ญ ธีรวรรณวิวัฒน์
ผศ. ดร. ปรีชา วิจิตรธรรมรส
ผศ. ดร. รติพร ถึงฝั่ง
รศ. ดร.อุดมศักดิ์ ศีลประชาวงศ์
ไพลิน เชื้อหยก
ดนุพล ทองคำ
วศิน แก้วชาญค้า
ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ
ศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ปัจจุบันมนุษยชาติถูกท้าทายด้วยปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยีที่เจริญรุดหน้าที่อาจจะมาแทนความ สามารถของมนุษย์ อัตราการของเกิดประชากรลดลง และอายุขัยของประชากรยืนยาวขึ้นจากนวัตกรรมทางการ แพทย์และสาธารณสุขที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ในปี 2568 มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1,200 ล้านคน
ในประเทศไทยมีจำนวนประชากรอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป หรือจำนวนผู้สูงอายุ เพิ่มเป็นประมาณ 14 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 22 ของประชากรไทยทั้งหมด และในปี 2580 มีการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้สูงอายุสูงเพิ่มเป็น ประมาณ 20 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ [จากการคาดประมาณรชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553 - 2583 (ฉบับปรับปรุง) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งขาติ]
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรดังกล่าว เป็นเปลี่ยนผ่านจากสังคมสูงอายุ (Aging society) ในปี 2548 ที่มีสัดส่วนประชากรสูงอายุร้อยละ 10 มาเป็นสังคมคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete aged society) ในปี 2568 อย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาประมาณ 20 ปี และจะใช้เวลาอีกประมาณ 15 ปีในการเปลี่ยนผ่านจากสังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ไปเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super aged society)
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศไทย ที่เกิดชึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาประมาณ 20 ปี ได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจและทางสังคม ที่เห็นได้ชัดเจนคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาด แรงงานที่มีสัดส่วนในกำลังแรงงานของผู้อยู่ในวัยทำงานลดลงแต่จำนวนผู้เกษียณงานหรือผู้สูงอายุมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวก็กลายเป็นครอบครัวเดี่ยวมีสัดส่วนสูงขึ้น ครอบครัวขยายที่มีสมาชิกหลายรุ่นคนอยู่ด้วยกันลดลง ประชากรสถานภาพโสดก็มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ผู้หญิงมีอายุขัยยืนยาวกว่าผู้ชาย
ถึงแม้จะมีการเตรียมตัวทางนโยบายมารองรับการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุมาตั้งแต่ปี 2548 แต่ก็เป็นนโยบายบนฐานคติทางวัฒนธรรมไทยที่ “ผู้สูงอายุเป็นผู้เปราะบาง” รัฐ ชุมขน และครอบครัว ต้องคอยปกป้องและป้องกันในรูปแบบของสวัสดิการจากรัฐและชุมชน และผู้สูงอายุเป็น บุพการีที่ต้อง “ดูแลให้ความเคารพ เป็นพระในบ้าน” ดูแลด้วยความกตัญญูกตเวที ในมุมมองหนึ่งทัศนคติแบบนี้นับเป็นสิ่งที่ดีในกรณีที่ผู้สูงอายุอยู่ในฐานะที่สุขภาพทางกายหรือใจที่เสื่อมลงต้องพึ่งพาสมาชิกในครอบครัว
แต่ในอีกด้านหนึ่งเป็นการปิดกั้นศักยภาพหรือการไม่เคารพในสิทธิมนุษยชนหรือการตัดสินใจของผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพกายและใจที่ยังแข็งแรง ยังมีความต้องการใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในการดำรงชีวิตตามความต้องการของตนเองต่อไป การกำหนดนโยบายสวัสดิการของรัฐหรือการกตัญญูรู้คุณบุพการีที่เป็นมาสะท้อนให้เห็นแนวคิดเกี่ยว กับการสูงอายุบนฐานของจำนวนปีที่ผ่านชีวิตมาแล้วหรืออายุตามปีปฏิทิน (Chronological age)
