xs
xsm
sm
md
lg

จีน-ไทย“ครอบครัวเดียวกัน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ 



ในวาระครบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ภาพที่สะท้อนความลึกของสายสัมพันธ์สองประเทศมากที่สุด ไม่ใช่ตัวเลขการค้า ไม่ใช่ข้อตกลงทางเศรษฐกิจ แต่คือบรรยากาศล่าสุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ และสมเด็จพระราชินีเสด็จเยือนจีน และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ณ มหาศาลาประชาชน ภาพที่ผู้นำจีนเดินออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ท่ามกลางพิธีการที่จัดให้ในระดับสูงสุด พร้อมเสียงเพลงชาติไทยที่บรรเลงก้องกลางปักกิ่ง บอกอะไรได้มากกว่าเอกสารทูตหลายสิบหน้า มันคือการประกาศอย่างไม่เป็นทางการว่า “ไทยไม่ใช่เพื่อนธรรมดาของจีน แต่เป็นประเทศที่จีนรู้สึกสบายใจด้วยที่สุดในอาเซียน” 

คำที่สี จิ้นผิง กล่าวต่อทั้งสองพระองค์ คือถ้อยคำที่เราคุ้นหูในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 中泰一家亲 — Zhōng–Tài yī jiā qīn — จีน–ไทยครอบครัวเดียวกัน ประโยคนี้ไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นวาทกรรมที่จีนตั้งใจใช้ “เฉพาะ” กับไทย ซึ่งแตกต่างจากถ้อยคำที่จีนใช้กับประเทศอื่นในอาเซียนอย่างชัดเจน และความแตกต่างนี้เองที่ทำให้การเสด็จเยือนครั้งล่าสุดยิ่งมีความหมาย เพราะมันเป็นการสื่อสารโดยนัยว่า ความใกล้ชิดของไทยกับจีนไม่ได้เกิดจากรัฐบาลสมัยใดสมัยหนึ่ง หากเกิดจากชั้นของความผูกพันทางประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และสายเลือดที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน 

ถ้าหันไปมองสิงคโปร์ จีนไม่เคยพูดว่าครอบครัวเดียวกัน แต่ใช้คำที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง คือ 与时俱进的全方位伙伴关系 — Yǔ shí jù jìn de quánfāngwèi huǒbàn guānxì ซึ่งแปลว่า “หุ้นส่วนทุกมิติที่พัฒนาไปตามยุคสมัย” ฟังแล้วเข้มแข็ง และเป็นทางการ เพราะสิงคโปร์คือรัฐเล็กแต่มีอำนาจต่อรองสูง จีนจึงต้องใช้ภาษาของ “หุ้นส่วนที่เท่าเทียม” มากกว่าภาษาความสนิททางอารมณ์แบบที่ใช้กับไทย 

ส่วนมาเลเซีย จีนเลือกใช้วาทกรรมเชิงยุทธศาสตร์ที่ผูกกับโครงการ BRI มากกว่า โดยเรียกมาเลเซียว่า 命运共同体 — Mìngyùn gòngtóngtǐ หรือ “ชะตากรรมร่วมกัน” เพราะมาเลเซียคือหัวใจสำคัญของเส้นทางสายไหมใหม่ เช่น โครงการ ECRL แต่แม้จะใกล้ชิดทางเศรษฐกิจ จีนก็ไม่ใช้ภาษาว่าเป็นครอบครัว เนื่องจากมาเลเซียมีจุดยืนที่ชัดเจนในทะเลจีนใต้และรักษาระยะห่างในประเด็นที่อ่อนไหวต่ออธิปไตยของตนเอง 

อินโดนีเซียในสายตาจีนคือมหาอำนาจของอาเซียน จีนจึงใช้คำว่า 全面战略伙伴 — Quánmiàn zhànlüè huǒbàn หมายถึง “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน” ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์แบบรัฐต่อรัฐที่ต้องรักษาความเท่าเทียมสูง เพราะอินโดนีเซียไม่ใช่ประเทศที่จีนจะใช้วาทกรรมเชิงอารมณ์ แต่ต้องใช้ถ้อยคำที่แสดงความเคารพและความเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคนี้ 

เวียดนามเป็นกรณีพิเศษที่สุดในอาเซียน เพราะจีนใช้คำว่า 同志加兄弟 — Tóngzhì jiā xiōngdì หรือ “สหาย + พี่น้อง” ฟังดูแรงในเชิงอุดมการณ์ เพราะทั้งจีนและเวียดนามมีพรรคคอมมิวนิสต์ แต่จีนไม่ใช้คำว่า 一家亲 กับเวียดนาม เนื่องจากความระแวงจีนฝังลึก และทั้งสองประเทศมีข้อพิพาทชายแดนและทะเลจีนใต้มายาวนาน การใช้คำว่า “ครอบครัวเดียวกัน” จึงไม่เหมาะในบริบทที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ 

กัมพูชา แม้พึ่งพาจีนมากที่สุดในเชิงเศรษฐกิจและการเมือง แต่จีนกลับใช้คำว่า 铁杆朋友 — Tiěgǎn péngyǒu หรือ “เพื่อนเหล็ก” ไม่ใช่ครอบครัว คำนี้สะท้อนว่าจีนมองกัมพูชาเป็นมิตรที่มุ่งประโยชน์ร่วมกันแบบเข้มแข็ง แต่ยังไม่ใช่ความผูกพันเชิงสังคม–วัฒนธรรมลึกแบบไทย และจีนก็ต้องระวังความละเอียดอ่อนในการเมืองภายในของกัมพูชาด้วย 

