มี 4 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในปีนี้ที่ส่งสัญญาณว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคหลายขั้ว หรือพูดในอีกแง่หนึ่งได้ว่ายุคของความเป็นมหาอำนาจโลกเจ้าเดียว (uni-polar world) ของตะวันตกที่ดำเนินมานานกว่า 500 ปีผ่านลัทธิล่าอาณานิคมสมัยเก่าและสมัยใหม่กำลังจะปิดฉากลง
เหตุการณ์แรกคือการประชุมซัมมิตของกลุ่ม BRICS ที่ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล ( 6-7 กรกฎาคม ) ตามมาด้วยการพบปะระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานาธิบดีปูตินที่อะแลสกา (15 สิงหาคม) การประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ที่เมืองเทียนจิน (31 สิงหาคม-1กันยายน) และล่าสุดพิธีสวนสนามที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กลางกรุงปักกิ่ง เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 80 ปีของชัยชนะของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนเหนือญี่ปุ่น (3 กันยายน)
การประชุมซัมมิตของ BRICS เป็นการต่อยอดความร่วมมือของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนานำโดยจีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล และแอฟริกาใต้ ซึ่งกำลังเดินหน้าสร้างระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเงินอย่างเข้มแข็ง BRICS ซึ่งมีทั้งประชากร และจีดีพีรวมกันเกือบค่อนโลกต้องการสร้างระเบียบโลกใหม่ออกจากอิทธิพลของดอลลาร์ โดยจะใช้เงินสกุลประจำชาติค้าขายกันเองมากขึ้น ผ่านระบบชำระเงินของตัวเอง
ส่วนการหารือระหว่างทรัมป์กับปูตินไม่ได้เน้นทางออกสงครามยูเครนอย่างเดียว แต่ไปไกลถึงการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ซึ่งมีความสำคัญที่สุดในการรักษาสันติภาพบนโลกใบนี้ การที่ทรัมป์ยอมพบกับปูตินโดยกีดกันผู้นำของยุโรปออกไปนอกวงเท่ากับว่า สหรัฐฯ มองว่ารัสเซียเป็นมหาอำนาจที่คู่ควรแก่การยอมรับ เมื่อปูตินวางให้รัสเซียเป็นมหาอำนาจที่ยืนอยู่ได้ด้วยเท้าของตัวเอง และทรัมป์ยอมคุยกับปูตินในสถานภาพที่เท่าเทียมกันก็เท่ากับว่าทรัมป์ยอมรับระบบมหาอำนาจหลายขั้วได้เกิดขึ้นแล้ว
การประชุมซัมมิตขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเน้นความร่วมมือทางความมั่นคงและเศรษฐกิจสร้างความหวาดหวั่นให้กับตะวันตก จากภาพที่ประธานาธิบดีปูติน ของรัสเซีย ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดียยืนคุยเคียงข้างกันอย่างสนิทสนม การเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดีย 50% ของทรัมป์กลับกลายเป็นโอกาสทองของอินเดียที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการผละออกจากอิทธิพลของตะวันตกเพื่อไปรื้อฟื้นสัมพันธไมตรีกับจีน อินเดียมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัสเซียอยู่แล้ว แต่มีเรื่องระหองระแหงใจกับจีนมาตลอดเวลาหลายสิบปี เพราะอินเดียมองจีนเป็นคู่แข่ง ในขณะเดียวกันตะวันตกพยายามเสี้ยมให้อินเดียแตกคอกับจีนมาตลอดเพื่อให้ทั้งคู่อ่อนแอลง
แต่ในเวลานี้เมื่อจีน อินเดีย และรัสเซียจับมือกันได้จะกลายเป็นพลังของมหาอำนาจขั้วใหม่ที่จะเดินหน้าปลดแอกจากอิทธิพลของตะวันตก พร้อมดึงเอาประเทศเกิดใหม่ต่างๆ เข้าร่วมขบวนด้วย BRICS และองค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของโลก ในขณะที่สหรัฐฯ และยุโรปกำลังเข้าสู่ยุคเสื่อมจากปัญหาหนี้สินที่พะรุงพะรัง เศรษฐกิจที่ฝืดเคือง และความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยลงไป
ในงานเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีชัยชนะของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนต่อกองทัพญี่ปุ่น สี จิ้นผิงได้แสดงให้โลกเห็นว่าแสนยานุภาพของจีนไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศใดในโลก มีการนำเอาอาวุธมหาประลัยต่างๆมาร่วมขบวนพาเหรดเพื่อให้ทุกประเทศได้ประจักษ์ถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านอาวุธของจีน ไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธนิวเคลียร์ จรวด ขีปนาวุธยิงข้ามทวีป โดรน ยานไร้คนขับใต้ทะเล เครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ สีส่งสัญญาณไปยังสหรัฐฯ ว่าจีนต้องการสันติภาพ แต่หากจะรบก็พร้อมที่จะรบ
น่าเสียดายที่ไทยไม่ได้ส่งตัวแทนในระดับผู้นำไปร่วมงานพิธีสวนสนามที่ปักกิ่ง เพียงแค่ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสถานทูตไปร่วมงานเท่านั้น ซึ่งสะท้อนความไม่ประสีประสาในเรื่องนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลไทยชุดที่หมดสภาพไปแล้ว
เมื่อได้เห็นแสนยานุภาพของจีนแล้ว ทรัมป์คงต้องคิดหนักหากจะเดินหน้าที่จะปิดล้อมจีนทางทหารตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ประเทศที่ทำตัวเป็นศัตรูกับจีนในภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ก็ต้องทบทวนนโยบายต่างประเทศและนโยบายความมั่นคงใหม่ รวมทั้งประเทศไทยด้วยที่ผิดพลาดมหันต์ด้วยการแอบไปเซ็นข้อตกลงสินธิสัญญาอินโด-แปซิฟิกในปี2019 โดยที่สภาพไม่ได้รับรู้
