ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ รอรับแรงกระแทกได้เลย! "ม.144" จะกวาด ครม.-สส.-สว. เกือบหมดสภา เหตุผลที่แท้ทรู “อิ๊งค์”เลิกแจกเงินหมื่น!
ทุกคน...สถานการณ์การเมืองตอนนี้เข้มข้นยิ่ง ด้วยปรากฏมี "พายุกฎหมาย" ได้ก่อตัวทวีกำลังความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
บางลูกระดับความรุนแรง ว่ากันว่า มีพลานุภาพทำลายล้าง พร้อมจะซัดกวาดคณะรัฐบาล-พรรคการเมือง ตลอดไปจนถึง สส.-สว. อาจจะถึงคราวดับดิ้นสิ้นสมาชิกภาพได้เลยทีเดียว!
แน่นอนว่า มีพายุสองลูก ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ นั่นคือ "คดีฮั้ว สว." และ "แจกเงินหมื่น"
พายุลูกแรก คอการเมืองหลายๆคนให้น้ำหนักเกาะติดในเรื่องของคดี "ฮั้วสว." ที่เชื่อว่า DSI และกกต.มีหลักฐานประจักษ์พยานเด็ด ชัดเจน สามารถจะเอาผิดผู้เกี่ยวข้องได้ และยังมีประเด็นที่เกี่ยวโยงกรณี “เจ๊แมว” กุสุมาลวตี ศิริโกมุท ไปยื่น "ยุบพรรคภูมิใจไทย" ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ที่เชื่อว่า ชักใยอยู่เบื้องหลังอีกต่างหาก
ประเมินตามรูปการณ์ ผู้สันทัดกรณีมองดูพายุกฎหมายลูกนี้ ยังอีกนานกว่าจะซัดขึ้นฝั่ง เพราะตามขั้นตอนการดำเนินการพิสูจน์ทราบความผิดนั้นต้อง ใช้เวลา
หากเทียบกับพายุลูกที่สอง คดี "แจกเงินหมื่น" นี่สิของแทร่ ที่จะพัดขึ้นฝั่งได้เร็วและรุนแรงกว่า คดีฮั้วสว.
เพราะ การตัดงบชำระหนี้แบงก์รัฐ แล้วเอามาลงโครงการ "แจกเงิน" พฤติการณ์แห่งคดีพบการกระทำผิดสำเร็จแล้ว!
นี่ต้องย้อนไปต้นเรื่อง เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีตสส. พร้อมด้วย “สมชาย แสวงการ” อดีตสว. “เจษฎ์ โทณะวณิก” อดีตที่ปรึกษากรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ “ทนายนกเขา” นิติธร ล้ำเหลือ เข้ายื่นเรื่องต่อป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบการกระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ “มาตรา144” ในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568
โดยตรวจสอบพบว่า มีการตัดลดงบประมาณจำนวน 35,000 ล้านบาท ที่เดิมจัดสรรไว้สำหรับการชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง ถูกนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท
รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา144 เขียนไว้ชัดเป๊ะ! เป็นบทบัญญัติสำคัญที่มุ่งป้องกันการใช้อำนาจโดยมิชอบของ ส.ส. และ วุฒิสภา สว.ในกระบวนการพิจารณางบประมาณของรัฐ
สาระสำคัญของ มาตรา 144 คือ 1. ห้ามการแปรญัตติเพิ่ม-ลด งบประมาณ ส.ส.และส.ว. ไม่มีอำนาจในการเสนอหรือแปรญัตติใน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่เสนอโดยฝ่ายบริหาร 2. ห้ามการกระทำที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ห้ามมิให้ สส., สว., หรือกรรมาธิการกระทำการใดๆ ที่อาจทำให้ตนเองหรือผู้อื่นมีส่วนในการใช้งบประมาณ ซึ่งรวมถึงการแปรญัตติที่อาจนำไปสู่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง
บทลงโทษนั้นก็รุนแรง หากมีการฝ่าฝืน มาตรา144 และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ สมาชิกผู้นั้นจะสิ้นสุดสมาชิกภาพทันที และอาจถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงต้องชดใช้เงินคืนแก่รัฐ พร้อมดอกเบี้ยภายใน 20 ปี
ความผิดนี้จะครอบคลุมตั้งแต่ครม. ชุดของ “รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลของ “อิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แยกเป็น 2 ประเด็น 1.การใช้งบประมาณที่ผิด 2. ได้มีโอกาสเข้าไปใช้งบประมาณ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม รวมไปถึง สส. –สว. ชุดปัจจุบัน ที่โหวตเกือบๆ 600 คน หรือเกือบทั้งสภา!
