เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องกลับไปแถวๆ ยุโรปตะวันตกกันอีกนั่นแหล่ะทั่น!!! อันเนื่องมาจากบรรดาผู้นำชาติยุโรป หรือพวก “อียู-อีย้วย” ทั้งหลาย เขาทำท่าว่าอยากจะเล่นบทเป็น “อียื้อ” หรือพยายามที่จะยืดเวลา “สงครามยูเครน-รัสเซีย” ให้ยืดเยื้อคาราคาซังอีกต่อไป แม้ว่าจะถูกคุณพ่ออเมริกายุค “ทรัมป์บ้า” ตัดหางปล่อยวัด หรือได้แสดงท่าทีชัดแจ้งอย่างไม่ต้องเสียเวลาตั้งคำถามอีกต่อไป ว่าอยากจะให้ความขัดแย้งเหล่านี้จบๆ ลงไปซะที ไม่ว่าโดยการระงับเงินช่วยเหลือยูเครน หรือกระทั่งอาจคิดถอนตัวจากองค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
แต่แทนที่บรรดา “อียู-อีย้วย” หรือผู้ที่เคยดำรงตนเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับอเมริกามาโดยตลอด จะยอมรับบทเป็น “อีเย็น” ต่อไปโดยไม่คิดจะปริปาก กลับเป็นว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศเสาหลักยุโรป อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ต่างเพียรพยายามหันมาเล่นบทเป็น “อียื้อ” อย่างออกหน้า ออกตา อังกฤษนั้น...นอกจากนายกรัฐมนตรี “Keir Starmer” จะเปิดบ้านต้อนรับ “ตัวตลก-ตัวแทน” ผู้นำยูเครนอย่าง “นายVolodymyr Zelensky” ชนิดแทบไม่ต่างอะไรไปจากวีรบุรุษ ทั้งๆ ที่เพิ่งถูกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอเมริกัน ไล่ออกจาก “ทำเนียบขาว” มาหมาดๆ แถมยังจับมือถือแขนเชื้อเชิญให้มีโอกาสเข้าเฝ้ากษัตริย์อังกฤษอีกด้วยต่างหาก...
ส่วนฝรั่งเศส...ผู้นำอย่างประธานาธิบดี “Emmanuel Macron” ถึงกับแสดงอากัปกิริยาแทบไม่ต่างไปจากอดีตจอมจักรพรรดิ “นโปเลียน” หรืออดีตเผด็จการนาซี อย่าง “ฮิตเลอร์” เอาเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ...ถึงยังไม่คิดจะบุกรัสเซียแบบอดีตผู้นำทั้งสอง แต่การออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัดว่ารัสเซียคือ “ภัยคุกคาม” สำหรับชาติยุโรปทั้งมวล แถมยังคิดขยายการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสไปยังบรรดาชาติยุโรปในแต่ละราย ทั้งที่หัวรบนิวเคลียร์ฝรั่งเศสมีอยู่แค่ประมาณ 300-400 หัวรบเท่านั้นเอง ขณะฝ่ายรัสเซียน่าจะมีอยู่น้อยไปกว่า 4,000-5,000 หัวรบ แถมยังเป็นหัวรบประเภทส่ายไป-ส่ายมา เร็วกว่าเสียงไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า อย่าง “Oreshnik” ที่ยังไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ สามารถสกัดกั้นกันได้ง่ายๆ...
ไม่ต่างไปจากเยอรมนี...ที่บรรดาชาวไส้กรอกทั้งหลายดันไปเลือกให้ “นายFriedrich Merz” ให้มีโอกาสเป็นผู้นำรายใหม่ ทั้งที่เคยเป็น “ทาสรับใช้” บริษัทอุตสาหกรรมอาวุธระดับโลกมาตั้งแต่แรก การคิดจะยื้อสงครามยูเครนให้ยืดยาวต่อไป ถึงขั้นคิดแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เยอรมนีมีโอกาสสร้างหนี้ได้เยอะๆ หรือเพื่อนำเงินมาใช้ “ซื้ออาวุธ” เอาไว้สู้กับรัสเซียให้ฉิบหายกันไปข้าง ทั้งที่ระบบอุตสาหกรรมเยอรมนีแทบล่มสลายไปแล้วทั่วทั้งระบบ เศรษฐกิจประเทศตกอยู่ในภาวะ “ถดถอย” มาแล้วถึง 3 ปีซ้อน ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...เลยทำให้คงต้องลองไปสำรวจตรวจสอบ ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว...โอกาสที่บรรดาพวก “อียู-อีย้วย” ทั้งหลายจะสามารถเล่นบทเป็น “อียื้อ” หรือจะต้องยอมรับสภาพเป็น “อีเย็น” กันต่อไป อะไรจะมีความเป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ มาก-น้อยไปกว่ากัน...
