ทีมหมอนทองวิทยา จากอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับชาติในปีนี้ เมื่อพวกเขาทะลุเข้าชิงฟุตบอลนักเรียน 7 คน แชมป์กีฬา 7HD กับทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท เรื่องราวของเด็กนักเรียนจากโรงเรียนเล็กๆ ที่ไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีรถบัสประจำทีม ไม่มีสนามซ้อมหรูหรา ใช้เพียง “รถขนฝัน” ที่โค้ชสกล เกลี้ยงประเสริฐ ขับพาเด็กๆ จากบางน้ำเปรี้ยวเข้าสู่สนามศุภชลาศัย กลายเป็นภาพแทนของความเพียร ความฝัน และพลังของหัวใจที่สะเทือนสังคมไทยทั้งประเทศ ภาพของทีมโนเนมจากชนบทที่สู้กับทีมใหญ่ๆ ด้วยความมุ่งมั่น กลายเป็นเรื่องราวที่สื่อและโซเชียลมีเดียต่างพร้อมใจกันนำเสนอ จน “หมอนทองวิทยา” กลายเป็นคำที่ผู้คนทั้งประเทศเอ่ยถึงด้วยรอยยิ้ม น้ำตา และศรัทธา
วันนั้น สนามศุภชลาศัยแน่นขนัดไปด้วยผู้ชมจากทั่วสารทิศ ผู้คนแห่มาดูจนล้นถึงลู่วิ่ง บางคนไม่เคยดูฟุตบอลมาก่อนแต่ก็อยากมา “อยู่ในเหตุการณ์” ที่เรียกว่า “เทพนิยายลูกหนังแห่งบางน้ำเปรี้ยว” เสียงเชียร์ดังกึกก้องเหมือนหมอนทองวิทยาเป็นทีมชาติไทย หลายคนเขียนในโซเชียลว่า “นี่คือแรงบันดาลใจของชีวิต” และ “พวกเขาทำให้เรารู้ว่า ความฝันยังมีอยู่จริงในประเทศนี้” การที่เด็กจากโรงเรียนเล็กๆ ลุกขึ้นสู้บนเวทีใหญ่ ทำให้ผู้คนเห็นพลังของความศรัทธาแบบเรียบง่าย ที่ไม่ต้องอาศัยเงินทองหรือชื่อเสียง แต่ใช้หัวใจล้วนๆ เป็นพลังขับเคลื่อน
ภาพของ “รถขนฝัน” ที่โค้ชขับเอง กลายเป็นไวรัลบนโซเชียลเหมือนสัญลักษณ์แห่งความหวัง ผู้คนแชร์ต่ออย่างไม่หยุดหย่อน บางโพสต์มีคนดูนับล้าน ทุกคำพูด ทุกภาพ ทุกเสียงเชียร์ถูกบันทึกไว้เหมือนเป็นความทรงจำร่วมของประเทศ เด็กๆ ที่เคยเป็นเพียง “ทีมโนเนม” กลายเป็น “ทีมของประชาชน” ในชั่วข้ามคืน กระแสนี้สะท้อนถึงความโหยหาของผู้คนที่ต้องการเชื่อว่ายังมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นได้ในสังคมไทย
แต่ในอีกด้านหนึ่งของความงดงามนั้น ท่ามกลางเสียงเชียร์ที่เทไปทางหมอนทองวิทยาแทบทั้งหมด ทีมคู่แข่งจากชัยนาทกลับถูกละเลยในกระแสอารมณ์ของผู้ชม ทั้งที่พวกเขาเองก็เป็นโรงเรียนจากจังหวัดเล็กๆ ที่ซ้อมหนัก อดทน และมีความฝันไม่ต่างกัน เพียงแต่ไม่ได้ถูกเล่าเรื่องในมุมของ “รถขนฝัน” ไม่ได้มีภาพไวรัลที่จับหัวใจสาธารณะ จึงกลายเป็นเหมือน “เงา” ใต้สปอตไลต์แห่งความศรัทธา หากวันนั้นทีมชัยนาทแพ้ พวกเขาคงต้องเจอกับแรงกดดันมหาศาลจากสังคมที่กำลังเทใจให้ทีมตรงข้ามทั้งหมด เด็กๆ ที่เพียงแค่เล่นฟุตบอลด้วยหัวใจ อาจต้องรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่ใช่ฝันของใคร” ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขาก็มีฝันไม่ต่างกันเลย