เรียกว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ ฟันโช๊ะว่า "ผิดจริง" ใครเกี่ยวข้องอาจต้องโบกมือลาตำแหน่งแบบไม่มีลุ้นรีเทิร์น และยังต้องควักเงินชดใช้รัฐพร้อมดอกเบี้ย ยาวๆ
พายุลูกนี้ ตอนนี้อยู่ในมือป.ป.ช.มีเวลาพิจารณาดูว่ามีมูลหรือไม่ ภายในกรอบเวลา 60 วัน และหากส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อไหร่ ตามปกติจะใช้เวลาประมาณ 15 วัน
เพราะฉะนั้น ครม.-สส.-สว. รอรับแรงกระแทกได้เลย
งานนี้ก็ขอแนะนำ “นายกฯอิ๊งค์” น่าจะต้องเตรียมหายาดม ยาลม ยาหม่อง มาเพิ่มไว้ล่วงหน้า
ผลของพายุใต้ฝุ่นลูกนี้ ยังเชื่อว่า เป็นเหตุผลที่แท้ทรูของการ “เลิก” แจกเงินหมื่นของรัฐบาล
“พ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร และ “นายกฯลูก” คงรู้ตัวว่า การดันทุรังแจกเงินหมื่นเฟสที่ผ่านๆมา เจอดีเข้าให้แล้ว ถูกคนหยิบ “ม.144” มาพิฆาต หากฝืนทำ เฟส 3 ก็เท่ากับผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะยิ่งหนักกว่าเดิม
อย่ากระนั้นเลย โยนปาบไปให้ "พ่อใหญ่ทรัมป์" เป็นผู้ร้ายโทษฐานขึ้นกำแพงภาษี แล้วส่งให้คนรอคอยรับแจกเงินหมื่นด่าทอไปทางนู้น...แหมทำไปด้ายยย.
++ 22 พ.ค.ชี้ชะตา “ยิ่งลักษณ์” ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้าน ในโครงการจำนำข้าว หรือไม่
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า “คดีจำนำข้าว” ที่ทำให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องหนีออกนอกประเทศ ยังกลับมาไม่ได้จนกระทั่งวันนี้ เริ่มจากมีการร้องเรียนไปที่ ป.ป.ช.ว่า “ยิ่งลักษณ์” มีความผิด ฐานเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ แต่ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้ง
หลังจากสอบสวน รวมรวมพยานหลักฐาน ประกอบการพิจารณาแล้ว ป.ป.ช. ชี้มูลว่า “ยิ่งลักษณ์”มีความผิดตามที่มีการร้องเรียนมา จึงส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดำเนินการต่อ
เรื่องทุจริตในตอนนั้น เกิดขึ้นทั้งในขั้นตอนการรับจำนำข้าวเปลือก และการระบายข้าวสาร แบบ “จีทูจี”
ดังนั้น จึงมีการฟ้องเป็น 2 คดี คือ คดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว “ยิ่งลักษณ์” เป็นจำเลย
ส่วนคดีทุจริตระบายข้าวแบบ“จีทูจี” มี “บุญทรง เตริยาภิรมย์” รมว.พาณิชย์ , “ภูมิ สาระผล" รมช.พาณิชย์ เป็นจำเลยคนสำคัญ กับพวกอีกจำนวนหนึ่ง มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และเอกชน โดยเอกชนคนสำคัญตัวเดินเรื่อง ก็คือ “เสี่ยเปี๋ยง” อภิชาต จันทร์สกุลพร
ทั้งสองคดีศาลฎีกาฯ นัดตัดสินในวันเดียวกันคือ วันที่ 25 สิงหาคม 2560
วันนั้น จำเลยคนอื่นๆ มาศาล โดยเฉพาะ “บุญทรง” นั้น เดินทางไปถึงศาลแต่เช้า ระหว่างรอ ได้โทรศัพท์หา“ยิ่งลักษณ์” ก็ได้รับคำตอบว่า อยู่ระหว่างการเดินทาง
แต่แล้ว “ยิ่งลักษณ์” ก็ไม่มา โดยทนายแจ้งต่อศาลฯ ว่า ป่วย น้ำในหูไม่เท่ากัน มีอาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ จึงขอเลื่อนฟังคำพิพากษา แต่ถูกโจทก์คัดค้าน ไม่เชื่อว่าป่วยจริง เพราะไม่มีใบรับรองแพทย์
