เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องหันไปจับตา หันไปให้ความสนใจต่อ “ขั้วอำนาจ” อีกขั้ว หรือต่อผู้ที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็น “ขั้วอำนาจเดียว”อย่างคุณพ่ออเมริกา เพราะอันนั้น...คงต้องรอเวลาชั่งน้ำหนัก “ความบ้า”ของ “ทรัมป์บ้า”อีกราวๆ2 สัปดาห์ว่าสุดท้ายแล้วจะ “บ้ามาก-บ้าน้อย”ไปถึงขั้นไหน? ในการคิดรุมถล่มอิหร่านร่วมกับคุณปู่อิสราเอล หรือคงต้องหันไปจับตาการยกหูต่อสายระหว่าง2 มหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา นั่นคือคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย2 หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ไร้ขีดจำกัด ว่าจะเอาไง? แบบไหน? อย่างไร? ในกรณี “สงครามอิหร่าน-อิสราเอล” ที่กำลังใกล้จะจุดไฟนรกสุดขอบฟ้าให้ลุกพึ่บๆ พั่บๆ ขึ้นมาได้ไม่ยาก...
เพราะถ้าว่ากันตามคำพูด คำแถลง ของผู้ช่วยด้านกิจการต่างประเทศของประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย อย่าง “นายYuri Ushakov” เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การยกหูต่อสายของ 2 ผู้นำประเทศ ประธานาธิบดี “ปูติน”และประธานาธิบดี “สีทนได้”หรือ “สี จิ้นผิง”ของจีนคราวนี้ น่าจะ “ไม่ใช่ธรรมดา”อยู่แล้วแน่ๆ!!! คือนอกจากผู้นำรัสเซียท่านจะหยิบเอาการพูดจาระหว่างท่านกับผู้นำอิหร่าน ประธานาธิบดี “Masoud Pezeshkian”และผู้นำอิสราเอล “นายBenjamin Netanyahu” เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มาแจกแจงให้หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ไร้ขีดจำกัดรับรู้รับทราบ โดยละเอียด ทั้งสองฝ่ายยังได้เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ หารือ ปรึกษา ถึงการเอาไง? แบบไหน? อย่างไร? กันร่วมๆ ชั่วโมงเอาเลยถึงขั้นนั้น...
และที่ชัดยิ่งกว่าชัดโดยไม่ต้องเสียเวลาชักเข้า-ชักออก หรือเปลี่ยนไป-เปลี่ยนมาแบบ “ทรัมป์บ้า”ก็คือผู้นำทั้งสองต่างเห็นว่าควรที่จะ “ประณามอิสราเอล” ต่อการกระทำที่ถือเป็นการละเมิดกฎระเบียบของสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศในการเปิดฉากปฏิบัติการ “Preemptive Strike”หรือการส่งเครื่องบินนับร้อยๆ ลำไปชิงโจมตีก่อนต่ออิหร่าน ทั้งที่ “การเจรจา” ในเรื่องโครงการนิวเคลียร์-ไม่นิวเคลียร์ระหว่างอิหร่าน-อเมริกายังไม่ทันแล้วเสร็จ หรือต่างเห็นด้วยในระดับ “รากฐาน” ว่าปัญหานิวเคลียร์อิหร่านนั้น ไม่สามารถอาศัยการ “ใช้กำลังทางทหาร”ในการแก้ปัญหาได้เลย มีแต่ต้องอาศัย “หนทางการทูต” ลูกเดียวเท่านั้น...
และอันนี้นี่แหละ...ที่ต้องถือเป็น “ความแตกต่าง” ไปจากมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ที่แม้ว่ายังพยายามเปิดโต๊ะเจรจากับอิหร่านรอบแล้ว รอบเล่า แต่ก็มิวายที่จะชูกำปั้น เบ่งกล้าม โชว์กล้าม พร้อมที่จะขู่คำรามถึงการร่วมไม้-ร่วมมือกับอิสราเอลในการรุมเหยียบ รุมกระทืบอิหร่านให้จมธรณีลงไปให้จงได้ ถ้าไม่คิดจะทำตามความปรารถนาและต้องการของตัวเอง ข่าวคราวว่าด้วยการเคลื่อนเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 3 เข้าไปในตะวันออกกลาง ส่งเครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศกว่า 30 ลำมุ่งหน้าไปยังอิสราเอล รวมทั้งการอนุมัติแผนโจมตีอิหร่านเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เพียงแต่รอเวลาตัดสินใจขั้นสุดท้ายในอีก 2 สัปดาห์ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ถือเป็นความผิดแผกแตกต่างไปจากมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน-รัสเซีย แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน...
