ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สมรภูมิโซเซียลมีเดีย “ไทย - เขมร” ปะทะกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะประเด็น “เฟกนิวส์ - คลั่งชาติ และเคลมวัฒนธรรม” ที่ทางฟากประชากร “ชาวเน็ตเขมร” และ “สื่อเขมร” ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจรัฐบาล ตลอดจนไฮไลท์อย่าง “โฆษกเขมร” หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐนำมาโจมตีประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
กล่าวสำหรับกรณี “ปฏิบัติการ IO กัมพูชา” บุกโจมตีทางไซเบอร์ไทย ตลอดจนเกิดการโจมตีไทยด้วย เฟกนิวส์ (Fake News) ต่างๆ นานานั้น จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชา ฝ่ายความมั่นคง พบการโจมตีทางไซเบอร์จากผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากประเทศกัมพูชามายังสื่อต่างๆ ในประเทศไทย
เช่น เปิดเป็นบัญชีผู้ใช้งานปลอมเป็นคนไทยนับล้านบัญชี ทั้งในเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และแพลตฟอร์ม X รวมถึงเข้าไปกดรีพอร์ตเฟซบุ๊กของรัฐบาลไทย รวมถึงด่าทอกองทัพไทยและรัฐบาลเป็นจำนวนมาก และโจมตีด้วย DDos Attack กว่า 500 ล้านครั้ง ภายในเวลา 24 ชั่วโมง
จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ขณะที่สงครามไซเบอร์ดำเนินไปอย่างดุเดือดกลับพบสถิติการหลอกลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์และไซเบอร์จากประเทศกัมพูชาลดลงเหลือไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลมาจากเปลี่ยนเป้าหมายโดยมีคำสั่งการให้แก๊งค์คอลเซนเตอร์เข้ามาถล่มโซเชียลมีเดียของไทย ชี้นำชักจูงให้คนไทยด่าคนไทยกันเองอย่างต่อเนื่องมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
เช่นเดียวกับ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ที่เปิดเผยว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ของกระทรวงดีอี ได้สแตนด์บายตลอด 24 ชั่วโมง ในการเฝ้าระวังข่าวปลอมที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาไทย-กัมพูชา โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง และทหารอย่างใกล้ชิด
กรณี IO กัมพูชาที่เข้ามารบกวน ทราบว่าเป็นทีมงานแฮ็กเกอร์ของฝั่งกัมพูชาได้ทำมาโจมตีประเทศไทย โดยมีรายงานว่ารูปแบบของการโจมตีจะทำการยิงข้อความเข้ามาจำนวนเพื่อให้ระบบของไทยมีความหน่วง แต่ยังไม่ปรากฏว่าเกิดความเสียหายกับไทย มีเพียงข่าวปลอมที่เกิดขึ้น ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลความปลอดภัยด้านไซเบอร์แห่งชาติเฝ้าระวังตลอด และทำงานร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ อย่างใกล้ชิดและพร้อมตอบโต้ในทันที
“เวลานี้ยังมีความมั่นคงและปลอดภัยอยู่แน่นอน เรายังไม่ได้รับความเสียหายจากเรื่องนี้ ขอให้มั่นใจได้ว่ารัฐบาลมีความห่วงใยและให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเท่านั้น” นายประเสริฐระบุ
และประเด็นร้อนที่ถูกจับจ้องมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “เฟกนิวส์” ที่ออกมาจาก พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งมักโจมตีประเทศไทยด้วยเนื้อหาบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง
อาทิ กล่าวอ้างว่าฝ่ายไทยได้เปิดฉากโจมตีกัมพูชาก่อนหลายจุด ตั้งแต่ปราสาทตาเมือนธม เกาะแกร์ อานม้า ทะมอเดือน และภูผาผี, กล่าวหาว่าฝ่ายไทยมีการใช้อาวุธระเบิดลูกปราย (cluster bomb) หรือ ระเบิดพวง, กล่าวหาว่าใช้อาวุธเคมีในการปฏิบัติการทางทหาร เป็นต้น
ทั้งนี้ การที่โฆษกกลาโหมกัมพูชาใช้ข้อมูลข่าวสารปลอม (Disinformation) ก็เพราะม่งหวังจะเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองในสายตาประชาคมโลก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เพียงแต่ขาดความรับผิดชอบ แต่ยังถือเป็นการกระทำที่แฝงด้วยเล่ห์เพทุบาย บิดเบือนความจริง และเป็นภัยต่อสันติภาพในภูมิภาค