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อว่า “จำเลยหลบหนี” จึงให้ออกหมายจับและให้เลื่อนไปฟังคำพิพากษาใน วันที่ 27 กันยายน 2560
ส่วนจำเลยคนอื่นๆ ศาลได้อ่านคำพิพากษาในวันนั้น โดย “บุญทรง” ถูกตัดสินจำคุก 42 ปี “ภูมิ สาระผล” 36 ปี ส่วน “เสี่ยเปี๋ยง” 48 ปี
และต่อมา 27 กันยายน 2560 ศาลฎีกาฯ ก็อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย ตัดสินจำคุก “ยิ่งลักษณ์” 5 ปี
จึงเป็นเรื่องเล่ากันว่า “บุญทรง” ถูกหลอกให้ไปติดคุก แต่คนสั่งการ...หนี !
เหตุการณ์ช่วงนั้น เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และได้มีคำสั่งกระทรวงการคลัง ให้ “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ เป็นเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
“ยิ่งลักษณ์”และสามีคือ "อนุสรณ์ อมรฉัตร" จึงตั้งทนายฟ้อง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี กับพวก มี รมว.คลัง, รมช.คลัง, ปลัดกระทรวงการคลัง, สำนักนายกรัฐมนตรี, กระทรวงการคลัง, กรมบังคับคดี, อธิบดีกรมบังคับคดี, และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร ต่อศาลปกครอง
ต่อมาปี 2564 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษา เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ให้ “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท ดังกล่าว
คือ "ยิ่งลักษณ์" ไม่ผิด ไม่ต้องชดใช้เงิน !
โดยศาลปกครองกลาง ให้เหตุผลว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการทุจริต เกิดขึ้นในชั้นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หลายคนเกี่ยวข้อง
แต่การสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ความรับผิดทางละเมิด กลับมิได้มีการดำเนินสอบสวนให้ได้ว่า เจ้าหน้าที่คนใด ควรต้องรับผิดเป็นจำนวนเท่าใด จากการทุจริต อีกทั้ง “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะนายกฯ รับรู้เกี่ยวข้องเฉพาะขั้นตอนการทำ เอ็มโอยู เพื่อให้มีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เท่านั้น แต่ในส่วนการทำสัญญาระบายข้าว ไม่ได้เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ก็รับว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า “ยิ่งลักษณ์” เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง และขั้นตอนการตรวจสอบ ของคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิด ก็ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
เมื่อ“ยิ่งลักษณ์” ชนะในชั้นศาลปกครองกลาง ทางหน่วยงานรัฐ จึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด และศาลปกครองสูงสุด ก็นัดฟังคำพิพากษา ในเวลา 13.30 น. วันนี้ (22 พ.ค.)
คดีอาญามีข้อยุติแล้วว่า “ยิ่งลักษณ์” ถูกพิพากษาจำคุก 5 ปี ส่วนคดีชดใช้ค่าเสียหายกว่า 3.5 หมื่นล้าน จะมีข้อยุติอย่างไร บ่ายวันนี้ รู้ผล