ในปัจจุบันที่สถานการณ์จำนวนและสัดส่วนของผู้สูงอายุสูงมากขึ้นจนเป็นประเด็นปัญหาด้านงบประมาณของภาครัฐที่นำมาสนับสนุนสวัสดิการผู้สูงอายุทั้งในแง่ที่ไม่ครอบคลุมและไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ตลอดจนภาระทางการเงินของสมาชิกในครอบครัวหรือของผู้สูงอายุเอง ดังคำเปรียบเปรยที่ว่า ผู้สูงอายุไทย “แก่ก่อนรวย” หรือสังคมไทยเป็นสังคมที่แก่แต่จน เช่น
บทความเปิดงานวิจัยพบ “แก่และจน” มีเกินครึ่งประเทศ 60-70% ต้องการความช่วยเหลือ https://www.isranews.org/content-page/item/23144-เปิดงานวิจัยพบ-“แก่และจน”-มีเกินครึ่งประเทศ-60-70-ต้องการความช่วยเหลือ.html
คนไทยจนตอนแก่ ปัญหาระดับชาติhttps://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/retirement-plan/poor-when-get-old
สูงวัยไร้เงิน จนตอนแก่ แล้วใครจะมาดูแล กระตุ้นบทบาทชุมชน ที่พึ่งพิงก่อนตาย https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2625895
เปิดความจริงคนไทย ยิ่งแก่ยิ่งจน https://www.matichon.co.th/lifestyle/news_1127262 และ https://www.chula.ac.th/clipping/12957/
“แก่แต่จน” ขยายอายุเกษียณ เปลี่ยนประเทศไทยให้ยั่งยืน https://mgronline.com/daily/detail/9680000101766
แก่แต่จน : ประชากรไทยจะแก่สักแค่ไหน จะเกิดปัญหาอะไร แก้ไขได้หรือไม่ ? https://mgronline.com/daily/detail/9680000106311
แก่แต่จน : กองทุนไหนของไทยจะล้มละลายไม่รอด สร้างภาระทางการคลังให้กับลูกหลานไทยในอนาคต https://mgronline.com/daily/detail/9680000110451
ทั้งนี้ปัญหาสังคมสูงอายุ (Aging society) เป็นปัญหาสำคัญของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากต่างประสบปัญหาสังคมสูงอายุ ปัญหาสังคมสูงอายุขั้นสูงสุด (Super aged society) กันเป็นจำนวนมาก
จนทำให้องค์การสหประชาชาติต้องนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาการสูงอายุของประชากรที่ให้ใช้มุมมองการสูงอายุว่าเป็นผู้มีพฤฒิพลัง (Active aging) คือมีศักยภาพหรือความสามารถในการมีส่วนร่วมทำกิจกรรมต่างๆทั้งที่เป็นงานสร้างรายได้หรืองานอาสาสมัครที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และครอบครัว หรือ สูงวัยแต่มีผลิตภาพ (Productive aging) ซึ่งแนวทางใหม่นี้ มีฐานความคิดหรือทัศนคติที่ต่างไปจากการมองอดีตของการสูงอายุ ที่มองการสูงอายุตามปีปฏิทิน (Chronological aging) มาเป็น การมองอนาคตของการสูงอายุ (Prospective aging)
เดิมนั้นเราพิจารณาการสูงอายุตามตามปีปฏิทิน และสิ่งที่เราสนใจคือ อายุขัยเฉลี่ยของประชากร (Life expectancy) เนื่องจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจทำให้ประชากรโลกมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวมากขึ้น เช่น เมื่อ 70 ปีที่แล้ว คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 45 ปี แต่ในปัจจุบันมีอายุขัยเฉลี่ย สูงเกือบ 80 ปีสำหรับเพศหญิง