เมื่อวางวาทกรรมทั้งหมดไว้บนโต๊ะ เราจะเห็นข้อเท็จจริงหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด ไทยคือประเทศเดียวในอาเซียนที่จีนใช้ภาษาระดับ “อารมณ์ทางวัฒนธรรม–สังคม” แบบลึกที่สุด เหตุผลหนึ่งคือ ไทยคือประเทศที่มีชาวจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก มากกว่าสิงคโปร์ มากกว่ามาเลเซีย และมากกว่าแม้แต่บางมณฑลชายแดนจีนเอง คนไทยจำนวนมาก เช่นผมเองก็เป็นลูกหลานจีนที่ปู่อพยพมาจากซื่อฮุ้ย (四会) เข้ามาตั้งรกรากสร้างชีวิตใหม่ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสังคมไทยอย่างกลมกลืน การที่คนไทยส่วนใหญ่ “คุ้นเคย” กับจีน ทั้งชื่อสกุล อาหาร พิธีกรรม ค่านิยมเรื่องครอบครัว จึงทำให้คำว่า “ครอบครัวเดียวกัน” มีน้ำหนักเชิงความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่เพียงถ้อยคำทูตที่สร้างขึ้นบนโต๊ะเจรจา 

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการเสด็จเยือนจีนของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และสมเด็จพระราชินีครั้งล่าสุดจึงถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่ “ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น” ทั้งทางการเมืองและทางประชาชน ภาพที่สี จิ้นผิง พูดกับในหลวงด้วยรอยยิ้มว่า “中泰一家亲 — Zhōng–Tài yī jiā qīn” จึงไม่ใช่เพียงคำกล่าวตามพิธี แต่คือคำที่มีรากของมันจริงๆ ในชีวิตของผู้คนทั้งสองประเทศ ตั้งแต่สายสัมพันธ์ของสองชาติในอดีตจนถึงความผูกพันของชุมชนลูกหลานจีนในไทยยุคปัจจุบันที่เติบโตมาพร้อมภาษาจีน อาหารจีน ค่านิยมจีน และความทรงจำของบ้านเกิดของบรรพบุรุษ 

สุดท้ายเมื่อมองย้อนกลับไป ทั้งบทบาทของราชสำนัก การทูตระดับผู้นำ และสายเลือดที่ผูกเราไว้กับจีนมาหลายชั่วคน ล้วนทำให้ความสัมพันธ์ไทย–จีนไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เกิดจากรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจาก “ชีวิตจริงของผู้คน” และนี่เองที่ทำให้คำว่า 中泰一家亲 — Zhōng–Tài yī jiā qīn มีความหมายมากกว่าทุกวาทกรรมที่จีนใช้กับชาติอื่นในอาเซียน เพราะมันไม่ได้สะท้อนแค่ความใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ — แต่มันสะท้อนตัวตนของเราเองในฐานะลูกหลานจีน ที่โตมาในแผ่นดินไทย และรู้สึกผูกพันกับจีนตั้งแต่รากเหง้าโดยไม่รู้ตัว 

การเสด็จเยือนจีนครั้งนี้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ และสมเด็จพระราชินี จึงเป็นเหมือน “บทใหม่ของสองประเทศ” ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่การสถาปนาทางการทูตในปี 2518 ที่ทำให้คนจีนตราตรึงถึงพระราชไมตรีของทั้งสองพระองค์ ภาพการเดินเคียงกันของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ กับสี จิ้นผิง ทำให้คนจีนเห็นความต่อเนื่องของมิตรภาพระหว่างราชวงศ์ไทยกับผู้นำจีน สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์สองประเทศนี้ไม่ได้เกิดจากรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ผสานกันจากหลายชั้น ตั้งแต่ระดับประชาชน ระดับวัฒนธรรม ไปจนถึงระดับประเทศ 

นี่คือความสัมพันธ์ที่จีนไม่สามารถสร้างแบบเดียวกันกับประเทศใดในอาเซียน เพราะมันตั้งอยู่บนรากของคนจริงๆ ไม่ใช่เอกสารความร่วมมือ ไม่ใช่ข้อตกลงทางเศรษฐกิจ และไม่ใช่ความจำเป็นทางการทูต แต่เป็นสายสัมพันธ์ที่มีทั้งประวัติศาสตร์ สายเลือด วัฒนธรรม ความไว้วางใจ และความจริงใจของผู้นำทั้งสองชาติ ที่ถ่ายทอดกันจากรุ่นก่อนถึงรุ่นปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจที่เสียงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในพิธีต้อนรับจะหนักแน่นว่า “จีน–ไทย คือครอบครัวเดียวกัน” 

และสำหรับคนไทยเชื้อสายจีนอย่างผม ก็รู้สึกว่าเสียงนั้นไม่ได้เอ่ยถึงใครอื่น แต่สะท้อนถึงตัวเราด้วยเช่นกัน เพราะในสายเลือดของเรา มีทั้งความเป็นไทยและความเป็นจีนที่ผสานกันอย่างลงตัวจนแยกไม่ออก นี่คือมิตรภาพที่ไม่ต้องประกาศก็ปรากฏอยู่ในความเป็นจริงของชีวิตประจำวัน และเป็นความสัมพันธ์ที่น่าจะยืนยาวต่อไปอีกหลายชั่วอายุคน
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น