โดยอันดับแรก...ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ไม่ว่าใจใหญ่-ใจถึง-ใจสู้สักปานไหน แต่ยุโรปทั้งยุโรปต่างกำลังตกอยู่ในอาการ “บ่อจี๊-ไม่มีกะตังค์” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง อังกฤษที่อดีตรัฐบาลแห่งพรรคอนุรักษนิยมทิ้งเอาไว้ให้กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่าง “นายKeir Starmer” นั้น อยู่ในสภาพที่เจ้าตัวถึงกับครวญครางขณะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งว่า อดีตจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน อาจต้องย้อนกลับไปเป็น “ประเทศกำลังพัฒนา” เอาเลยก็ไม่แน่!!! ส่วนฝรั่งเศสถึงขั้นคิดเบี้ยวหนี้ เบี้ยวเงินบำเหน็จ-บำนาญ จนบรรดาชาวปาริเซียงต้องออกมาประท้วง แห่กันลงถนน ยืดเยื้อยาวนานเป็นปีๆ ไม่ต่างไปจากเยอรมนีที่เศรษฐกิจถดถอยถึง 3 ปีซ้อน ดังนั้น...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ตามที่สำนักข่าว “Euractiv” เขาได้อ้างแหล่งระดับสูงในคณะกรรมาธิการยุโรป ว่าอียูทั้งอียูไม่เหลือเงินสดติดมือ พอที่จะรับบทเป็น “อียื้อ” ในสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ได้เลย...
แม้แต่การคิดเพิ่มงบประมาณทางทหารของบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลายขึ้นเป็น 2 เท่าจากปีที่แล้ว หรือที่เรียกๆ กันว่า “ReArm Europe Plan” ที่ถูกนำเสนอโดย “คุณป้ามหาภัย” “นางUrsula von der Leyen” ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป หรือประมาณ 840,000 ล้านยูโร เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่เอาไป-เอามาแล้ว...ก็แทบไม่รู้ว่าจะไปหาเม็ดเงิน หากะตังค์ มารองรับความกระเหี้ยนกระหือรือเช่นนี้ได้ที่ไหน เลยต้องเสนอแผนสอง นั่นก็คือ...เตรียมที่จะ “ระดมเงินกู้” จากตลาดทุนประมาณ 150,000 ล้านยูโร หรือ 158,000 ล้านดอลลาร์ เอาไว้ให้บรรดาประเทศสมาชิกทั้งหลายได้กู้ เพื่อเอาเงินมาใช้ซื้ออาวุธปกป้องตัวเอง หรือจะซื้อไปให้ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนเอาไว้ใช้ ก็แล้วแต่ทางใครก็ทางมัน ไม่ก็ต้องหันมา “เพิ่มภาษี” เอากับประชาชนของตัวเอง หรือหันไปปรับงบประมาณส่วนอื่น มาใช้กับงบด้านกลาโหมกันแทนที่...
ส่วนอันดับที่สอง...ก็คือจะไปหาซื้ออาวุธเอาจากที่ไหน? เพราะบรรดาอาวุธต่างๆ ที่เคยส่งไปให้ยูเครนมาตลอด 3 ปีส่งผลให้บรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรปแทบไม่เหลืออาวุธติดประเทศ ตกอยู่ในสภาพแทบไม่อาจป้องกันตัวได้เลย แม้คิดจะตั้งโรงงานผลิตอาวุธขึ้นมาเองก็แล้วแต่ แต่โดย “กระบวนการผลิต” ของสิ่งที่ว่านี้ ใช่ว่าจะ “เปิดปุ๊บ-ติดปั๊บ” ซะเมื่อไหร่ คือต้องใช้เวลาตระเตรียมกันเป็นปีๆ ขณะฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายที่ถูกถือเป็น “ภัยคุกคาม” อย่างรัสเซียกลับเต็มไปด้วยความลื่นไหล หรือสามารถผลิตอาวุธได้มากกว่ายุโรปทั้งยุโรปถึง 10 เท่าเอาเลยถึงขั้นนั้น แม้แต่ “บุคลากร” หรือผู้ใช้อาวุธ ที่บรรดาประเทศยุโรปไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส ไปจนถึงแคนาดา เห็นดี-เห็นงามกับการคิดจะส่งทวยทหารในนาม “กองกำลังรักษาสันติภาพ” เข้าไปในยูเครน ไม่ต่ำกว่า 30,000 นายเป็นอย่างน้อย แต่ก็อย่างที่โฆษกปากคมแห่งกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย คุณ “Maria Zakharova” เธออดไม่ได้ต้องออกมาตั้งคำถามกับผู้นำแคนาดาว่า...แล้วจะเหลือทหารเอาไว้ปกป้องประเทศแคนาดาจากการถูกผนวกให้กลายเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกาโดย “ทรัมป์บ้า” กันได้มาก-น้อยขนาดไหน???