กระแสโซเชียลในช่วงนั้นจึงสะท้อนความซับซ้อนของอารมณ์ในสังคมยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน ด้านหนึ่งคือพลังบวกมหาศาลของความหวังและแรงบันดาลใจที่ทีมหมอนทองวิทยามอบให้กับประเทศ แต่ในอีกด้านหนึ่งคือคำเตือนอันแผ่วเบา ว่าในยุคที่สื่อและอารมณ์ผู้ชมสามารถสร้างวีรบุรุษได้ภายในวันเดียว แสงไฟแห่งความชื่นชมก็อาจทำร้ายใครอีกคนที่มีหัวใจนักสู้เหมือนกันได้โดยไม่ตั้งใจ เพราะสุดท้ายแล้ว ทั้งหมอนทองวิทยาและชัยนาทต่างเป็นภาพสะท้อนของเยาวชนไทยที่ใช้กีฬาเป็นเวทีแห่งความฝัน พวกเขาคือแบบจำลองของ “คนเล็กๆ ในระบบที่ไม่เท่าเทียม” ที่ยังเลือกจะลุกขึ้นต่อสู้ด้วยหัวใจอันยิ่งใหญ่
สิ่งที่เกิดขึ้นกับหมอนทองวิทยาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่มันเป็นภาพสะท้อนของจิตสำนึกและพฤติกรรมทางสังคมไทยที่มีมานาน ทุกครั้งที่ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังกับระบบใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ หรือสถาบันที่ขาดความน่าเชื่อถือ สังคมจะเริ่มสร้าง “วีรบุรุษตัวเล็ก” ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของความดี ความบริสุทธิ์ และความจริงใจ
ปรากฏการณ์นี้ในทางจิตวิทยาเรียกว่า “Collective Projection of Hope” หรือ “การฉายภาพแห่งความหวังร่วมกัน” เป็นการที่สังคมรวมพลังศรัทธาไปไว้ในบุคคลหรือกลุ่มหนึ่ง เพื่อชดเชยสิ่งที่รู้สึกว่าขาดหายไป เช่น ความยุติธรรม ความจริงใจ หรือศรัทธาในผู้นำ
แต่พลังแห่งศรัทธานี้มักมาพร้อมกับอคติ นักจิตวิทยาเรียกภาวะนี้ว่า “Hero Worship Syndrome” หรือภาวะหลงใหลวีรบุรุษ ซึ่งทำให้ผู้คนเชื่ออย่างสุดขั้วในใครบางคนที่ถูกเล่าเรื่องในเชิงบวกจนกลายเป็น “สัญลักษณ์ของความดีแท้” จนละเลยข้อเท็จจริงอีกด้าน สังคมไทยเคยผ่านปรากฏการณ์แบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งในทางการเมืองและสังคม เมื่อใครสักคนพูดสิ่งที่ตรงใจ ทำสิ่งที่ดูจริงใจ ประชาชนจะพร้อมเทใจให้ โดยไม่ตั้งคำถามต่อความเป็นจริงทั้งหมด ความเชื่อกลายเป็นศรัทธา และศรัทธากลายเป็นเกราะที่ป้องกันเหตุผลจากการเข้ามาท้าทาย