สำหรับจีนนั้น...โดย “ข้อเสนอ 4 ข้อ”(four-point proposal) ของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ต่อกรณีความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล คือ 1.ต้องหยุดยิงกันก่อนเป็นอันดับแรก 2. ต้องเร่งสร้างความปลอดภัยให้กับชีวิต-ทรัพย์สินของพลเรือนทั้งสองฝ่าย 3. ต้องถือเอาการพูดคุยเจรจาเป็นทางออกขั้นพื้นฐาน และ 4. ต้องอาศัยแรงผลักดันในแนวทางสันติภาพของประชาคมระหว่างประเทศอันเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ ไม่ใช่การตัดสินชะตากรรมประเทศใด-ประเทศหนึ่ง โดยอำนาจใด-อำนาจหนึ่งโดยลำพัง เช่นเดียวกับรัสเซียที่ขันอาสาขอเป็น “ตัวกลาง”ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งดังกล่าว แม้ว่าตัวเองยังแก้ปัญหาความขัดแย้งยูเครนยังไม่แล้วเสร็จก็ตามที...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ความแตกต่างระหว่าง “ขั้วอำนาจจีน-ขั้วอำนาจรัสเซีย”กับ “ขั้วอำนาจอเมริกา”ได้ปรากฏให้เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้ว ในการหาข้อสรุป ข้อยุติ ว่า “สงครามอิหร่าน-อิสราเอล” จะเป็นไปในรูปไหน? แบบไหน? กันต่อไปปัญหาจึงอยู่ที่ว่า...เอาเข้าจริงๆ แล้ว โลกใบนี้ หรือ ณ ขณะนี้ มันเป็นโลกที่มีอยู่เพียง “ขั้วอำนาจเดียว” หรือประกอบไปด้วย “หลายขั้วอำนาจ” กันแน่!!! หรืออย่างที่นักเขียน นักวิเคราะห์ชาวซีเรีย “นายTaleb Ibrahim”เขาได้ให้ความเห็นเอาไว้ในข้อเขียน
บทความของ “Elizabeth Blade”ผู้สื่อข่าว “Russia Today”ว่าด้วยเรื่อง “If Iran falls, we all lost”นั่นแหละว่า...โลกใบนี้จะกลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ถ้าหากอิหร่านเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าหากอิหร่านเป็นฝ่ายแพ้ โลกใบนี้จะกลายเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ภายใต้อเมริกาไปโดยตลอด ดังนั้น...สงครามคราวนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตัวกำหนดชะตากรรมของประเทศอิหร่านเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวกำหนด “อนาคตของโลก” ควบคู่ไปด้วย!!!
จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ก็ลองไปเอาตีนก่ายหน้าผากคิดเอาเองก็แล้วกัน แต่โดยเหตุผลที่นักคิด นักวิเคราะห์ รายนี้ รวมทั้งนักวิชาการอิหร่าน “นายMohammad Marandi”เขาได้แจกแจงให้เห็นเป็นข้อๆ ก็ต้องเรียกว่ามี “น้ำหนัก”ให้น่าคิดน่าสะกิดใจมิใช่น้อย โดยเฉพาะการชี้ให้เห็นว่า...การพังทลายของประเทศอิหร่านที่ไม่เพียงจะก่อให้เกิด “ปัญหา” หนักเสียยิ่งกว่าประเทศลิเบีย ที่ถูกตะวันตกบดขยี้แล้วถีบทิ้ง จนกลายเป็นอนาธิปไตยหาความเป็นประเทศยังไม่เจอจนตราบเท่าทุกวันนี้
แต่ยังกลายเป็นการสกัดกั้นรัสเซีย ไม่ให้มีโอกาสเชื่อมโยงภูมิรัฐศาสตร์ลงมาทางใต้ไปสู่ทะเลสาบแคสเปียน รวมทั้งยังเป็นการสร้างอุปสรรคขัดขวางต่อการเข้าถึงภูมิภาคตะวันออกกลางของจีน ตามแนวคิดความริเริ่มเส้นทางสายไหมใหม่(One Belt-One Road) อีกด้วยต่างหาก...
ด้วยเหตุนี้...โอกาสที่มหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย ท่านจะยอม “เอามือซุกหีบ”ไว้เฉยๆ จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ด้วยประการทั้งพวง เมื่อไหร่ที่ “แผนโจมตีทางทหาร” ต่ออิหร่าน ซึ่งว่ากันว่า...ได้รับการอนุมัติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” เพียงแต่รอเวลาตัดสินใจขั้นตอนสุดท้ายในอีก2 สัปดาห์ข้างหน้า เกิดเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมา หรือเกิดผลในเชิงปฏิบัติ ไม่ว่าจะโดยอาศัยจรวด “Bunker Buster”เจาะทะลวงอุโมงค์ใต้ดินเมือง “Fordow”หรือจะถึงขั้นใช้ “ระเบิดนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี” หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที นั่นเท่ากับว่า “ไฟนรกสุดของฟ้า”ได้ถูกจุดขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!!
