ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ในบทความก่อนหน้านี้ได้นำเสนอความเป็นมาของตราพระราชลัญจกรและการคลี่คลาย และประเภทของตราพระราชลัญจกร https://mgronline.com/daily/detail/9680000018855 และการสร้างตราพระราชลัญจกรของไทย https://mgronline.com/daily/detail/9680000019297
ในบทความนี้จะได้นำเสนอ การใช้งานตราพระราชลัญจกรของไทย
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้ทรงอธิบายความรู้ประทานพระยาอนุมานราชธนเอาไว้ว่า “ประเพณีการพระราชทานตรา ถ้าเป็นพระราชทานประจำตัว เมื่อไม่มีตัวแล้วก็ส่งคืนตรา เช่น ตราพระรามทรงรถหมายเลข 67 นั้นก็เคยพระราชทานไปประจำตำแหน่งกระทรวงโยธาธิการ เมื่อเลิกกระทรวงนั้นแล้วก็ต้องส่งคืน ใครจะเอาไปกดไว้หรือใช้ต่อไปหาได้ไม่ มีความผิด ทั้งนี้ก็ดุจเครื่องยศอันหนึ่งเหมือนกัน”
การพระราชทานตราพระราชลัญจกรให้ไปใช้งาน จึงเป็นการพระราชทานอำนาจหรือพระราชทานเกียรติยศประการหนึ่ง เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานตราพระราชลัญจกรมังกรคาบแก้วแก่โบราณคดีสโมสรไว้ใช้งาน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานตราพระราชลัญจกรพระคเนศร์นั่งแท่นให้กับวรรณคดีสโมสรเพื่อดำเนินกิจการด้านการส่งเสริมวรรณคดี เป็นต้น
กฎเกณฑ์ในการใช้งานตราพระราชลัญจกรซึ่งมีทั้งองค์เก่าและองค์ที่สร้างใหม่เป็นจำนวนมากได้ถูกกำหนดขึ้นให้เป็นระบบเป็นครั้งแรกโดยพระราชบัญญัติพระราชลัญจกร รัตนโกสินทรศก 122 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยกตัวอย่างเช่น
มาตรา 4 พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการองค์ใหญ่ ประจำชาด ประทับสัญญาบัตร์ทหาร แลสัญญาบัตร์ตำแหน่ง แลหนังสือพระราชทานที่ องค์น้อยสำหรับประทับพระราชทานพระบรมราชานุญาตเครื่องสรรพาวุธ
มาตรา 5 พระราชลัญจกรสยามโลกัคราช สำหรับประทับวิสุงคามสีมา ในหว่างกลางองค์เดียว
มาตรา 9 พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน สำหรับประทับกำกับพระบรมราชนามาภิธัยทั่วไป
มาตรา 11 พระราชลัญจกรสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งสร้างขึ้นประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น ให้คงใช้อยู่ตามเดิม
และต่อมามีการออกพระราชบัญญัติพระราชลัญจกร 2 รัตนโกสินทรศก 130 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กำหนดให้ใช้ตราพระครุฑพ่าห์เป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินเป็นหลัก ทำให้ตราพระราชลัญจกรอื่น ๆ ค่อย เลิกใช้ไปในที่สุด ดังที่ได้บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 1 พระราชลัญจกรพระครุฑพาหองค์ใหม่ประจำแผ่นดินสำหรับประทับกำกับพระบรมนามาภิธัย ในหนังสือสำคัญทั่วไป
แต่โบราณเอกสารสำคัญขององค์พระมหากษัตริย์ ไม่มีการลงพระปรมาภิไธย แต่ใช้การประทับตรา (Seal) ไว้เป็นสำคัญ แม้กระทั่งพระราชสาส์นเจริญพระราชไมตรีก็มิได้มีการลงพระปรมาภิไธยแต่ประการใด แต่มีการประทับ ตราพระราชลัญจกรมหาโลโต เป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินและ ตราพระราชลัญจกรมังกรหก เป็นตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล คู่กันไว้ในพระราชสาส์นถวายสมเด็จพระจักรพรรดิจีนในการถวายเครื่องราชบรรณการหรือการจิ้มก้อง สำหรับกฎหมายบทพระอัยการต่าง ๆ ก็มิได้มีการลงพระปรมาภิไธย เพราะแต่โบราณคนไทยยังมิรู้จักการลงลายมือชื่อ (Sign หรือ Signature) ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงรวบรวมกฎหมายตราสามดวงขึ้นมาให้เป็นระเบียบระบบก็ประทับตราคชสีห์ (สมุหพระกลาโหม) ตราราชสีห์ (สมุหนายก-มหาดไทย) และตราบัวแก้ว (โกษาธิบดี-กรมท่า-การต่างประเทศ)