การมองอนาคตของการสูงอายุ (Prospective aging) ไม่ได้พิจารณาแค่อายุขัยเฉลี่ย (life expectancy) อันเป็นมุมมองจากอายุตามปีปฏิทินแต่อย่างเดียว แต่สนใจพิจารณา อายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดี (Healthy life expectancy) อันเป็นอายุขัยเฉลี่ยที่ยังคงมีสุขภาพดีอยู่ เท่ากับ อายุขัยเฉลี่ยหักออกด้วย ปีที่อยู่อย่างไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ (Years with disability) ค่าสถิติล่าสุดของประเทศไทย มีอายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดีอยู่ที่ 66 ปี และมีปีที่อยู่อย่างไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ (Years with disability) เท่ากับ 9.7 ปี ดังแผนภาพด้านล่างนี้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าอายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดีของไทยก็เพิ่มขึ้นมาโดยตลอดเช่นกัน
การมองอนาคตของการสูงอายุ (Prospective aging) จึงควรต้องพิจารณาว่าผู้สูงอายุจะยังคงมีอายุขัยเฉลี่ยในการทำงาน (Working life expectancy) เป็นเท่าใด

อายุขัยเฉลี่ยในการทำงาน (Working life expectancy: WLE) จะพิจารณาว่าว่าในช่วงอายุที่เหลือ ณ. อายุหนึ่งเช่น 60 ปี (อายุขัยจากอายุ 60 ปี) จะมีอายุที่คาดหวังว่าจะดำรงชีวิตอย่างมีศักยภาพต่อไปอีกกี่ปี ตัวอย่างเช่น อายุขัยในการทำงาน (Working life expectancy) คือ การประมาณจำนวนปีที่คาดว่าผู้ที่อายุ ณ. อายุ 60 ปีจะสามารถทำงานกี่ปีในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่โดยเฉลี่ย เช่น ในช่วงอายุขัยที่เหลือ (Remaining life expectancy) 22 ปี เพราะอายุขัยเฉลี่ยคือ 82 ปี จำนวนปีที่คาดว่าจะสามารถทำงานหรืออายุขัยเฉลี่ยในการทำงานเท่ากับ 5 ปีโดยเฉลี่ย หรือประมาณร้อยละ 23 ของช่วงอายุขัยที่มีอยู่ (23=(5*100)/22) ที่อยู่อย่างไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ (Years with disability) เท่ากับ 9.7 ปี
แน่นอนว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่อาจจะทำงานไปได้จนตาย สุดท้ายมนุษย์เมื่ออยู่ในวัยปัจฉิมชรา (Later elderly) ก็มักจะอยู่ในช่วงปีที่อยู่อย่างไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ (Years with disability) แต่หากหักลบแล้ว เนื่องจากประชากรมีอายุขัยเฉลี่ยและอายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดียืนยาวมากขึ้นก็ทำให้เพิ่มโอกาสอายุขัยในการทำงานเฉลี่ยสูงขึ้นด้วยเช่นกัน (หากนโยบายการจ้างงาน นโยบายการกำหนดอายุเกษียณ ตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจและภาวะการมีงานทำจะเกื้อหนุน)
สถิติจาก EUROSTAT ชี้ให้เห็นว่าอายุขัยในการทำงานเฉลี่ย WLE ของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประชากรในยุโรปมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวมากขึ้น อันเป็นผลพวงของความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้อายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดียืนยาวมากขึ้นเช่นกัน (ข้อมูลและกราฟจาก https://ec.europa.eu/eurostat/statistics-explained/index.php?title=Duration_of_working_life_-_statistics) แต่ในยุโรปมีช่องว่างระหว่างเพศของอายุขัยในการทำงานเฉลี่ย โดยที่เพศชายจะมีอายุขัยในการทำงานเฉลี่ยยืนยาวกว่าเพศหญิง

นอกจากนี้นโยบายด้านสวัสดิการสังคมและภาวะสังคมสูงอายุในแต่ละประเทศก็ส่งผลต่ออายุขัยเฉลี่ยในการทำงาน มีความแตกต่างกันมากแม้ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปด้วยกัน

ยุโรปตอนเหนือ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียน มีอายุขัยเฉลี่ยในการทำงานสูงมาก เนื่องจากเป็นรัฐสวัสดิการสังคม จำเป็นต้องสะสมความมั่งคั่งไม่ให้แก่แต่จนให้เพียงพอเสียก่อน จึงจะได้รับบำนาญหรือสวัสดิการสังคม ในขณะที่ประเทศยุโรปตอนล่างมีแนวโน้มที่จะมีอายุขัยเฉลี่ยในการทำงานต่ำกว่ากันมาก
