"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
บทความฉบับนี้ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วซึ่งวิเคราะห์การใช้เหตุผลของชนชั้นนำไทยในการสร้างความชอบธรรมแก่อำนาจ สำหรับสัปดาห์นี้จะมุ่งวิเคราะห์ องค์ประกอบหลักของฐานอำนาจชนชั้นนำไทย ประชาชนในสายตาของชนชั้นนำ และความเสี่ยงของสังคมไทย โดยอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องและการปรับตัวของโครงสร้างอำนาจดังกล่าว การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการทางการเมืองไทย
ฐานอำนาจของชนชั้นนำไทยประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลักที่เชื่อมโยงและเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ได้แก่ อำนาจทหาร ทุนผูกขาดและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และกลไกราชการและกฎหมาย โดยองค์ประกอบเหล่านี้ทำงานร่วมกันผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อธำรงไว้ซึ่งโครงสร้างอำนาจที่เอื้อประโยชน์ต่อชนชั้นนำ แม้ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและความท้าทายจากกระบวนการประชาธิปไตย
อำนาจทหาร: รากฐานสำคัญของโครงสร้างอำนาจชนชั้นนำ
อำนาจทหารถือเป็นหนึ่งในเสาหลักที่ค้ำจุนโครงสร้างอำนาจของชนชั้นนำไทยมาอย่างยาวนาน โดยมีบทบาทสำคัญในการปกป้องและรักษาโครงสร้างอำนาจเดิม บทบาทนี้สะท้อนผ่านประวัติศาสตร์การแทรกแซงทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2557 ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองและรัฐธรรมนูญอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ในปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลกึ่งพลเรือน แต่อิทธิพลของทหารยังคงดำรงอยู่ผ่านกลไกต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวุฒิสภา รายงานจากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ (CSIS) ในปี 2567 ได้ชี้ให้เห็นว่า วุฒิสภาเป็นเครื่องมือสำคัญในการยึดโยงอำนาจทหารไว้ในโครงสร้างทางการเมือง
หลักฐานเชิงประจักษ์จากการเลือกตั้งวุฒิสภาปี 2567 พบว่า พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีแนวโน้มอนุรักษนิยมและมีความสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจเดิม สามารถครองที่นั่งในวุฒิสภาได้มากกว่าร้อยละ 60 ซึ่งสะท้อนถึงความต่อเนื่องของอิทธิพลทหารในสถาบันนิติบัญญัติของไทย
การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า กองทัพไทยไม่ได้เป็นเพียงสถาบันทางความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทในการกำหนดทิศทางและพัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับสถาบันทางการเมืองอื่น ๆ ทำให้อำนาจทหารกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยธำรงรักษาโครงสร้างอำนาจของชนชั้นนำไทยไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ทุนผูกขาดและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่: ฐานการสนับสนุนทรัพยากร
ทุนขนาดใหญ่และกลุ่มธุรกิจผูกขาดในไทยมีบทบาทสำคัญในการหล่อเลี้ยงและค้ำจุนอำนาจของชนชั้นนำ โดยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ผ่านสัมปทานพลังงาน โครงการโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายที่เอื้อต่อกลุ่มทุน ที่เห็นได้ชัดคือการที่กลุ่มทุนใหญ่สามารถผูกขาดโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
เช่นโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท ยิ่งกว่านั้นกลุ่มทุนใหญ่ยังได้รับประโยชน์จากการประมูลสัมปทานด้านพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ และธุรกิจโทรคมนาคมและสื่อสาร ที่มีการผูกขาดโดยกลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่กลุ่มเท่านั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับอำนาจรัฐดังกล่าวเป็นลักษณะของ “ทุนนิยมพวกพ้อง” (crony capitalism) ที่ทุนขนาดใหญ่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจทางการเมือง และได้รับสิทธิพิเศษและประโยชน์ทางธุรกิจจากนโยบายและการตัดสินใจของรัฐ ในขณะเดียวกัน ทุนเหล่านี้ก็ให้การสนับสนุนทางการเงินและทรัพยากรแก่ชนชั้นนำทางการเมือง ทำให้เกิดการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันและช่วยรักษาโครงสร้างอำนาจเดิมไว้ ทำให้เกิด “การถ่ายโอนความมั่งคั่งจากสาธารณะสู่เอกชน” ผ่านนโยบายต่าง ๆ เช่น การให้สิทธิพิเศษทางภาษี การให้สัมปทาน และการกำหนดโครงสร้างราคาสินค้าและบริการที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุน
กลไกราชการและกฎหมาย: เครื่องมือในการควบคุมและกำหนดทิศทาง
องค์ประกอบสำคัญประการที่สามของฐานอำนาจชนชั้นนำไทยคือ กลไกราชการและกฎหมาย ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมและกำหนดทิศทางนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อชนชั้นนำ กลไกเหล่านี้ประกอบด้วยสถาบันต่าง ๆ ทั้งวุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการถ่วงดุลอำนาจและสกัดกั้นการเปลี่ยนแปลงที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ของชนชั้นนำ
วุฒิสภาเป็นสถาบันสำคัญที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจของชนชั้นนำ โดยมีอำนาจในการแต่งตั้งสมาชิกองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งมีอำนาจในการร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้งวุฒิสภาในปี 2567 แสดงให้เห็นว่า กลุ่มอนุรักษนิยมยังคงมีอิทธิพลสูงในสถาบันนี้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรณีที่วุฒิสภาปิดกั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากการเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2566 แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม ความต่อเนื่องของกลไกนี้ยังเห็นได้อย่างชัดเจนในกรณีที่วุฒิสภา “คว่ำ” การแต่งตั้งบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อสถานะชนชั้นนำ เช่น กรณี ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ที่ถูกปฏิเสธจากวุฒิสภาในการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างเหตุผลด้าน “ทัศนคติไม่เหมาะสม”
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นอีกหนึ่งสถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาโครงสร้างอำนาจเดิม ผ่านการตัดสินคดีที่มีผลกระทบต่อการเมืองไทย โดยเฉพาะการตัดสินที่ส่งผลต่อพรรคการเมืองฝ่ายค้าน กรณีล่าสุดที่เห็นได้ชัดคือ การตัดสินยุบพรรคก้าวไกลในเดือนสิงหาคม 2567 พร้อมทั้งการตัดสิทธิทางการเมืองของผู้นำพรรคเข้าร่วมการเมืองเป็นเวลา 10 ปี คำตัดสินดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการใช้อำนาจตุลาการเกินขอบเขต (judicial overreach) และเป็นการใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นนำ
นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทยยังมีลักษณะของการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและการแสดงความคิดเห็น เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและป้องกันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ
รายงานจาก Freedom House ในปี 2567 ได้ชี้ให้เห็นว่า การใช้กลไกทางกฎหมายดังกล่าวส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยเฉพาะการจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองและการแสดงออก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย
ประชาชนในสายตาชนชั้นนำ
ชนชั้นนำไทยมีทัศนคติต่อประชาชนที่สะท้อนความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบบนลงล่าง (top-down relationship) ซึ่งไม่ถือว่าประชาชนเป็น “พลเมืองที่มีสิทธิเสมอภาค” หากแต่เป็น “ผู้ใต้ปกครอง” หรือ “มวลชนที่ต้องการการชี้นำ” ซึ่งต้องอยู่ในระเบียบวินัยที่ชนชั้นนำกำหนด ทัศนคตินี้ฝังรากลึกผ่านวัฒนธรรมการเมืองแบบอนุรักษนิยม ระบบราชการรวมศูนย์ และวาทกรรมเรื่อง “ความสงบเรียบร้อย” และ “ความมั่นคงของชาติ” โดยเฉพาะในยุคหลังรัฐประหาร 2549 และ 2557 ที่ชนชั้นนำเน้นย้ำว่าประชาชนยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ
