xs
xsm
sm
md
lg

กระทรวงการคลังอย่าละเว้นหน้าที่ ยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์10,028ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

 ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดความสับสนในข่าวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าต้องชดใช้เงินจำนวน 10,028 ล้านบาทหรือไม่ เพราะมีความเห็นของไพศาล พืชมงคล ที่ระบุว่ายิ่งลักษณ์อาจไม่ต้องชดใช้เงิน 10,028 ล้านบาทเลย เนื่องจากศาลไม่ได้บังคับโดยตรงและยิ่งลักษณ์เป็นผู้ฟ้องคดี หากกระทรวงการคลังต้องการบังคับเรียกเงิน อาจต้องฟ้องคดีใหม่ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด คือยิ่งลักษณ์ยังต้องชดใช้เงินจำนวนนี้อยู่ โดยที่กระทรวงการคลังไม่จำเป็นต้องไปฟ้องคดีใหม่

ความสับสนนี้มาหลังจากศาลปกครองแถลงว่า คดีในส่วนนี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศาลปกครองมีอำนาจเพียงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน

ทั้งนี้ ศาลระบุว่าไม่มีอำนาจพิพากษาให้คู่กรณีฝ่ายผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

จริงครับศาลไม่ได้มีอำนาจสั่งให้ยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้เงิน 10,028 ล้านบาท

แต่ศาลเพียงแต่บอกว่า กระทรวงการคลังซึ่งออกคำสั่งที่ 1351/2559 เรียกให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าว โดยอ้างอิงพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งระบุว่าเจ้าหน้าที่ที่ประมาทเลินเล่อร้ายแรงหรือจงใจทำให้เกิดความเสียหายต้องรับผิดชดใช้35,717.2 ล้านบาทนั้น ให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้เพียง 10,028 ล้านบาท นั่นก็คือ กระทรวงการคลังสามารถออกคำสั่งที่เรียกให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวคือ 10,028 ล้านบาทได้เลย

เพียงแต่มีคำถามว่า กระทรวงการคลังยุคนี้จะดำเนินการหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนี่ง เพราะตอนนี้อำนาจทางการเมืองที่ดูแลกระทรวงการคลังเป็นฝ่ายยิ่งลักษณ์ ดังนั้นกระทรวงการคลังอาจจะเอ้อระเหยลอยชายเพื่อดึงเรื่องไปก็ได้ แต่ต้องดำเนินการเรียกเงิน 10,028 ล้านบาทจากยิ่งลักษณ์ไม่นั่นจะมีความผิดตามมาตรา 157

ส่วนยิ่งลักษณ์จะนำเรื่องไปฟ้องศาลปกครองอีกไม่ได้แล้ว เพราะถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว

ส่วนคดีนี้มีที่มาอย่างไร ผมจะย้อนเหตุการณ์ให้ทราบกัน

คดีนี้มีที่มาจากโครงการรับจำนำข้าวในสมัยที่เธอดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2554-2557) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าสร้างความเสียหายต่อรัฐและมีการทุจริตในกระบวนการระบายข้าว โดยเฉพาะการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (Government-to-Government: G2G) ความเป็นมาก่อนที่คดีจะมาถึงศาลปกครองสามารถสรุปได้ดังนี้

โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ให้เกษตรกรนำข้าวมาจำนำกับรัฐในราคาสูงกว่าราคาตลาด เพื่อช่วยเหลือชาวนาและกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการบริหารจัดการที่ไม่โปร่งใส สร้างความสูญเสียทางการเงินให้รัฐหลายแสนล้านบาท โดยเฉพาะการระบายข้าวแบบ G2G ที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทำสัญญาเทียมเพื่อระบายข้าวให้เอกชนในราคาต่ำกว่าตลาด ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ

ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบพบว่ายิ่งลักษณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ อาจมีส่วนปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต โดยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งความเสียหาย นำไปสู่การดำเนินคดีอาญา

 ในปี 2556 ป.ป.ช. เริ่มสอบสวนคดีจำนำข้าว โดยชี้มูลว่ายิ่งลักษณ์มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คดีถูกส่งไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และในปี 2560 ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุกนางสาวยิ่งลักษณ์ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการจำนำข้าว

 อย่างไรก็ตาม ยิ่งลักษณ์หลบหนีออกนอกประเทศไทยก่อนศาลตัดสินคดี ทำให้คดีอาญายังไม่สามารถบังคับใช้ได้ ตอนนั้นมีความเชื่อกันว่า รัฐบาลในขณะนั้นก็รู้เห็นเป็นใจในการเปิดทางให้ยิ่งลักษณ์หลบหนีไป และตอนนี้ยิ่งลักษณ์ก็ดำเนินชีวิตอย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับตอนที่ทักษิณหลบหนีไปต่างประเทศ แต่ไม่มีผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ว่า ตำรวจ อัยการ หรือกระทรวงต่างประเทศมีความพยายามที่จะนำตัวกลับมาดำเนินคดีเลย ส่วนคนอื่นที่ถูกจำคุกคือนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถูกตัดสินจำคุก 48 ปี นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร (หรือ “เสี่ยเปี๋ยง”) ตอนนี้ทุกคนได้รับการปล่อยตัวหมดแล้ว

