ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังคงเป็น “เรื่องร้อน” และ “เรื่องใหญ่” ในแวดวงยานยนต์ที่ต้องติดตามและจับตาอย่างต่อเนื่องสำหรับกรณีผู้ใช้ “รถยนต์ไฟฟ้าเนต้า (NETA)” เผชิญปัญหาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบทะเบียนป้ายขาวล่าช้า การเคลมตามสัญญารับประกันคุณภาพสินค้าที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการรออะไหล่ รวมถึงความไม่พร้อมของศูนย์บริการ แม้ที่ผ่านมา “บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด และตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์)” ได้ออกมาชี้แจงแนวทางแก้ไขแล้วก็ตามที เนื่องด้วยยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริงในทางปฏิบัติ และไม่ครอบคลุมความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับ
เรียกว่า สารพัดปัญหายังเคลียร์ไม่จบเลยก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่กระทบกับภาพลักษณ์และการขายของทางบริษัทเป็นอย่างมาก
ดังนั้น เรื่องจึงได้เดินทางมาถึงจุดที่ต้องฟ้องร้องดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้เท่าที่ได้มีการตรวจสอบพบว่า มี 2 หน่วยงานที่เดินหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นก็คือ “สภาผู้บริโภค” ที่ประกาศฟ้องในรูปแบบ “คดีกลุ่ม” และ “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)” ที่กำลังรวบรวมเอกสารหลักฐานเสนอต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาดำเนินคดี ตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
“ว่าที่ร้อยตรีสมชาย อามีน” ทนายความสภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า สภาผู้บริโภคเตรียมฟ้องคดีช่วยเหลือผู้บริโภคในรูปแบบ “คดีกลุ่มเนต้า” (Class Action) โดยจะดำเนินการเตรียมยื่นฟ้อง บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ในฐานะผู้นำเข้ารถยนต์ยี่ห้อเนต้า และบริษัท บางชันเยนเนอรัลเอเซมบลี จำกัด ในฐานะผู้ประกอบและจำหน่ายรถยนต์ดังกล่าวในประเทศ รวมถึงการฟ้องกรรมการของทั้งสองบริษัทให้ร่วมรับผิดในฐานะจำเลย โดยเหตุผลสำคัญที่เลือกฟ้องจำเลยในระดับต้นทาง เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการจำหน่าย รวมถึงมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ
ขณะเดียวกันยังพบข้อกังวลเรื่องทุนจดทะเบียนที่ต่ำและความไม่พร้อมด้านการบริการ ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการเยียวยาผู้บริโภคในกรณีที่เกิดปัญหา
ทั้งนี้ ขั้นตอนทางกฎหมาย ศาลจะไต่สวนตัวแทนโจทก์เพื่อพิจารณาว่าคดีนี้เข้าเกณฑ์เป็นคดีแบบกลุ่มหรือไม่ โดยหากศาลมีคำสั่งอนุญาต จะมีการประกาศทางหนังสือพิมพ์เพื่อแจ้งต่อสาธารณะ และมีการส่งหนังสือไปยังรายชื่อสมาชิกกลุ่มที่ทราบเบื้องต้น ส่วนผู้ที่เข้าเงื่อนไข แต่ไม่ยื่นคำแถลงขอไม่เป็นสมาชิกกลุ่มให้ศาลทราบ จะถือเป็นสมาชิกกลุ่มโดยผลของกฎหมายและต้องผูกพันของคำพิพากษา ทั้งนี้ หากคดีมีคำพิพากษาชนะ ผู้บริโภคที่อยู่ในกลุ่มจะได้รับสิทธิเรียกร้องตามหลักเกณฑ์ที่ศาลกำหนด โดยต้องนำหลักฐานความเสียหายของตนมายื่นประกอบต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี
สำหรับการเตรียมฟ้องร้องกลุ่มต่อเนต้าในครั้งนี้มาจากการที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองการดำเนินคดีของสภาผู้บริโภค ได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการฟ้องคดีช่วยเหลือผู้บริโภคในรูปแบบคดีแบบกลุ่ม เนื่องจากมีผู้บริโภคได้รับผลกระทบจำนวนมากในลักษณะเดียวกัน ทำให้การรวมคดีเป็นคดีแบบกลุ่มจะช่วยลดความซ้ำซ้อน และเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างทั่วถึง จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์เนต้าผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศในระดับประมาณ 20,000-30,000 ราย เป็นจำนวนที่สะท้อนถึงความเสียหายในวงกว้าง
ว่าที่ร้อยตรีสมชาย กล่าวต่อว่า การฟ้องคดีครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย แม้ภาครัฐจะมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เช่น การอุดหนุนเงินต่อคันเพื่อจูงใจผู้บริโภค แต่ยังขาดกลไกกำกับดูแลที่เพียงพอในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและบริการ ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากได้รับความเสียหาย สภาผู้บริโภคจึงดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิและเรียกร้องการเยียวยาที่เหมาะสมให้กับผู้บริโภคอย่างเต็มที่
ด้าน “นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์” เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. กล่าวว่า กรณีเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าเนต้าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค สคบ. ได้เดินหน้าอย่างเต็มกำลังเพื่อปกป้องสิทธิของผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรม ที่ผ่านมานั้นสคบ. เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด โดยมีการลงพื้นที่ บริษัท เนต้าฯ เพื่อสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีผู้บริโภคไม่ได้รับบริการหลังการขาย และสั่งการให้เจ้าที่ สคบ. ลงพื้นที่ บริษัท เนต้าฯ ทุกสัปดาห์ เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเร่งรัดให้บริษัท เนต้าฯ ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคอย่างเป็นรูปธรรม
พร้อมทั้งเชิญตัวแทนบริษัท เนต้าฯ และผู้บริโภค มาพบพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อทำการเจรจาไกล่เกลี่ย ซึ่งสามารถเจรจาตกลงได้บางส่วน และสำหรับกรณีไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ ปัจจุบัน สคบ. ดำเนินการรวบรวมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาดำเนินคดี ตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 แทนผู้บริโภคด้วยแล้ว
ทั้งนี้ สคบ. มุ่งมั่นที่จะยืนหยัดเคียงข้างประชาชน พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ประกอบธุรกิจประกอบธุรกิจอย่างมีธรรมภิบาล โดยจะผลักดันกลไกการคุ้มครองสิทธิให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว
หากผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากการใช้สินค้าและบริการ สามารถขอคำปรึกษาได้ที่สายด่วน 1166 ร้องเรียนผ่านแอปพลิเคชัน OCPB Connect หรือ เว็บไซต์ www.ocpb.go.th รวมถึงคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดทุกจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้บ้าน เมืองพัทยา และสำนักงานเขตทุกแห่งในกรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังสามารถใช้ช่องทางดิจิทัลผ่านระบบ Traffy Fondue (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้บริโภค
อย่างไรก็ดี จากการที่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมไปยังบริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับคำตอบว่า ทีมงานที่ดูแลเรื่องนี้ จะได้มีจดหมายชี้แจงรายละเอียดการดูแลลูกค้า เข้าไปยังสภาผู้บริโภคต่อไป โดยลูกค้าที่ใช้รถอีวีเนต้า ในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 25,000 ราย