สิ่งนี้อธิบายได้ด้วยทฤษฎีทางจิตวิทยาการเมืองที่เรียกว่า “Affective Polarization” การแบ่งฝักฝ่ายด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล เมื่อคนเรารักฝ่ายหนึ่งอย่างสุดหัวใจ เราจะเกลียดอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว และจะมองข้ามทุกสิ่งที่ไม่เข้ากับศรัทธานั้น เช่นเดียวกับที่ผู้คนอินกับทีมหมอนทองวิทยาจนลืมมองเห็นทีมชัยนาทที่ก็มีความฝัน ความดี และความพยายามเช่นกัน ปรากฏการณ์นี้คือภาพจำลองของพฤติกรรมทางการเมืองไทย ที่เมื่อใครสักคนกลายเป็น “ความหวังของชาติ” สังคมก็พร้อมจะมอบความรักอย่างสุดขั้ว โดยไม่ฟังเสียงเตือนจากอีกฝั่ง และผลลัพธ์ก็คือความแตกแยกทางอารมณ์ ที่ทำให้เหตุผลและความเป็นกลางหายไป
ในทางกลับกัน การที่หมอนทองวิทยาถูกยกย่องจนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกตำหนิ เพราะในสังคมที่ขาดแรงบันดาลใจ เรื่องราวแบบนี้คือพลังบวกอันมหาศาล มันทำให้ผู้คนกลับมาเชื่อใน “ความดีที่ยังมีอยู่” การต่อสู้ของเด็กๆ จากโรงเรียนเล็กเป็นการยืนยันว่าความพยายามยังมีความหมายในประเทศนี้ และเป็นเครื่องยืนยันว่าเยาวชนยังไม่ยอมแพ้ต่อระบบที่ไม่เท่าเทียม
แต่บทเรียนที่ควรได้รับจากปรากฏการณ์นี้ ไม่ได้อยู่ที่การเฉลิมฉลองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่อยู่ที่การเรียนรู้ว่า “ศรัทธาไม่ผิด แต่เราต้องรู้เท่าทันศรัทธานั้น” ความชื่นชมไม่ผิด แต่ต้องไม่บดบังสายตาจนมองไม่เห็นอีกฝ่าย ความหวังไม่ผิด แต่ต้องไม่กลายเป็นการหลงใหลในภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นเอง
ในโลกของกีฬา หมอนทองวิทยาและชัยนาทต่างเป็นผู้ชนะด้วยกันทั้งคู่ เพราะพวกเขาทั้งสองทีมทำให้ประเทศนี้ได้กลับมารู้สึกถึงพลังของความดี ความพยายาม และน้ำใจนักกีฬา แต่ในโลกของสังคมและการเมือง พวกเขายังทำให้เราฉุกคิดถึงบางสิ่ง ว่าคนไทยกำลังโหยหาความซื่อสัตย์ ความเที่ยงธรรม และผู้นำที่มีหัวใจจริงๆ มากเพียงใด และในขณะเดียวกัน เราก็ยังต้องเรียนรู้ที่จะไม่หลงไปกับภาพฝันที่เราสร้างขึ้นจากอารมณ์ร่วม
ปรากฏการณ์หมอนทองวิทยา จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของฟุตบอลนักเรียน แต่มันคือบทเรียนทางสังคมและการเมืองไทยในรูปแบบที่จับต้องได้ บทเรียนที่บอกเราว่า ในประเทศที่ผู้คนสิ้นหวังกับระบบใหญ่ “เรื่องเล่าของคนตัวเล็ก” จะถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ของความดีเสมอ แต่เมื่อแสงไฟดับลง สิ่งที่เราควรเหลือไว้ไม่ใช่แค่ตำนานของทีมหนึ่งทีมใด หากคือความเข้าใจว่าความดี ความฝัน และความจริงใจ ไม่ควรถูกผูกขาดโดยใครคนใดคนหนึ่ง
เพราะในสนามชีวิตจริง ประเทศนี้ต้องการมากกว่า “วีรบุรุษ” เราต้องการสังคมที่ทุกคนสามารถลุกขึ้นสู้ได้โดยไม่ต้องรอใครมาเป็นฮีโร่แทนเรา
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