อายุขัยเฉลี่ยในการทำงานของแต่ละบุคคลอาจจะแตกต่างกันไปจากปัจจัยด้านสุขภาพตลอดจนอาชีพและภูมิลำเนา เช่น อายุขัยเฉลี่ยในการทำงานของคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ป่วยที่อยู่ในเมืองหรือในชนบท น่าจะแตกต่างกันคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมีแนวโน้มจะมีอายุขัยเฉลี่ยที่สุขภาพดีสั้นกว่า ทำให้มีอายุขัยในการทำงานสั้นลง ยิ่งเป็นผู้สูงอายุที่อยู่ในชนบทมีโอกาสที่จะถูกจ้างงานต่ำกว่าผู้ที่อยู่ในเมือง ทำให้อายุขัยเฉลี่ยในการทำงานน่าจะไม่ยาวนานเท่า
การปรับเปลี่ยนแนวคิดไปสู่การคาดการณ์ในอนาคตของการสูงอายุ (Prospective age) จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายและมาตรการในการเตรียมการรองรับสังคมสูงอายุในทางที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุที่ยังมีศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานหรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆทางสังคม เป็นมุมมองที่ส่งเสริมผู้สูง อายุให้คงศักยภาพไว้ให้นานที่สุด แทนมุมมองในแบบดั้งเดิมที่สะท้อนว่าการสูงอายุ เป็นภาระ หรือเป็นผู้เปราะบางของสังคมและครอบครัว
มุมมองใหม่นี้นอกจากการปกป้องศักยภาพในการมีส่วนร่วมทางสังคมแล้วยังนำไปสู่การเคารพในสิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุด้วย การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์และกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด ต้องมีมุมมองใหม่ แนวทางใหม่ในการกำหนดนโยยายและมาตรการ ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นคน (Intergenerational relations) ในครอบครัว จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย
รศ. ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
รศ.ดร. พาชิตชนัต ศิริพานิช
รศ.ดร. เดือนเพ็ญ ธีรวรรณวิวัฒน์
ผศ. ดร. ปรีชา วิจิตรธรรมรส
ผศ. ดร. รติพร ถึงฝั่ง
รศ. ดร.อุดมศักดิ์ ศีลประชาวงศ์
ไพลิน เชื้อหยก
ดนุพล ทองคำ
วศิน แก้วชาญค้า
ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ
ศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ปัจจุบันมนุษยชาติถูกท้าทายด้วยปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยีที่เจริญรุดหน้าที่อาจจะมาแทนความ สามารถของมนุษย์ อัตราการของเกิดประชากรลดลง และอายุขัยของประชากรยืนยาวขึ้นจากนวัตกรรมทางการ แพทย์และสาธารณสุขที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ในปี 2568 มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1,200 ล้านคน
ในประเทศไทยมีจำนวนประชากรอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป หรือจำนวนผู้สูงอายุ เพิ่มเป็นประมาณ 14 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 22 ของประชากรไทยทั้งหมด และในปี 2580 มีการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้สูงอายุสูงเพิ่มเป็น ประมาณ 20 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ [จากการคาดประมาณรชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553 - 2583 (ฉบับปรับปรุง) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งขาติ]
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรดังกล่าว เป็นเปลี่ยนผ่านจากสังคมสูงอายุ (Aging society) ในปี 2548 ที่มีสัดส่วนประชากรสูงอายุร้อยละ 10 มาเป็นสังคมคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete aged society) ในปี 2568 อย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาประมาณ 20 ปี และจะใช้เวลาอีกประมาณ 15 ปีในการเปลี่ยนผ่านจากสังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ไปเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super aged society)