ที่ผ่านมา โลกเรามีสองระบบ (two systems of global governance) คือระบบล่าอาณานิคมสมัยใหม่ และที่เหลือที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบนี้ ระบบล่าอาณานิคมสมัยใหม่มีจักรวรรดิเก่าคือลอนดอนเป็นศูนย์กลาง และจักรวรรดิใหม่คือวอชิงตัน ดี.ซี.เป็นสำนักงานใหญ่ ทั้งลอนดอนและดี.ซี.ร่วมมือกันในการกดขี่และเอาเปรียบชาวโลกผ่านการควบคุมเทคโนโลยีระบบการธนาคารและการเงิน ตลาดเงิน ตลาดทุน ยา เครื่องจักร อุปกรณ์การผลิต แล้วกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติ และค่าแรงที่ถูกจากการลงทุนในประเทศต่างๆ เพื่อป้อนให้ตลาดแม่ โดยใช้แสนยานุภาพทางทหาร และการแทรกแซงทางการเมืองในการข่มขู่หรือสร้างนอมินีเพื่อควบคุมประเทศต่างๆ ให้อยู่กับร่องกับรอยในระบบที่วางเอาไว้ ผลก็คือความมั่งคั่งไหลไปที่สหรัฐฯ และยุโรป (Global North)ในขณะที่ประเทศในส่วนโลกใต้ (Global South) ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย แอฟริกา ละตินอเมริกาติดกับดักในความยาก หรือด้อยพัฒนา
แต่เวลานี้โลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลง ประเทศกำลังพัฒนาเริ่มมีเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งขึ้นจากภาคการผลิต และมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงกว่า มีการบริโภคภายในที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนที่มีเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวล้ำตะวันตก ทำให้มาถึงจุดที่ประเทศกำลังพัฒนาเริ่มจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และจะปลดแอกออกจากระบบล่าอาณานิคมตะวันตกที่เอารัดเอาเปรียบมานานผ่านความร่วมมือในการสร้างภาคีพหุนิยม
สงครามภาษีของทรัมป์และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เพิ่มดีกรีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสงครามยูเครน หรือสงครามในตะวันออกกลาง และต่อไปอาจจะลามมายังภูมิภาคเอเชียบ้านเราสะท้อนปฏิกิริยาของการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของมหาอำนาจตะวันตกที่ต้องการรักษาสถานภาพเดิมให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะต้องแลกด้วยการก่อสงคราม WW3 ก็ตาม
สงครามยูเครนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า รัสเซียมีความแข็งแกร่งกว่านาโตของยุโรป สงครามตะวันออกกลางเป็นเครื่องบ่งชี้ให้ชาวโลกเห็นว่าอิหร่าน ที่รัสเซียและจีนให้การสนับสนุนมีชัยเหนืออิสราเอลที่สหรัฐฯ ให้การหนุนหลัง ต่อไปหากความขัดแย้งหรือสงครามที่จะเกิดขึ้นที่ไต้หวันหรือทะเลจีนใต้ ระหว่างจีนกับสหรัฐฯเป็นที่คาดว่าจีนจะมีชัยในที่สุดเพราะว่าแสนยานุภาพของจีนไม่ได้ด้อยกว่าสหรัฐฯ
เมื่อมีแสนยานุภาพที่ไม่แพ้กัน มีระบบอุตสาหกรรมซัพพลายเชนครอบคลุมทั้งโลก มีตลาดที่ใหญ่กว่า มีประชากรมากกว่า มีพื้นที่มากกว่า รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากกว่า กลุ่มประเทศเกิดใหม่ภายใต้การนำของจีน รัสเซียและอินเดียจะมีอำนาจต่อรองที่มากกว่าสหรัฐฯ และยุโรปในการสร้างมหาอำนาจขั้วใหม่ หรือระเบียบโลกใหม่ผ่าน BRICS องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ โครงการ One Belt One Road รวมทั้งระบบการเงินและระบบชำระเงินของตัวเอง ในขณะที่สหรัฐฯ และยุโรปกำลังแตกคอกันเนื่องจากสหรัฐฯ ไม่สามารถแบกภาระของยุโรปที่ตกต่ำได้อีกต่อไป
เมื่อสถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ก็ได้เวลาที่ไทยควรจะปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศและนโยบายความมั่นคง ที่จากเดิมอยู่ภายใต้อิทธิพลของตะวันตกมากเกินไปจนเสียบาลานซ์ ด้วยการหันไปเพิ่มน้ำหนักของการสร้างสัมพันธ์กับจีน รัสเซีย และอินเดียให้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ทุ่มเทการมีส่วนเกี่ยวข้องกับ BRICS องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ โครงการ One Belt One Road ซึ่งโดยรวมกำลังผลักดันโลกเข้าสู่ภาคีพหุนิยมภายใต้หลักการของความเสมอภาค การค้าเสรี การไม่แทรกแซงในกิจการภายในของประเทศอื่น หรือการเคารพในอำนาจอธิปไตยของกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับระบบล่าอาณานิคมสมัยใหม่ในปัจจุบันที่สหรัฐฯ ไม่ให้ค่ากับกฎบัตรของยูเอ็น หรือกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ใช้กฎเกณฑ์ที่ตัวเองกำหนดเองอย่างส่งเดช (rules-based order) ในการครอบงำโลก
เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ไทยก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปในทิศทางที่ดีสำหรับมนุษยชาติ เพราะจะเน้นสันติภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนาแทนที่จะอยู่ภายใต้ลัทธิล่าอาณานิคมสมัยใหม่ต่อไป