รูปแบบของทัศนคติของชนชั้นนำต่อประชาชน
1. ประชาชนในฐานะผู้ถูกชี้นำ (Passive Recipients) ชนชั้นนำมักมองประชาชนว่า “ขาดวุฒิภาวะทางการเมือง” จึงจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่มีความรู้ มีคุณธรรม และมีอำนาจในการกำหนดนโยบายแทน เช่น ที่ปรากฏในการร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่กำหนดบทบาทของวุฒิสภาในการคัดเลือกผู้นำ แทนที่จะปล่อยให้เป็นกระบวนการที่มาจากเสียงของประชาชน
2. ประชาชนในฐานะฐานเสียงที่ต้องควบคุม (Vote Banks) แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ชนชั้นนำกลับไม่เชื่อมั่นใน “อธิปไตยของประชาชน” อย่างแท้จริง จึงพยายามควบคุมพฤติกรรมของประชาชนผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การใช้วุฒิสภาในการถ่วงดุล ส.ส. หรือการแทรกแซงพรรคการเมืองผ่านองค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม
3. ประชาชนในฐานะภัยคุกคามหากไม่มีการควบคุม (Potential Threats) ขบวนการเคลื่อนไหวของเยาวชนและประชาชน เช่น การชุมนุมปี 2563 ถูกชนชั้นนำมองว่าเป็น “ภัยต่อความมั่นคง” มากกว่าการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย จึงเกิดการใช้กฎหมายอย่างมาตรา 112 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมและปราบปราม
กลยุทธ์ที่ชนชั้นนำใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจ
ชนชั้นนำไทยมีประวัติศาสตร์ของการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือในหลากหลายรูปแบบ กลยุทธ์หลักที่ใช้มาตั้งแต่อดีตในยุคสงครามเย็น และยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันคือ “การจัดตั้งมวลชนของรัฐ” กลยุทธ์นี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจ ปกป้องโครงสร้างรัฐ และตอบโต้ขบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน
การจัดตั้งกลุ่มมวลชนดำเนินภายใต้แนวคิด “ปกป้องสถาบันหลักของชาติ” เพื่อใช้เป็นกำแพงทางสังคมในการตอบโต้การเรียกร้องประชาธิปไตยจากกลุ่มนักศึกษาและประชาชน เช่น กลุ่ม ศูนย์กลางประสานงานนักศึกษาอาชีวะเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือกลุ่มไทยภักดี ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวในช่วงปี 2563–2565 เพื่อต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนนักเรียนนักศึกษาโดยมีภาพของการร่วมมือกับหน่วยงานรัฐหลายครั้ง
อีกกลยุทธ์ที่ใช้มานานและยังใช้อยู่ในปัจจุบันคือ การใช้ประชาชนเป็น “เครื่องมือทางพิธีกรรมประชาธิปไตย” เช่น การจัดเลือกตั้งที่ชนชั้นนำสามารถควบคุมผลลัพธ์ได้ผ่านการออกแบบระบบเลือกตั้ง การกำหนดคุณสมบัติของนักการเมือง และการแทรกแซงผ่านองค์กรอิสระ เพื่อให้ “อธิปไตยของประชาชน” กลายเป็นเพียงพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ นอกจากนั้นในช่วงก่อนการมีรัฐธรรมนูญ 2560 ชนชั้นนำยังยืมมือประชาชนในการสร้างความชอบธรรมทางรัฐธรรมนูญ เช่น การจัดประชาพิจารณ์ในการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งแม้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน แต่ก็ควบคุมการสื่อสารและการรณรงค์ของฝ่ายไม่เห็นด้วยอย่างเข้มงวด จึงถือเป็น “การมีส่วนร่วมแบบจอมปลอม” ที่สร้างภาพให้รัฐดูโปร่งใสแต่ในความจริงคือการตัดสินใจจากบนลงล่าง
สำหรับกลยุทธ์ร่วมสมัยที่น่าสนใจของชนชั้นนำในการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ คือการจัดการพื้นที่ทางการเมืองผ่านระบบตัวแทนและการตั้งเครือข่าย ตัวอย่างคือการจัดตั้งเครือข่ายบ้านใหญ่ และการคัดเลือก ส.ว. ปี 2567 ที่มีรายงานการจัดตั้งเครือข่ายผู้สมัครเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับกลุ่มที่ชนชั้นนำหนุนหลัง
ในยุคปัจจุบัน ชนชั้นนำไทยมี การใช้โซเชียลมีเดียสร้างมวลชนเสมือน เพื่อ “สร้างความเห็นสาธารณะเทียม” (Astroturfing) *โดยมีการใช้บัญชีปลอม บัญชีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) เพื่อโจมตีกลุ่มต่อต้านรัฐบาล สร้างกระแสหนุนกลุ่มอนุรักษนิยม หรือขยายวาทกรรมความมั่นคงและจงรักภักดี