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศไทย ที่เกิดชึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาประมาณ 20 ปี ได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจและทางสังคม ที่เห็นได้ชัดเจนคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาด แรงงานที่มีสัดส่วนในกำลังแรงงานของผู้อยู่ในวัยทำงานลดลงแต่จำนวนผู้เกษียณงานหรือผู้สูงอายุมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวก็กลายเป็นครอบครัวเดี่ยวมีสัดส่วนสูงขึ้น ครอบครัวขยายที่มีสมาชิกหลายรุ่นคนอยู่ด้วยกันลดลง ประชากรสถานภาพโสดก็มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ผู้หญิงมีอายุขัยยืนยาวกว่าผู้ชาย
ถึงแม้จะมีการเตรียมตัวทางนโยบายมารองรับการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุมาตั้งแต่ปี 2548 แต่ก็เป็นนโยบายบนฐานคติทางวัฒนธรรมไทยที่ “ผู้สูงอายุเป็นผู้เปราะบาง” รัฐ ชุมขน และครอบครัว ต้องคอยปกป้องและป้องกันในรูปแบบของสวัสดิการจากรัฐและชุมชน และผู้สูงอายุเป็น บุพการีที่ต้อง “ดูแลให้ความเคารพ เป็นพระในบ้าน” ดูแลด้วยความกตัญญูกตเวที ในมุมมองหนึ่งทัศนคติแบบนี้นับเป็นสิ่งที่ดีในกรณีที่ผู้สูงอายุอยู่ในฐานะที่สุขภาพทางกายหรือใจที่เสื่อมลงต้องพึ่งพาสมาชิกในครอบครัว
แต่ในอีกด้านหนึ่งเป็นการปิดกั้นศักยภาพหรือการไม่เคารพในสิทธิมนุษยชนหรือการตัดสินใจของผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพกายและใจที่ยังแข็งแรง ยังมีความต้องการใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในการดำรงชีวิตตามความต้องการของตนเองต่อไป การกำหนดนโยบายสวัสดิการของรัฐหรือการกตัญญูรู้คุณบุพการีที่เป็นมาสะท้อนให้เห็นแนวคิดเกี่ยว กับการสูงอายุบนฐานของจำนวนปีที่ผ่านชีวิตมาแล้วหรืออายุตามปีปฏิทิน (Chronological age)
ในปัจจุบันที่สถานการณ์จำนวนและสัดส่วนของผู้สูงอายุสูงมากขึ้นจนเป็นประเด็นปัญหาด้านงบประมาณของภาครัฐที่นำมาสนับสนุนสวัสดิการผู้สูงอายุทั้งในแง่ที่ไม่ครอบคลุมและไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ตลอดจนภาระทางการเงินของสมาชิกในครอบครัวหรือของผู้สูงอายุเอง ดังคำเปรียบเปรยที่ว่า ผู้สูงอายุไทย “แก่ก่อนรวย” หรือสังคมไทยเป็นสังคมที่แก่แต่จน เช่น
บทความเปิดงานวิจัยพบ “แก่และจน” มีเกินครึ่งประเทศ 60-70% ต้องการความช่วยเหลือ https://www.isranews.org/content-page/item/23144-เปิดงานวิจัยพบ-“แก่และจน”-มีเกินครึ่งประเทศ-60-70-ต้องการความช่วยเหลือ.html
คนไทยจนตอนแก่ ปัญหาระดับชาติhttps://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/retirement-plan/poor-when-get-old
สูงวัยไร้เงิน จนตอนแก่ แล้วใครจะมาดูแล กระตุ้นบทบาทชุมชน ที่พึ่งพิงก่อนตาย https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2625895
เปิดความจริงคนไทย ยิ่งแก่ยิ่งจน https://www.matichon.co.th/lifestyle/news_1127262 และ https://www.chula.ac.th/clipping/12957/
“แก่แต่จน” ขยายอายุเกษียณ เปลี่ยนประเทศไทยให้ยั่งยืน https://mgronline.com/daily/detail/9680000101766
แก่แต่จน : ประชากรไทยจะแก่สักแค่ไหน จะเกิดปัญหาอะไร แก้ไขได้หรือไม่ ? https://mgronline.com/daily/detail/9680000106311