ทักษิณเคยพูดว่า ยิ่งลักษณ์จะกลับมาปีนี้ โดยพูดถึงสงกรานต์ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ไม่กลับมาตามที่พูด

นอกเหนือจากคดีอาญา รัฐบาลหลังการยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปี 2557 ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว เพื่อประเมินมูลค่าความเสียหาย ซึ่งคณะกรรมการฯ สรุปว่ายิ่งลักษณ์ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลต้องรับผิดชอบความเสียหายจากการบริหารโครงการ โดยคำนวณมูลค่าความเสียหายไว้ที่ 35,717.2 ล้านบาท เฉพาะในส่วนของการระบายข้าวแบบ G2G

จากนั้นในปี 2559 กระทรวงการคลังออกคำสั่งที่ 1351/2559 เรียกให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าว โดยอ้างอิงพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งระบุว่าเจ้าหน้าที่ที่ประมาทเลินเล่อร้ายแรงหรือจงใจทำให้เกิดความเสียหายต้องรับผิดชดใช้

จากคำสั่งนี้ กระทรวงการคลังดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สินของยิ่งลักษณ์ รวมถึงทรัพย์สินที่อาจเกี่ยวข้องกับคู่สมรสและบุคคลที่สาม เพื่อนำไปชดใช้หนี้ตามคำสั่ง

ยิ่งลักษณ์เห็นว่าคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ชดใช้เงิน 35,717.2 ล้านบาท และการยึด/อายัดทรัพย์สินเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยอ้างว่า ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเธอเป็นผู้กระทำความผิดหรือมีส่วนรู้เห็นในการทุจริต การคำนวณความเสียหายของคณะกรรมการขาดความโปร่งใสและไม่เป็นธรรม การยึดทรัพย์สินของบุคคลที่สาม (เช่น คู่สมรส) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนั้น เธอจึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โดยคดีนี้เริ่มขึ้นที่ศาลปกครองชั้นต้นในปี 2560 และต่อมาถูกอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด

 ปี 2564 ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง โดยระบุว่า กระทรวงการคลังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่านางสาวยิ่งลักษณ์เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง คำสั่งเรียกชดใช้เงิน 35,717.2 ล้านบาท เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยึดและอายัดทรัพย์สิน รวมถึงทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สาม ต้องถูกยกเลิก

ต่อมากระทรวงการคลังยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด โดยยืนยันว่ายิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบความเสียหายในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต

จนวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแก้คำตัดสินของศาลชั้นต้น โดยสั่งให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าเสียหาย 10,028 ล้านบาท เฉพาะในส่วนของการระบายข้าวแบบ G2G พร้อมยกเลิกการยึด/อายัดทรัพย์สินบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สาม (เช่น คู่สมรส)

คดีนี้จึงเริ่มจากข้อกล่าวหาการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งนำไปสู่การสอบสวนโดย ป.ป.ช. และการออกคำสั่งทางปกครองโดยกระทรวงการคลังให้ชดใช้ความเสียหาย 35,717.2 ล้านบาท พร้อมยึด/อายัดทรัพย์สิน ความไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ทำให้ยิ่งลักษณ์ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อท้าทายความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งดังกล่าว ซึ่งนำไปสู่การพิจารณาคดีในศาลปกครองชั้นต้นและสูงสุดตามลำดับ

โดยคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 โดยตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่นั่งพิจารณาได้ลงลายมือชื่อในร่างคำพิพากษาครบทั้ง 5 คนเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาประธานศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้นำคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งในการประชุมใหญ่นั้นจะประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองสูงสุดทุกคนที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้น ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่พ้นจากราชการไปแล้วจึงไม่อาจเข้าร่วมประชุมใหญ่ได้

ทั้งนี้คำวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่ จะเป็นไปตามเสียงข้างมากของที่ประชุม ต่อมาเมื่อมีการจัดทำคำพิพากษาตามมติของที่ประชุมใหญ่แล้ว ตุลาการในองค์คณะ 2 คนที่พ้นจากราชการไปแล้วจึงไม่อาจลงลายมือชื่อในคำพิพากษาได้ ซึ่งประธานศาลปกครองสูงสุดได้มีบันทึกกรณีตุลาการศาลปกครองสูงสุดมีเหตุจำเป็นไม่อาจลงลายมือชื่อได้ไว้ในคำพิพากษาแล้ว

ทั้งนี้การดำเนินกระบวนพิจารณาและจัดทำคำพิพากษาดังกล่าวเป็นไปตามมาตรา 68 และมาตรา 69 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

โดยสรุปก็คือ ยิ่งลักษณ์ยังต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายเฉพาะในส่วนของการทุจริตในกระบวนการระบายข้าว โดยเฉพาะการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G)จำนวน 10,028 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังสามารถเรียกให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าว โดยอ้างอิงพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539ได้เลย ยิ่งลักษณ์จะมาอุทธรณ์ต่อศาลปกครองก็ไม่ได้แล้วเพราะคดัถึงที่สุดแล้ว

 แต่ลองเดากันดูว่ากระทรวงการคลังจะดำเนินการเรียกเงิน 10,028 ล้านบาทจากยิ่งลักษณ์ในสมัยที่รัฐบาลแพทองธารยังมีอำนาจไหม แล้วถ้าไม่เรียกคืนเราควรดำเนินการอย่างไรกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เพิกเฉย

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น