มีหลักฐานจากคดีของ Facebook และ Twitter ที่เคยเปิดเผยเครือข่ายบัญชีที่เชื่อมโยงกับกองทัพไทยในการปฏิบัติการ IO ในปี 2563 และ 2564 ซึ่งถูกระบุว่ามีเป้าหมายโจมตีกลุ่มนักศึกษาและนักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตย และการดำเนินดังกล่าวต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มิหนำซ้ำยังมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบขยายเป้าหมายที่หลากหมายมากขึ้นครอบคลุมไปถึงนักวิชาการ องค์การระหว่างประเทศ และนักการเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ดังที่นักการเมืองฝ่ายค้านได้นำหลักฐานมาอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568
ในภาพรวมจะเห็นได้ว่า ชนชั้นนำไทยมีทัศนคติต่อประชาชนในฐานะ “ผู้ต้องถูกปกครอง” มากกว่าจะเป็น “พลเมืองผู้มีสิทธิ” ทำให้ประชาชนถูกใช้เป็นทั้งฐานเสียงในการเลือกตั้ง เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรม และในขณะเดียวกันก็ถูกปิดกั้นไม่ให้มีบทบาทในการกำหนดอนาคตทางการเมืองของตนเองอย่างแท้จริง รูปแบบการเมืองที่ชนชั้นนำสถาปนาขึ้นจึงเป็น “ประชาธิปไตยแบบบนลงล่าง” ที่กดทับการเติบโตของพลเมืองอย่างต่อเนื่อง
ความเสี่ยงของสังคม
การเมืองแบบชนชั้นนำทำให้ระบอบประชาธิปไตยถูกทำให้กลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่จำกัดอำนาจของประชาชนให้เหลืออยู่แค่ "สิทธิในการเลือกตั้ง" โดยปราศจากอำนาจที่แท้จริงในการกำหนดอนาคตของตนเอง การเลือกตั้งแม้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในบางช่วงเวลา แต่กลับไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ประชาชนสามารถเปลี่ยนผ่านอำนาจนำได้อย่างแท้จริง กลไกเชิงโครงสร้าง เช่น รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดยคณะรัฐประหาร วุฒิสภาที่มาจากการฮั้วโดยผ่านการจัดตั้งของพรรคการเมืองสีน้ำเงิน และองค์กรอิสระที่ขาดความเป็นอิสระ ล้วนเป็นอุปกรณ์ในการควบคุมประชาธิปไตยภายใต้กรอบของชนชั้นนำ
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ การเมืองแบบชนชั้นนำได้สร้างบรรยากาศแห่งความเหลื่อมล้ำในเชิงอำนาจอย่างลึกซึ้ง กลุ่มคนชายขอบ ชนชั้นแรงงาน หรือแม้กระทั่งเยาวชน มักถูกผลักให้อยู่นอกวงจรของการตัดสินใจเชิงนโยบาย เมื่อมีการรวมตัวเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานหรือเสนอทางเลือกเชิงอุดมการณ์ใหม่ ๆ พวกเขากลับถูกกล่าวหาว่าเป็น “ภัยต่อความมั่นคง” หรือ “เป็นเครื่องมือของต่างชาติ” การตีตราทางวาทกรรมเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังหรือกฎหมายจำกัดสิทธิ หากยังทำให้ความคิดเชิงวิพากษ์ถูกทำให้เป็นเรื่องต้องห้ามในทางวัฒนธรรม
ในขณะเดียวกัน การผูกขาดพื้นที่ของสื่อ การศึกษา และศาสนาโดยชนชั้นนำทางวัฒนธรรม ได้ตอกย้ำวาทกรรมของ “ความดี” “ความจงรักภักดี” และ “ความสงบเรียบร้อย” จนกลายเป็นเครื่องมือในการจำกัดเสรีภาพทางความคิดและอุดมการณ์ ทำให้การแสวงหาทางเลือกใหม่ทางการเมืองถูกตีกรอบว่าเป็นการทำลายชาติ มากกว่าจะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประชาธิปไตย
ภายใต้บริบทเช่นนี้ ความเสี่ยงที่สังคมไทยกำลังเผชิญไม่ใช่เพียงความล้มเหลวในการสร้างประชาธิปไตยเท่านั้น หากแต่คือการสั่งสมของ ความไม่พอใจเชิงโครงสร้าง ที่พร้อมจะปะทุออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เมื่อประชาชนจำนวนมากเริ่มตระหนักว่าตนเองไม่มีพื้นที่ให้เปล่งเสียงหรือกำหนดอนาคต ความไม่ไว้วางใจต่อรัฐและสถาบันต่าง ๆ จะค่อย ๆ กัดเซาะความชอบธรรมของระเบียบอำนาจเดิม
ขณะเดียวกัน ความแตกแยกทางอุดมการณ์ระหว่างคนรุ่นใหม่กับผู้ยึดมั่นในระเบียบเก่า กำลังนำพาสังคมไทยเข้าสู่ภาวะของสงครามวัฒนธรรม ที่ไม่เพียงแต่ขัดขวางการสร้างฉันทามติ แต่ยังทำให้การอยู่ร่วมกันในระบอบประชาธิปไตยเป็นไปอย่างยากลำบาก
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)