แก่แต่จน : กองทุนไหนของไทยจะล้มละลายไม่รอด สร้างภาระทางการคลังให้กับลูกหลานไทยในอนาคต https://mgronline.com/daily/detail/9680000110451
ทั้งนี้ปัญหาสังคมสูงอายุ (Aging society) เป็นปัญหาสำคัญของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากต่างประสบปัญหาสังคมสูงอายุ ปัญหาสังคมสูงอายุขั้นสูงสุด (Super aged society) กันเป็นจำนวนมาก
จนทำให้องค์การสหประชาชาติต้องนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาการสูงอายุของประชากรที่ให้ใช้มุมมองการสูงอายุว่าเป็นผู้มีพฤฒิพลัง (Active aging) คือมีศักยภาพหรือความสามารถในการมีส่วนร่วมทำกิจกรรมต่างๆทั้งที่เป็นงานสร้างรายได้หรืองานอาสาสมัครที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และครอบครัว หรือ สูงวัยแต่มีผลิตภาพ (Productive aging) ซึ่งแนวทางใหม่นี้ มีฐานความคิดหรือทัศนคติที่ต่างไปจากการมองอดีตของการสูงอายุ ที่มองการสูงอายุตามปีปฏิทิน (Chronological aging) มาเป็น การมองอนาคตของการสูงอายุ (Prospective aging)
เดิมนั้นเราพิจารณาการสูงอายุตามตามปีปฏิทิน และสิ่งที่เราสนใจคือ อายุขัยเฉลี่ยของประชากร (Life expectancy) เนื่องจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจทำให้ประชากรโลกมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวมากขึ้น เช่น เมื่อ 70 ปีที่แล้ว คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 45 ปี แต่ในปัจจุบันมีอายุขัยเฉลี่ย สูงเกือบ 80 ปีสำหรับเพศหญิง
การมองอนาคตของการสูงอายุ (Prospective aging) ไม่ได้พิจารณาแค่อายุขัยเฉลี่ย (life expectancy) อันเป็นมุมมองจากอายุตามปีปฏิทินแต่อย่างเดียว แต่สนใจพิจารณา อายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดี (Healthy life expectancy) อันเป็นอายุขัยเฉลี่ยที่ยังคงมีสุขภาพดีอยู่ เท่ากับ อายุขัยเฉลี่ยหักออกด้วย ปีที่อยู่อย่างไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ (Years with disability) ค่าสถิติล่าสุดของประเทศไทย มีอายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดีอยู่ที่ 66 ปี และมีปีที่อยู่อย่างไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ (Years with disability) เท่ากับ 9.7 ปี ดังแผนภาพด้านล่างนี้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าอายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดีของไทยก็เพิ่มขึ้นมาโดยตลอดเช่นกัน
การมองอนาคตของการสูงอายุ (Prospective aging) จึงควรต้องพิจารณาว่าผู้สูงอายุจะยังคงมีอายุขัยเฉลี่ยในการทำงาน (Working life expectancy) เป็นเท่าใด
อายุขัยเฉลี่ยในการทำงาน (Working life expectancy: WLE) จะพิจารณาว่าว่าในช่วงอายุที่เหลือ ณ. อายุหนึ่งเช่น 60 ปี (อายุขัยจากอายุ 60 ปี) จะมีอายุที่คาดหวังว่าจะดำรงชีวิตอย่างมีศักยภาพต่อไปอีกกี่ปี ตัวอย่างเช่น อายุขัยในการทำงาน (Working life expectancy) คือ การประมาณจำนวนปีที่คาดว่าผู้ที่อายุ ณ. อายุ 60 ปีจะสามารถทำงานกี่ปีในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่โดยเฉลี่ย เช่น ในช่วงอายุขัยที่เหลือ (Remaining life expectancy) 22 ปี เพราะอายุขัยเฉลี่ยคือ 82 ปี จำนวนปีที่คาดว่าจะสามารถทำงานหรืออายุขัยเฉลี่ยในการทำงานเท่ากับ 5 ปีโดยเฉลี่ย หรือประมาณร้อยละ 23 ของช่วงอายุขัยที่มีอยู่ (23=(5*100)/22) ที่อยู่อย่างไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ (Years with disability) เท่ากับ 9.7 ปี