หรืออย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์เงินเดือนในอังกฤษ “Dr.Lisa Mckenzie” เธอได้ออกมาป่าวประกาศเอาไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด เรื่อง “Britain’s working class will never fight Starmer’s war for Ukraine” หรือบรรดามนุษย์เงินเดือนในอังกฤษส่วนใหญ่ คงไม่คิดจะไปรบในสงครามยูเครนให้กับนายกรัฐมนตรีอังกฤษแต่อย่างใด โดยได้อ้างถึงผลสำรวจความคิดเห็นของ “The Times” ที่สรุปเอาไว้ชัดเจน ว่า 89 เปอร์เซ็นต์ของพวกผู้ดีอังกฤษโดยเฉพาะบรรดาคนหนุ่มๆ ทั้งหลาย ต่างไม่คิดไปสู้กับใครเพื่อประเทศตัวเองอีกต่อไป มีแค่ 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ยังอยากฆ่าใครต่อใครเพื่อประเทศอังกฤษ...
อันดับที่สาม...ที่สำคัญเอามากๆ ก็คือว่า ด้วยการดำเนินนโยบายที่ “สวนทาง” กับความปรารถนา ความต้องการของผู้คนส่วนใหญ่ภายในประเทศตัวเอง ของบรรดารัฐบาล “เสรีนิยมใหม่” หรือ “Neo-Liberal” ทั้งหลายในยุโรป ไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือเยอรมนีก็ตาม ได้ส่งผลให้เกิดการเติบโตของบรรดาพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม ไม่ว่าพวกขวาจัด หรือซ้ายจัดทั้งหลาย จนกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อความกระเหี้ยนกระหือรือ หรือความกระหายสงครามของรัฐบาล ชนิดยากที่จะยื้อ ยากที่จะดันทุรังกันต่อไปได้ง่ายๆ ไม่ว่าในเยอรมนีที่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังหา “จุดลงตัว” กันไม่เจอ ขณะที่พรรคฝ่ายตรงข้ามอย่าง “AfD” โตพรวดๆ พราดๆ จนอาจสร้างความล้มคว่ำคะมำหงายให้กับรัฐบาลผสมขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
เช่นเดียวกับฝรั่งเศส...ที่เพราะความอยากจะเป็น “นโปเลียน โบนาปาร์ต” ของ “มาครง คนหนุ่ม” หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ เลยทำให้ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภาแบบกระจุยกระจาย ส่งผลให้ผู้ที่ตัวเองแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี มีอันต้องหงายท้องไปก่อนกำหนดการ ขณะที่พรรคฝ่ายตรงกันข้ามอย่างพวกแนวร่วมฝ่ายขวาของ “นางMarine Le Pen” ไม่เพียงแต่สรุปไว้ก่อนหน้านี้ว่า “สงครามยูเครน” ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ของประเทศฝรั่งเศส ยังถึงกับประกาศเอาไว้ด้วยว่า “รัสเซีย...ไม่ได้เป็นภัยคุกคามใดๆ ต่อประเทศอียู” จนทำให้คะแนนนิยมของกลุ่มการเมืองกลุ่มนี้ ยิ่งดีวัน-ดีคืน โตวัน-โตคืน ยิ่งเข้าไปทุกที...
สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าอยากจะเป็น “อียื้อ” ไม่คิดจะเป็น “อีเย็น” หรือเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับคุณพ่ออเมริกาอีกต่อไป แต่ด้วยเงื่อนไขและเหตุผลหลักๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว โอกาสที่ยุโรปทั้งยุโรปจะยืนหยัด เคียงข้าง ผู้นำยูเครนอย่าง “นายVolodymyr Zelensky” หรือหวังจะลาก “สงครามยูเครน” ให้ยืดเยื้อ คาราคาซังต่อไปเรื่อยๆ เพื่อช่วยบั่นทอน ทำลาย ศักยภาพของผู้ที่ตัวเองหวาดกลัว อย่างประเทศรัสเซีย อันเนื่องมาจากการ “มโน” ไปตามเรื่อง-ตามราว หรือเพราะยังไม่หายขาดจากโรค “Russophobia” ก็ตามที สุดท้ายแล้ว...คงต้องขออนุญาตหยิบยืมสำนวนของคุณพี่ “ยี่ห้อยร้อยยี่สิบ” หรือคุณพี่ “เนวิน” เจ้าของสโมสรฟุตบอลปราสาทสายฟ้าของบ้านเรา มาใช้เป็นข้อสรุปนั่นแหละว่า... “มัน...จบ...แล้วครับนาย”!!!