ที่ “บิดเบือน” อย่างน่ารังเกียจก็คือ การที่ “แฮง รัตนา” ผู้อำนวยการสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา (CMAC) ที่โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันพุธที่ 30 กรกฎาคม 2568ว่า เจ้าหน้าที่ของ CMAC กำลังจัดการกับระเบิด MK-84 ซึ่งถูกทิ้งลงมาโดยเครื่องบินขับไล่ F-16 หรือเครื่องกริพเพน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงภาพดังกล่าว เป็นภาพขุดพบระเบิดเก่าตกค้างที่สหรัฐฯ ทิ้งใส่กองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกงในกัมพูชา สมัยสงครามเวียดนาม ช่วงปี ค.ศ. 1970-1973
ขณะที่การโต้ตอบของรัฐบาลและกองทัพมีความชัดเจนว่า ไม่ยอมให้ความเท็จของฝ่ายใดมากลบเสียงของความจริง และจะดำเนินการชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมที่บิดเบือน เสื่อมเสีย และละเมิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมของผู้นำกัมพูชา ซึ่งอาจเข้าข่าย “อาชญากรรมสงคราม” อย่างชัดเจน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาคมโลกตระหนักถึงพฤติกรรมดังกล่าว และร่วมกันประณามการใช้ข้อมูลเท็จเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในเวทีสากล
กรณีการสร้างเฟกนิวส์ของกัมพูชาชวนให้คิดถึงสาเหตุที่ทำไมชาวกัมพูชาถึงเชื่อข่าวปลอมอย่างง่ายดาย ในขณะที่โลกอยู่ในยุคที่ค้นหาข้อมูลได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
คำตอบในเรื่องนี้ อาจกล่าวได้ว่า กลไกปลุกปั่นกระแสข่าวปลอมเป็นผลจากอำนาจรัฐควบคุมข่าวสาร คนกัมพูชาเสพสื่อตามข้อมูลที่รัฐอนุญาตให้รู้เท่านั้น อีกทั้งรัฐบาลตระกูลฮุนเข้ามามีบทบาทในการควบคุมข้อมูลข่าวสารอย่างเบ็ดเสร็จ เสรีภาพสื่อในกัมพูชาถูกจำกัดหรือถูกควบคุม ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อควบคุมการรับรู้ของประชน โดยเฉพาะในประเด็นอ่อนไหวด้านความมั่นคงทางการเมือง
อ้างอิงรายงาน Cambodian Center for Independent Media (CCIM) และ Global Witness ชี้ชัดว่าหน่วยงานทางทหารของกัมพูชามีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตและกระจายข่าวปลอมผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ลักษณธใช้เนื้อหาที่กระตุ้นให้เกิดความหวาดกลัว อาทิ การก่อรัฐประหาร การแทรกแซงของต่างชาติ หรือประเด็นเชื้อชาติและศาสนา เป็นต้น
มีข้อมูลบ่งชี้ว่า คนกัมพูชามักเชื่อ “ข่าวปลอม” และ “รู้ไม่เท่าทันสื่อ” โดยข่าวปลอมในกัมพูชาแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่องทาง Facebook และ YouTube สังคมออนไลน์ยอดนิยมของประชากร โดยข้อมูลจาก DataReportal ปี 2024 พบว่า กว่า 70% ของประชากรใช้ Facebook ซึ่งมักเป็นช่องทางที่ข่าวปลอมเผยแพร่อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากอัลกอริธึมของ Facebook เน้นการ “กระตุ้นอารมณ์” มากกว่าความจริง ทำให้ข่าวที่กระตุ้นความกลัว โกรธ หรือหวังแพร่ได้ง่าย ซึ่งชาวกัมพูชากว่า 60% เชื่อข่าวจาก Facebook โดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มา ประชากรอายุ เฉลี่ย 15–30 ปี เป็นกลุ่มที่เสพข่าวเร็วแต่ วิเคราะห์ช้า
ประเด็นต่อมา การปลุกปั่นกระแส “รักชาติ” ที่ดำเนินไปอย่างเชี่ยวกรากในทั้งสองประเทศ เพราะเหตุความขัดแย้งพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา นำสู่ความสูญเสียนายทหารและพลเรือนจำนวนมาก ได้สร้างความโกรธแค้นเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติ
โลกโซเซียลมีเดียไทยพร้อมใจติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ส่งกำลังใจให้กับทหารสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องชายแดน ย้ำว่าเป็นการสนับสนุนทหาร ไม่ใช่การสนับสนุนสงคราม และเพื่อเตรียมความพร้อมปกป้องอธิปไตยของประเทศ ดำเนินไปท่ามกลางอคติต่อประเทศเพื่อนบ้านและกระแสชาตินิยมที่ยังรุนแรง
แต่ที่ต้องจับตาคือ รัฐบาลกัมพูชามีความพยายามปลุกกระแสชาตินิยมให้โลกมองว่าถูกไทยรังแก มีการรวมตัวของประชาชนชาวกัมพูชาแสดงจุดยืนต่อเหตุปะทะที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการปลุกระดมมวลชนชาวกัมพูชาทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อยกระดับให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