อย่างไรก็ตาม...การที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”ท่านชักจะลดๆ ความบ้า หรือหันมา “ยืดเวลาแห่งความบ้า” ไปอีก 2 สัปดาห์ ว่าไปแล้ว...ก็ก่อให้เกิดการได้-เสียต่อคู่สงครามทั้งสองฝ่าย หรือต่ออิหร่านและอิสราเอลมิใช่น้อย หรือดังที่ผู้อำนวยสโมสรนักคิดรัสเซีย “The Valdai Club”อย่าง “นายTimofey Bordachev” เขาได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย ในข้อเขียน บทความ ว่าด้วยเรื่อง “The end of Israeli exceptionalism” หรือจุดจบของอิสราเอลผู้ที่มีความพิเศษแบบชนิดไม่มีใครเหมือน หรือผู้ที่เชื่อว่าตัวเองคือประชาชนผู้ได้รับการเลือกสรรจากพระผู้เป็นเจ้า อะไรทำนองนั้น นั่นก็คือไม่ว่าโดย “ขนาด”หรือโดยขอบเขต-พื้นที่ ไปจนถึงโดยจำนวน “ประชากร” ย่อมถือเป็นตัวบ่งบอก “ความได้เปรียบ-เสียเปรียบ” ระหว่างคู่สงครามทั้งสอง หรือระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล อย่างแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด เสียเวลาวิเคราะห์อะไรมาก...
เพราะภายใต้เนื้อที่ อาณาเขตประเทศประมาณ 1,648,195 ตารางกิโลเมตรของอิหร่านนั้น โอกาสที่จะสร้างความพังพินาศ เสียหาย แหลกยับเยินแบบชนิดหมดสภาพ มันน่าจะค่อนข้าง “ยากส์ส์ส์” เอามากๆ ตรงกันข้ามกับประเทศอิสราเอลที่มีอาณาเขตพื้นที่ระดับพอๆ กับแมวดิ้นตาย หรือประมาณ22,072 ตารางกิโลเมตรเท่านั้นเอง ถ้าหากต้องเจอกับจรวด “Hypersonic”ลูกแล้ว ลูกเล่า ไม่ว่าระบบไฟฟ้า พลังงาน สิ่งสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ฯลฯ ย่อมต้องมีสิทธิ “เจ๊ง” ยิ่งกว่าอิหร่านหลายต่อหลายเท่า อีกทั้งโดยจำนวนประชากรที่มีอยู่เพียงแค่9-10 ล้าน ขณะที่อิหร่านเขาปาเข้าไปเกือบ 100 ล้าน (92,417,681 คน) โอกาสที่จะ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”ให้หมดประเทศเหมือนอย่างฆ่าชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาก็ออกจะยิ่ง “ยากส์ส์ส์” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้นักคิดรัสเซียรายนี้ท่านจึงเห็นว่า ยิ่งสงครามอิหร่าน-อิสราเอลยืดเยื้อออกไปเท่าไหร่ ผู้ที่มีแนวโน้มว่าอาจต้อง “เจ๊ง” คงไม่ใช่ “Tehran”หรืออิหร่าน แต่น่าจะเป็น “Netanyahu” หรืออิสราเอล ที่เต็มไปด้วย “ปัญหาภายใน”ไม่น้อยไปกว่า “ปัญหาภายนอก”นั่นแหละมากกว่า ดังนั้น...ไม่ว่าจะด้วยความ “บ้ามาก-บ้าน้อย” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็แล้วแต่ แต่การที่ผู้นำอเมริกาได้ยืดเวลาการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการร่วมโจมตีอิหร่านออกไปอีก 2 สัปดาห์ ไม่เพียงแต่จะถือเป็นการช่วยยืดเวลาการจุดไฟนรกสุดขอบฟ้า อันจะนำไปสู่ “สงครามโลกครั้งที่3” เท่านั้น แต่ยังอาจถือเป็นการทำให้ผู้ที่เชื่อว่าตัวเองคือผู้ที่มีสิทธิพิเศษเหนือใครอื่น หรือผู้ที่ได้รับการเลือกสรรจากพระผู้เป็นเจ้า อย่างชาวอิสราเอลทั้งหลาย อาจต้องเจอกับจุดจบในแบบ “The end of Israeli Exceptionalism”อย่างที่ “นายTimofey Bordachev” ท่านตั้งข้อสังเกตเอาไว้...นั่นแล...