กล่าวได้ว่าเอกสารสำคัญในสมัยโบราณของไทย มิได้มีการลงพระปรมาภิไธย แต่ใช้การประทับพระราชลัญจกรเพียงอย่างเดียว หากเป็นเอกสารสำคัญมาก ก็จะมีการประทับตราพระราชลัญจกรหลายองค์ ทั้งตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินได้แก่ ตราพระราชลัญจกรมหาโองการ ตราพระราชลัญจกรไอยราพต และตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน และประทับตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลคือ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ ที่ล้อมด้วยอักษรพระปรมาภิไธยด้วย
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงใช้ลายพระนามคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นภาษาละตินว่า SPPM. Mongkut Rex Siamensium โดยที่ SPPM ย่อมาจาก Somdet Phra. Poramenthra Maha Mongkut ส่วนคำภาษาละตินว่า Rex Siamensium แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า King of the Siam และภาษาไทยลงพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกทื่ทรงลงพระปรมาภิไธยและมีการประทับตราพระราชลัญจกรกำกับพระปรมาภิไธย และถือเป็นราชประเพณีปฏิบัติเช่นนี้มาจนกระทั่งปัจจุบัน ดังตัวอย่างด้านล่างนี้




ในปัจจุบันมีตราพระราชลัญจกรเจ็ดองค์ที่ยังคงใช้งานอยู่ดังนี้
หนึ่ง ตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ใช้ในราชการส่วนพระองค์ เช่น พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นตรารูปวชิราวุธ (ตราส้อม) มีตราจุลมงกุฎหรือตราพระเกี้ยวประดิษฐานไว้ด้านบน
สอง ตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ได้แก่ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาล ใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในราชการแผ่นดินทั้งปวง และกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกดวงที่พระราชทาน
ตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินที่ใช้ในปัจจุบันนั้นมีอยู่ห้าองค์
สาม ตราพระราชลัญจกรมหาโองการ สี่ ตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน ห้า ตราพระราชลัญจกรไอยราพต (องค์ใหญ่) หก ตราพระราชลัญจกรไอยราพต (องค์กลาง)
และ เจ็ด ตราพระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ ใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยใบสัญญาบัตร ยศทหาร ตำรวจ เหนือตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์

นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการผูกลายพระราชลัญจกรเพื่อสร้างตราอื่น ๆ หรือใช้ในการก่อสร้าง การประดับตกแต่ง เช่น


(ซ้าย) ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก พ.ศ. 2531 เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานยิ่งกว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชของพระองค์ที่ 42 ปี 23 วัน มีการ ผูกลายด้วยตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร คือ ตราที่มีพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎและเลขเก้าไทย รองด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์องค์อื่น ๆ คือพระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกรชัยพฤกษ์ วาลวิชนี และฉลองพระบาทเชิงงอน ประคองข้างด้วยฉัตรขาวเจ็ดชั้นสององค์ (สัปตปฏลเศวตฉัตร)
(ขวา) พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว บนพัดรองพัดรองพระราชทานพระราชาคณะจีนนิกายในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ประดิษฐานพระราชลัญจกรวชิราลงกรณ์ มีตราวชิราวุธ และ อลงกรณ์หรือจุลมงกุฎ หรือพระเกี้ยวน้อย อันสนธิกันได้เป็นตราวชิราลงกรณ์ บนพานแว่นฟ้า มีแพรแถบสีชมพูพาดจุลมงกุฎและเศวตฉัตร บนแพรแถบสลักอักษรงานพระราชพิธี 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พญานาคสององค์รองรับพานแว่นฟ้า เพราะพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระบรมราชสมภพในปีมะโรง พญานาคกระหวัดประคองเศวตฉัตร พื้นพัดรองสีน้ำเงินเข้ม เปล่งรัศมีแฉก นมพัดขลิบทอง คอพัด เป็นทรงรูปดอกบัว สลักเลขไทย 72 สีทอง บนพื้นสีม่วง