ตลอดจนฝ่ายความมั่นคงของกัมพูชายังการแสดงออกท่าทีของความพร้อมในการใช้กำลังทหารผ่านการโพสต์ ผ่านทางช่องทางสื่อสารสังคมออนไลน์ต่างๆ ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง และกล่าวหาประเทศไทยอย่างไร้หลักฐานที่เป็นฉนวนของความไม่พอใจและนำไปสู่การใช้รุนแรง
และอีกประเด็นดรามาที่เกิดการปะทะในโซเซียลมีเดียไทย – กัมพูชา คือ ประเด็นการ “เคลมวัฒนธรรม” มีการโต้เถียงเรื่องของศิลปะ ประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนอารยธรรมโบราณ อย่างดุเดือดต่อเนื่อง
ล่าสุด เกิดกรณีชวนหัวชาวกัมพูชาบางส่วนออกมาเคลมว่า “อักษรไทย” มาจาก “อักษรเขมร” ทั้งๆ ที่อักษรของประเทศในภูมิภาคนี้มาจากอักษร “ปัลลวะ” ซึ่งเป็นอักษรแรกเริ่มที่เข้ามาในดินแดนแถบนี้ ในสมัยที่ยังไม่มีการแบ่งเขตดินแดน หรือกำหนดเป็นประเทศชาติใดๆ เหมือนเช่นปัจจุบัน ซึ่ง “ปัลลวะ” เป็นต้นแบบการพัฒนาการของตัวอักษรต่าง ๆ ในทุกประเทศแถบนี้มาหลายพันปี”
นักประวัติศาสตร์ระบุว่าอักษรไทย หรือ สยาม หรือชนชาติไทยในหลายสมัยแต่โบราณ มาจากจารึกของ “ปัลลวะ” ซึ่งคือต้นแบบตัวอักษรซึ่งต่อมากลายมาเป็นต้นแบบตัวอักษรใน พม่า มอญ ไทย เขมร ลาว ไล่ลงไปจนกระทั่งถึง ตัวอักษรในชวา บาหลี รวมถึงเวียดนาม ซึ่งหลายยุคหลายสมัยมีต้นกำเนิดมาจากชาว “ปัลลวะ” ในอินเดียโบราณทั้งสิ้น
“ขณะนั้นยังไม่มีการกำหนดเป็นประเทศ หรือเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในยุคสมัยนั้นจะมีลักษณะเป็นเจ้าผู้ครองนคร มีหัวเมือง ซึ่งแต่ละนครหรือเมืองก็จะมีพลเมือง ที่มีลักษณะทางกายภาพเหมือนกัน อาทิ รูปพรรณ วิถีการดำรงชีวิต และภาษา ซึ่งปัลลวะเป็นต้นกำเนิดของอักษรทั้งหมดที่ ชาวจาม แขมร์ ขอม สยาม ลาว นำมาพัฒนาใช้ ส่วนมอญในยุคนั้น ได้ถูกพัฒนา มาเป็นอักษร พม่า ในปัจจุบัน
“การมาปลุกกระแส อักษรเขมร เช่นนี้ แสดงถึงความไม่สนใจไม่ใส่ใจประวัติศาสตร์ของทวีปเอเชียของคนหลงยุคกลุ่มนี้ และรังแต่จะแสดงความขัดแย้งไปยังประเทศอื่นๆ เพราะหลายประเทศในทวีปเอเชีย ล้วนแล้วแต่มีรากฐานของภาษามาจากแหล่งเดียวกัน” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ธิบดี บัวคำศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์กัมพูชาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงทัศนะต่อปรากฎการณ์กระทบกระทั่งประเด็นกัมพูชาเคลมวัฒนธรรมไทย โดยอธิบายเหตุมาจาก 2 ปัจจัย 1. ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในอดีต และ 2. ประสบการณ์และความรับรู้ (Perception)
“การอ้างสิทธิ์ในวัฒนธรรมร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา อย่างไรก็ตาม การกล่าวอ้างว่ากัมพูชาเคลม หรืออ้างสิทธิ์ในวัฒนธรรมไทยอาจไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีวัฒนธรรมร่วมที่หลากหลายและมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ซึ่งส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนและผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างกัน”
นอกจากนี้ ผศ.ดร.ณัฐพร ไทยจงรักษ์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์กัมพูชา หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิเคราะห์ว่า ความนิยมไทยในคนกัมพูชาว่ามีสูงมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในยุคก่อนสินค้าจากไทยถือเป็นสินค้านำเข้าชาติแรกๆ ที่ถูกส่งเข้าไปจำหน่ายในกัมพูชา รวมถึงการรับสัญญาณโทรทัศน์จากประเทศไทยทำให้คนกัมพูชาคุ้นชินกับสินค้า และวัฒนธรรมละครไทย ซึ่งนอกจากความชื่นชอบต่อแบรนด์สินค้าไทยแล้ว คนกัมพูชายังนิยมส่งลูก-หลานข้ามาเรียนต่อในประเทศไทยอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อพิพาทการอ้างสิทธิ์เหนือพรมแดนไทย-กัมพูชา เป็นชนวนเหตุความขัดแย้งนำสู่การปะทะรุนแรง เพราะต่างฝ่ายต่างยึดถือหลักฐานคนละฉบับ ตลอดจนการอ้างสิทธิปกป้องอธิปไตยของประเทศนำสู่การสูญเสีย และตราบใดที่ยังมีชายแดนที่อยู่ติดประชิดกัน การเจรจาโดยสันติวิธีเป็นทางออกในการยุติการปะทะครั้งนี้