ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ไม่น้อยสำหรับข่าว “คาวๆ” ของดาราดังอย่าง “โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” ที่คบหาสมาคมกับดาราสาว “ณิชา-ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์” แต่กลับแอบไปแซ่บกับ “มายด์- พัชรบุษย์ ฤทธิ์ชู” ที่มี “เพชร” เป็นแฟนอยู่ จนถูกตั้งคำถามว่า เรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นนำเสนอประหนึ่งเป็น “วาระแห่งชาติ” อย่างไรอย่างนั้นเชียวหรือ
ที่สำคัญคือ ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องราวของ “โตโน่” ก็มิได้มีนัยสำคัญอะไรเลยแม้แต่น้อย ถือเป็น “เรื่องส่วนตัว” เสียด้วยซ้ำไป ด้วยทั้งฝ่าย “โตโน่-ณิชา” หรือ “มายด์-เพชร” ก็มิได้จดทะเบียนสมรสเป็นสามี-ภรรยาแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ “แฟน” ซึ่งหมายความว่า อาจจะตัดสินใจเปลี่ยนสถานะเมื่อไหร่ก็ได้
ทั้งนี้ เหตุผลเดียวที่ “โตโน่” โดนรุมสหบาทาจากทุกทิศทุกทางก็น่าจะเป็นเพราะปัจจัยเดียวคือ “ความขี้เก๊ก” อันทำให้คนหมั่นไส้…ก็เท่านั้น
ยิ่งกับรายการ “โหนกระแส” ของ “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” อดีตเพลย์บอยตัวพ่อที่กระโดดมาจัดเต็มอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งออกลูกโชว์เหนือสอน “โตโน่” ก็ยิ่งเกิดคำถามว่า ทำไมถึงต้องนำเสนอต่อเนื่องหลายวัน พร้อมทั้งล้วงแคะแกะเกาในทุกมิติจนเกิดคำถามว่า ต้องลงลึกกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ
จริงอยู่ แม้รายการโหนกระแสจะมุ่งเน้นเรื่อง “ชาวบ้าน” เป็นสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ไม่เคยนำเสนอเรื่องใหญ่ๆ ระดับชาติเสียเมื่อไหร่ ที่สำคัญ ต้องบอกว่า ในห้วงเวลาเดียวกันกับกรณี “โตโน่-มายด์” ก็มี “อภิมหาโครงการ” ที่ต้องตรวจสอบและติดตามอย่างใกล้ชิด นั่นคือการเสาะแสวงหาความจริงเกี่ยวกับการพังถล่มของ “อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)แห่งใหม่” ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่ง ณ เวลานี้ การค้นหา “ผู้สูญหาย” จากเหตุอาคารถล่มก็ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้นท่ามกลางการเฝ้ารอของญาติพี่น้องอย่างใจจดใจจ่อ
ทำไมรายการ “โหนกระแส” และ “หนุ่ม-กรรชัย” ถึงไม่ตรวจสอบให้เข้มข้นในทุกมิติอย่างต่อเนื่องเหมือนกับกรณี “โตโน่” ทั้งๆ ที่ถือเป็นรายการที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดรายการหนึ่งของประเทศไทยและสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
จะบอกว่า สังคมไม่สนใจก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าติดตามความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ เรื่องอาคาร สตง.ถล่มก็ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลก็พบว่า มีเรื่องฉาวโฉ่ที่อยู่เบื้องหลังซากตึก สตง.ถล่มออกมามากมาย โดยเฉพาะหลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเรื่องคดีผู้ถือหุ้นแทน หรือ “นอมินี” เป็นคดีพิเศษ ก็เดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับ “บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)” สองบริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่
เรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ “เรื่องแรก” ก็คือการที่ “นายสมเกียรติ ชูแสงสุข” เดินทางไปลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและต่อด้วยเข้าให้ข้อมูลกับดีเอสไอว่า ตนเองถูกปลอมลายเซ็นในเอกสารแก้ไขแบบปล่องลิฟต์ของอาคาร สตง.
เรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ “เรื่องที่สอง” คือ การที่ “นายพิมล เจริญยิ่ง” อายุ 85 ปี วิศวกรของบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ที่รับผิดชอบงานออกแบบอาคาร สตง. ออกมาให้ข้อมูลว่า ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการออกแบบอาคารดังกล่าว แม้ว่าจะปรากฏชื่ออยู่หราก็ตามที โดยโบ้ยให้ไปสอบถามข้อเท็จจริงกับทางบริษัทไมน์ฮาร์ทเอาเอง
เรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ “เรื่องที่สาม” ก็คือ การที่ “นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ” รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ออกมายอมรับหน้าตาเฉยในระหว่างชี้แจงต่อ กมธ.ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณฯ ว่า “สตง.เข้าใจว่าผู้ดำเนินการก่อสร้าง เป็นบริษัทอิตาเลียนไทยเป็นหลัก ไม่ใช่บริษัทไชน่า เรลเวย์ 10 ที่เข้ามาก่อสร้าง จนเกิดเหตุการณ์ตึกถล่มขึ้น”
เรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ “เรื่องที่สี่” ก็คือ การที่ “นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” อดีตผู้ว่าฯ สตง.ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ตึก สตง. จตุจักรที่ถล่ม เป็นเพราะผมเลือกฮวงจุ้ยไม่ดีเอง ต้องขอภัยด้วย”
นอกจากนี้ ยังมีการออกมาเปิดเผยความอื้อฉาวของตึกสตง. เกี่ยวกับรายการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ สุขภัณฑ์ ไฟระย้าหรือแชนเดอเลียอันมหึมา ที่มีราคาแพง หรูหราเกินความจำเป็น รวมทั้งการใช้สอยพื้นที่ทำห้องสันทนาการ ห้องรับรองที่เวอร์วังอลังการ ดังที่เพจ CSI LA นำภาพจากแบบก่อสร้าง 3 มิติ แสดงให้เห็นว่าในอาคารแห่งใหม่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีห้องคล้ายโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ พร้อมเก้าอี้เรียงแถวแบบโรงหนังรองรับผู้ชมกว่า 200 ที่นั่งเลยทีเดียว
คำถามที่ดังอื้ออึงตามมาก็คือ นี่คืองบประมาณเพื่อประชาชน หรือเพื่อความสบายของผู้มีอำนาจ?
และทำไมหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐ แต่กลับมี “ความฟุ่มเฟือย” ซ่อนอยู่ในงบของตัวเอง?”
ไม่นับรวมถึงการจับโป๊ะเรื่องเหตุผลที่ต้องสร้างอาคารสูงขนาด 30 ชั้นซึ่งสร้างใหญ่เกินไปเมื่อเทียบกับผู้ใช้งานในตึก เพราะ สตง.เป็นผู้ออกมาแถลงเองว่า จะมีการสร้าง “ตึกใหม่” มาทดแทน “ตึกเก่า” ที่พังถล่มไปโดยลดพื้นที่ลดลงและมีความสูงไม่เกิน 10 ชั้น ซึ่งก็แปลว่า จริงๆ แล้ว สตง.ไม่ต้องสร้างตึกใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้นก็ได้
นี่ต่างหากคือ “วาระแห่งชาติ” ของประเทศนี้ที่แท้จริง.
อ่านเพิ่มเติม : “ใต้ซากตึก สตง.ถล่ม ยิ่งขุดยิ่งเจอ ฉาวตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ?”