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการพระราชทานตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์สำหรับบริษัทเอกชนที่เราเรียกว่าตราตั้งหรือตราตั้งห้าง ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายครุฑพ่าห์ พ.ศ. 2534
มาตรา 4 ตราตั้ง หมายความว่าหนังสือสำคัญที่นายกรัฐมนตรีออกให้แก่ห้างร้านหรือบริษัทเพื่อแสดงว่าเป็นห้างร้านหรือบริษัทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามที่ได้รับพระบรมราชานุญาตตามมาตรา 10 เครื่องหมายตราตั้ง หมายความว่าเครื่องหมายครุฑพ่าห์ที่ห้างร้านหรือบริษัทมีสิทธิที่จะใช้เมื่อได้รับตราตั้งแล้ว
มาตรา 6 การทำหรือใช้เครื่องหมายครุฑพ่าห์ในราชการในพระองค์พระมหากษัตริย์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
มาตรา 13 ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะทำหรือใช้เครื่องหมายครุฑพ่าห์ ตราตั้ง หรือเครื่องหมายตราตั้ง กระทำการเช่นนั้นเพื่อให้คนอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บรรณสารแนะนำ
หนึ่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ & พระยาอนุมานราชธน. (2506). บันทึกเรื่องความรู้ต่าง ๆ เล่ม 3. กรุงเทพ: ไทยวัฒนาพานิช.
จดหมายโต้ตอบระหว่างปราชญ์ของไทย อธิบดีกรมศิลปากรคือพระยาอนุมานราชธน คัดลอกลายตราพระราชลัญจกรทั้งหมดที่ค้นพบในเวลานั้น ขึ้นทูลเกล้าถวายสมเด็จครูให้ทอดพระเนตร ประทานความรู้โต้ตอบกัน จนกระทั่งพระยาอนุมานราชธนเขียนต้นฉบับบันทึกความรู้เรื่องตราพระราชลัญจกรและตราประจำตัวประจำตำแหน่งให้สมเด็จครูทรงแก้ไข แต่สมเด็จครูสิ้นพระชนม์เสียก่อน ท่านอาจารย์เจ้าคุณไปขอให้พระทายาทรื้อค้นต้นฉบับดังกล่าวที่สมเด็จครูทรงแก้ไขด้วยลายพระหัตถ์ไว้ภายหลังสิ้นพระชนม์
สอง ศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน. (2493). เรื่องพระราชลัญจกรและตราประจำตัวประจำตำแหน่ง. กรุงเทพ: กรมศิลปากร.
ต้นฉบับที่กล่าวถึงในเล่มหนึ่ง ที่พระยาอนุมานราชธนบันทึกความรู้ที่ได้รับประทานมาจากสมเด็จครู และต้นฉบับได้รับการทรงแก้ไขปรับปรุงโดยสมเด็จครู พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดฯ ให้พิมพ์หนังสือดังกล่าวในงานออกพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จครู ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง
สาม กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2494). ประวัติกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและความรู้เกี่ยวด้วยพระราชลัญจกรกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์พร้อมด้วยลำดับเกียรติและวิธีประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์. กรุงเทพ: บำรุงนุกูลกิจ.
หนังสือที่เขียนโดยหน่วยราชการที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบดูแลและประทับตราพระราชลัญจกรโดยตรง มีรายละเอียดและภาพประกอบดีมาก
สี่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนคริทร์ (บรรณาธิการ). (2535). ตราแผ่นดิน ตราราชสกุล และสกุล อักษรพระนาม และนามย่อ. กรุงเทพ: วงศ์จร.
สมุดภาพที่สะสมตราต่างๆ โดยเจ้าจอมเลียมในรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าจอมจากราชินิกุลบุนนาค เป็นหนังสือภาพทำมือด้วยฝีมืออันประณีตละเอียดอ่อน ถวายสมเด็จพระศรีสวรินทริราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ต่อมาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนคริทร์ ทรงค้นพบ หนังสือดังกล่าว ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม จึงทรงรับหน้าที่เป็นองค์บรรณาธิการ ทรงค้นคว้าและอธิบายเขียนอธิบายเพิ่ม
ห้า ปรีดี พิศภูมิวิถี & หม่อมหลวงภัคภรจันท์ เกษมศรี. (2559). สมุดตราสะสมเจ้าจอมเลียม ในรัชกาลที่ 5 กรุงเทพ: สยาม เรเนซองส์.
เจ้าจอมมารดาเลียมในรัชกาลที่ห้า ได้ทำหนังสือภาพทำมือเพื่อสะสมตราเอาไว้อีกหนึ่งเล่ม อาจารย์ภาวาส บุนนาค ทายาทของราชินิกุลบุนนาค อดีตรองราชเลขาธิการ ได้เก็บรักษาไว้ ต่อมาคุณหญิงเสริมศรี บุนนาค ภรรยาของอาจารย์ภาวาส ได้นำสมุดภาพดังกล่าวมาให้ ดร. ปรีดี พิศภูมิวิถี และ หม่อมหลวงภัคภรจันท์ เกษมศรี เรียบเรียงเขียนคำอธิบาย
หก สมบัติ พลายน้อย. (2528). ความรู้เรื่องตราต่าง ๆ พระราชลัญจกร. กรุงเทพ: รวมสาส์น.
อาจารย์สมบัติ พลายน้อยได้ค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมต่อจากเล่มหนึ่งและเล่มสอง (สมเด็จครูและอาจารย์เจ้าคุณ) เนื้อหาส่วนที่เพิ่มเติมละเอียดได้แก่ พระราชลัญจกรในกรมพระราชวังบวรหรือวังหน้า ซึ่งพระยาอนุมานราชธนยังค้นคว้าไปได้ไม่สุดทางและสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์สิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน และเรื่องพระราชลัญจกรโพธิสัตว์สวนดุสิต อันเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
เจ็ด สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538). พระราชลัญจกร. กรุงเทพ: บมจ. อัมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง.
หน่วยราชการที่มีหน้าที่เก็บรักษาและประทับตราพระราชลัญจกรโดยตรง อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการอัพเดทเล่มสามให้เป็นปัจจุบัน (เพราะเป็นหน่วยงานเดียวกันแต่เปลี่ยนชื่อ) การเรียบเรียงเป็นระบบ มีภาพประกอบจำนวนมากโดยเฉพาะภาพถ่ายองค์พระราชลัญจกรและหน้าตราพระราชลัญจกร
สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ในบทความก่อนหน้านี้ได้นำเสนอความเป็นมาของตราพระราชลัญจกรและการคลี่คลาย และประเภทของตราพระราชลัญจกร https://mgronline.com/daily/detail/9680000018855 และการสร้างตราพระราชลัญจกรของไทย https://mgronline.com/daily/detail/9680000019297
ในบทความนี้จะได้นำเสนอ การใช้งานตราพระราชลัญจกรของไทย
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้ทรงอธิบายความรู้ประทานพระยาอนุมานราชธนเอาไว้ว่า “ประเพณีการพระราชทานตรา ถ้าเป็นพระราชทานประจำตัว เมื่อไม่มีตัวแล้วก็ส่งคืนตรา เช่น ตราพระรามทรงรถหมายเลข 67 นั้นก็เคยพระราชทานไปประจำตำแหน่งกระทรวงโยธาธิการ เมื่อเลิกกระทรวงนั้นแล้วก็ต้องส่งคืน ใครจะเอาไปกดไว้หรือใช้ต่อไปหาได้ไม่ มีความผิด ทั้งนี้ก็ดุจเครื่องยศอันหนึ่งเหมือนกัน”
การพระราชทานตราพระราชลัญจกรให้ไปใช้งาน จึงเป็นการพระราชทานอำนาจหรือพระราชทานเกียรติยศประการหนึ่ง เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานตราพระราชลัญจกรมังกรคาบแก้วแก่โบราณคดีสโมสรไว้ใช้งาน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานตราพระราชลัญจกรพระคเนศร์นั่งแท่นให้กับวรรณคดีสโมสรเพื่อดำเนินกิจการด้านการส่งเสริมวรรณคดี เป็นต้น
กฎเกณฑ์ในการใช้งานตราพระราชลัญจกรซึ่งมีทั้งองค์เก่าและองค์ที่สร้างใหม่เป็นจำนวนมากได้ถูกกำหนดขึ้นให้เป็นระบบเป็นครั้งแรกโดยพระราชบัญญัติพระราชลัญจกร รัตนโกสินทรศก 122 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยกตัวอย่างเช่น
มาตรา 4 พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการองค์ใหญ่ ประจำชาด ประทับสัญญาบัตร์ทหาร แลสัญญาบัตร์ตำแหน่ง แลหนังสือพระราชทานที่ องค์น้อยสำหรับประทับพระราชทานพระบรมราชานุญาตเครื่องสรรพาวุธ
มาตรา 5 พระราชลัญจกรสยามโลกัคราช สำหรับประทับวิสุงคามสีมา ในหว่างกลางองค์เดียว
มาตรา 9 พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน สำหรับประทับกำกับพระบรมราชนามาภิธัยทั่วไป
มาตรา 11 พระราชลัญจกรสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งสร้างขึ้นประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น ให้คงใช้อยู่ตามเดิม
และต่อมามีการออกพระราชบัญญัติพระราชลัญจกร 2 รัตนโกสินทรศก 130 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กำหนดให้ใช้ตราพระครุฑพ่าห์เป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินเป็นหลัก ทำให้ตราพระราชลัญจกรอื่น ๆ ค่อย เลิกใช้ไปในที่สุด ดังที่ได้บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 1 พระราชลัญจกรพระครุฑพาหองค์ใหม่ประจำแผ่นดินสำหรับประทับกำกับพระบรมนามาภิธัย ในหนังสือสำคัญทั่วไป
แต่โบราณเอกสารสำคัญขององค์พระมหากษัตริย์ ไม่มีการลงพระปรมาภิไธย แต่ใช้การประทับตรา (Seal) ไว้เป็นสำคัญ แม้กระทั่งพระราชสาส์นเจริญพระราชไมตรีก็มิได้มีการลงพระปรมาภิไธยแต่ประการใด แต่มีการประทับ ตราพระราชลัญจกรมหาโลโต เป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินและ ตราพระราชลัญจกรมังกรหก เป็นตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล คู่กันไว้ในพระราชสาส์นถวายสมเด็จพระจักรพรรดิจีนในการถวายเครื่องราชบรรณการหรือการจิ้มก้อง สำหรับกฎหมายบทพระอัยการต่าง ๆ ก็มิได้มีการลงพระปรมาภิไธย เพราะแต่โบราณคนไทยยังมิรู้จักการลงลายมือชื่อ (Sign หรือ Signature) ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงรวบรวมกฎหมายตราสามดวงขึ้นมาให้เป็นระเบียบระบบก็ประทับตราคชสีห์ (สมุหพระกลาโหม) ตราราชสีห์ (สมุหนายก-มหาดไทย) และตราบัวแก้ว (โกษาธิบดี-กรมท่า-การต่างประเทศ)
กล่าวได้ว่าเอกสารสำคัญในสมัยโบราณของไทย มิได้มีการลงพระปรมาภิไธย แต่ใช้การประทับพระราชลัญจกรเพียงอย่างเดียว หากเป็นเอกสารสำคัญมาก ก็จะมีการประทับตราพระราชลัญจกรหลายองค์ ทั้งตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินได้แก่ ตราพระราชลัญจกรมหาโองการ ตราพระราชลัญจกรไอยราพต และตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน และประทับตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลคือ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ ที่ล้อมด้วยอักษรพระปรมาภิไธยด้วย
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงใช้ลายพระนามคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นภาษาละตินว่า SPPM. Mongkut Rex Siamensium โดยที่ SPPM ย่อมาจาก Somdet Phra. Poramenthra Maha Mongkut ส่วนคำภาษาละตินว่า Rex Siamensium แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า King of the Siam และภาษาไทยลงพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกทื่ทรงลงพระปรมาภิไธยและมีการประทับตราพระราชลัญจกรกำกับพระปรมาภิไธย และถือเป็นราชประเพณีปฏิบัติเช่นนี้มาจนกระทั่งปัจจุบัน ดังตัวอย่างด้านล่างนี้
ในปัจจุบันมีตราพระราชลัญจกรเจ็ดองค์ที่ยังคงใช้งานอยู่ดังนี้
หนึ่ง ตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ใช้ในราชการส่วนพระองค์ เช่น พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นตรารูปวชิราวุธ (ตราส้อม) มีตราจุลมงกุฎหรือตราพระเกี้ยวประดิษฐานไว้ด้านบน
สอง ตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ได้แก่ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาล ใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในราชการแผ่นดินทั้งปวง และกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกดวงที่พระราชทาน
ตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินที่ใช้ในปัจจุบันนั้นมีอยู่ห้าองค์
สาม ตราพระราชลัญจกรมหาโองการ สี่ ตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน ห้า ตราพระราชลัญจกรไอยราพต (องค์ใหญ่) หก ตราพระราชลัญจกรไอยราพต (องค์กลาง)
และ เจ็ด ตราพระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ ใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยใบสัญญาบัตร ยศทหาร ตำรวจ เหนือตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการผูกลายพระราชลัญจกรเพื่อสร้างตราอื่น ๆ หรือใช้ในการก่อสร้าง การประดับตกแต่ง เช่น
(ซ้าย) ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก พ.ศ. 2531 เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานยิ่งกว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชของพระองค์ที่ 42 ปี 23 วัน มีการ ผูกลายด้วยตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร คือ ตราที่มีพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎและเลขเก้าไทย รองด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์องค์อื่น ๆ คือพระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกรชัยพฤกษ์ วาลวิชนี และฉลองพระบาทเชิงงอน ประคองข้างด้วยฉัตรขาวเจ็ดชั้นสององค์ (สัปตปฏลเศวตฉัตร)
(ขวา) พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว บนพัดรองพัดรองพระราชทานพระราชาคณะจีนนิกายในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ประดิษฐานพระราชลัญจกรวชิราลงกรณ์ มีตราวชิราวุธ และ อลงกรณ์หรือจุลมงกุฎ หรือพระเกี้ยวน้อย อันสนธิกันได้เป็นตราวชิราลงกรณ์ บนพานแว่นฟ้า มีแพรแถบสีชมพูพาดจุลมงกุฎและเศวตฉัตร บนแพรแถบสลักอักษรงานพระราชพิธี 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พญานาคสององค์รองรับพานแว่นฟ้า เพราะพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระบรมราชสมภพในปีมะโรง พญานาคกระหวัดประคองเศวตฉัตร พื้นพัดรองสีน้ำเงินเข้ม เปล่งรัศมีแฉก นมพัดขลิบทอง คอพัด เป็นทรงรูปดอกบัว สลักเลขไทย 72 สีทอง บนพื้นสีม่วง
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการพระราชทานตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์สำหรับบริษัทเอกชนที่เราเรียกว่าตราตั้งหรือตราตั้งห้าง ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายครุฑพ่าห์ พ.ศ. 2534
มาตรา 4 ตราตั้ง หมายความว่าหนังสือสำคัญที่นายกรัฐมนตรีออกให้แก่ห้างร้านหรือบริษัทเพื่อแสดงว่าเป็นห้างร้านหรือบริษัทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามที่ได้รับพระบรมราชานุญาตตามมาตรา 10 เครื่องหมายตราตั้ง หมายความว่าเครื่องหมายครุฑพ่าห์ที่ห้างร้านหรือบริษัทมีสิทธิที่จะใช้เมื่อได้รับตราตั้งแล้ว
มาตรา 6 การทำหรือใช้เครื่องหมายครุฑพ่าห์ในราชการในพระองค์พระมหากษัตริย์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
มาตรา 13 ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะทำหรือใช้เครื่องหมายครุฑพ่าห์ ตราตั้ง หรือเครื่องหมายตราตั้ง กระทำการเช่นนั้นเพื่อให้คนอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บรรณสารแนะนำ
หนึ่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ & พระยาอนุมานราชธน. (2506). บันทึกเรื่องความรู้ต่าง ๆ เล่ม 3. กรุงเทพ: ไทยวัฒนาพานิช.
จดหมายโต้ตอบระหว่างปราชญ์ของไทย อธิบดีกรมศิลปากรคือพระยาอนุมานราชธน คัดลอกลายตราพระราชลัญจกรทั้งหมดที่ค้นพบในเวลานั้น ขึ้นทูลเกล้าถวายสมเด็จครูให้ทอดพระเนตร ประทานความรู้โต้ตอบกัน จนกระทั่งพระยาอนุมานราชธนเขียนต้นฉบับบันทึกความรู้เรื่องตราพระราชลัญจกรและตราประจำตัวประจำตำแหน่งให้สมเด็จครูทรงแก้ไข แต่สมเด็จครูสิ้นพระชนม์เสียก่อน ท่านอาจารย์เจ้าคุณไปขอให้พระทายาทรื้อค้นต้นฉบับดังกล่าวที่สมเด็จครูทรงแก้ไขด้วยลายพระหัตถ์ไว้ภายหลังสิ้นพระชนม์
สอง ศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน. (2493). เรื่องพระราชลัญจกรและตราประจำตัวประจำตำแหน่ง. กรุงเทพ: กรมศิลปากร.
ต้นฉบับที่กล่าวถึงในเล่มหนึ่ง ที่พระยาอนุมานราชธนบันทึกความรู้ที่ได้รับประทานมาจากสมเด็จครู และต้นฉบับได้รับการทรงแก้ไขปรับปรุงโดยสมเด็จครู พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดฯ ให้พิมพ์หนังสือดังกล่าวในงานออกพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จครู ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง
สาม กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2494). ประวัติกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและความรู้เกี่ยวด้วยพระราชลัญจกรกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์พร้อมด้วยลำดับเกียรติและวิธีประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์. กรุงเทพ: บำรุงนุกูลกิจ.
หนังสือที่เขียนโดยหน่วยราชการที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบดูแลและประทับตราพระราชลัญจกรโดยตรง มีรายละเอียดและภาพประกอบดีมาก
สี่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนคริทร์ (บรรณาธิการ). (2535). ตราแผ่นดิน ตราราชสกุล และสกุล อักษรพระนาม และนามย่อ. กรุงเทพ: วงศ์จร.
สมุดภาพที่สะสมตราต่างๆ โดยเจ้าจอมเลียมในรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าจอมจากราชินิกุลบุนนาค เป็นหนังสือภาพทำมือด้วยฝีมืออันประณีตละเอียดอ่อน ถวายสมเด็จพระศรีสวรินทริราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ต่อมาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนคริทร์ ทรงค้นพบ หนังสือดังกล่าว ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม จึงทรงรับหน้าที่เป็นองค์บรรณาธิการ ทรงค้นคว้าและอธิบายเขียนอธิบายเพิ่ม
ห้า ปรีดี พิศภูมิวิถี & หม่อมหลวงภัคภรจันท์ เกษมศรี. (2559). สมุดตราสะสมเจ้าจอมเลียม ในรัชกาลที่ 5 กรุงเทพ: สยาม เรเนซองส์.
เจ้าจอมมารดาเลียมในรัชกาลที่ห้า ได้ทำหนังสือภาพทำมือเพื่อสะสมตราเอาไว้อีกหนึ่งเล่ม อาจารย์ภาวาส บุนนาค ทายาทของราชินิกุลบุนนาค อดีตรองราชเลขาธิการ ได้เก็บรักษาไว้ ต่อมาคุณหญิงเสริมศรี บุนนาค ภรรยาของอาจารย์ภาวาส ได้นำสมุดภาพดังกล่าวมาให้ ดร. ปรีดี พิศภูมิวิถี และ หม่อมหลวงภัคภรจันท์ เกษมศรี เรียบเรียงเขียนคำอธิบาย
หก สมบัติ พลายน้อย. (2528). ความรู้เรื่องตราต่าง ๆ พระราชลัญจกร. กรุงเทพ: รวมสาส์น.
อาจารย์สมบัติ พลายน้อยได้ค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมต่อจากเล่มหนึ่งและเล่มสอง (สมเด็จครูและอาจารย์เจ้าคุณ) เนื้อหาส่วนที่เพิ่มเติมละเอียดได้แก่ พระราชลัญจกรในกรมพระราชวังบวรหรือวังหน้า ซึ่งพระยาอนุมานราชธนยังค้นคว้าไปได้ไม่สุดทางและสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์สิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน และเรื่องพระราชลัญจกรโพธิสัตว์สวนดุสิต อันเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
เจ็ด สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538). พระราชลัญจกร. กรุงเทพ: บมจ. อัมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง.
หน่วยราชการที่มีหน้าที่เก็บรักษาและประทับตราพระราชลัญจกรโดยตรง อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการอัพเดทเล่มสามให้เป็นปัจจุบัน (เพราะเป็นหน่วยงานเดียวกันแต่เปลี่ยนชื่อ) การเรียบเรียงเป็นระบบ มีภาพประกอบจำนวนมากโดยเฉพาะภาพถ่ายองค์พระราชลัญจกรและหน้าตราพระราชลัญจกร