แน่นอนว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่อาจจะทำงานไปได้จนตาย สุดท้ายมนุษย์เมื่ออยู่ในวัยปัจฉิมชรา (Later elderly) ก็มักจะอยู่ในช่วงปีที่อยู่อย่างไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ (Years with disability) แต่หากหักลบแล้ว เนื่องจากประชากรมีอายุขัยเฉลี่ยและอายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดียืนยาวมากขึ้นก็ทำให้เพิ่มโอกาสอายุขัยในการทำงานเฉลี่ยสูงขึ้นด้วยเช่นกัน (หากนโยบายการจ้างงาน นโยบายการกำหนดอายุเกษียณ ตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจและภาวะการมีงานทำจะเกื้อหนุน)
สถิติจาก EUROSTAT ชี้ให้เห็นว่าอายุขัยในการทำงานเฉลี่ย WLE ของประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประชากรในยุโรปมีอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวมากขึ้น อันเป็นผลพวงของความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้อายุขัยเฉลี่ยที่มีสุขภาพดียืนยาวมากขึ้นเช่นกัน (ข้อมูลและกราฟจาก https://ec.europa.eu/eurostat/statistics-explained/index.php?title=Duration_of_working_life_-_statistics) แต่ในยุโรปมีช่องว่างระหว่างเพศของอายุขัยในการทำงานเฉลี่ย โดยที่เพศชายจะมีอายุขัยในการทำงานเฉลี่ยยืนยาวกว่าเพศหญิง
นอกจากนี้นโยบายด้านสวัสดิการสังคมและภาวะสังคมสูงอายุในแต่ละประเทศก็ส่งผลต่ออายุขัยเฉลี่ยในการทำงาน มีความแตกต่างกันมากแม้ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปด้วยกัน
ยุโรปตอนเหนือ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียน มีอายุขัยเฉลี่ยในการทำงานสูงมาก เนื่องจากเป็นรัฐสวัสดิการสังคม จำเป็นต้องสะสมความมั่งคั่งไม่ให้แก่แต่จนให้เพียงพอเสียก่อน จึงจะได้รับบำนาญหรือสวัสดิการสังคม ในขณะที่ประเทศยุโรปตอนล่างมีแนวโน้มที่จะมีอายุขัยเฉลี่ยในการทำงานต่ำกว่ากันมาก
อายุขัยเฉลี่ยในการทำงานของแต่ละบุคคลอาจจะแตกต่างกันไปจากปัจจัยด้านสุขภาพตลอดจนอาชีพและภูมิลำเนา เช่น อายุขัยเฉลี่ยในการทำงานของคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ป่วยที่อยู่ในเมืองหรือในชนบท น่าจะแตกต่างกันคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมีแนวโน้มจะมีอายุขัยเฉลี่ยที่สุขภาพดีสั้นกว่า ทำให้มีอายุขัยในการทำงานสั้นลง ยิ่งเป็นผู้สูงอายุที่อยู่ในชนบทมีโอกาสที่จะถูกจ้างงานต่ำกว่าผู้ที่อยู่ในเมือง ทำให้อายุขัยเฉลี่ยในการทำงานน่าจะไม่ยาวนานเท่า
การปรับเปลี่ยนแนวคิดไปสู่การคาดการณ์ในอนาคตของการสูงอายุ (Prospective age) จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายและมาตรการในการเตรียมการรองรับสังคมสูงอายุในทางที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุที่ยังมีศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานหรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆทางสังคม เป็นมุมมองที่ส่งเสริมผู้สูง อายุให้คงศักยภาพไว้ให้นานที่สุด แทนมุมมองในแบบดั้งเดิมที่สะท้อนว่าการสูงอายุ เป็นภาระ หรือเป็นผู้เปราะบางของสังคมและครอบครัว
มุมมองใหม่นี้นอกจากการปกป้องศักยภาพในการมีส่วนร่วมทางสังคมแล้วยังนำไปสู่การเคารพในสิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุด้วย การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์และกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด ต้องมีมุมมองใหม่ แนวทางใหม่ในการกำหนดนโยยายและมาตรการ ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นคน (Intergenerational relations) ในครอบครัว จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย


