xs
xsm
sm
md
lg

ประวัติความเป็นมาและประเภทของตราพระราชลัญจกร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์


ความเป็นมาของตราพระราชลัญจกรและการคลี่คลาย

นับแต่โบราณ ไม่มีการลงลายมือชื่อ พระมหากษัตริย์ก็มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธย ในเอกสารสำคัญโดยตรง มีธรรมเนียมในการสร้างตราหรือ Seal เพื่อประทับลงบนเอกสารสำคัญ เช่น พระบรมราชโองการ กฎหมายบทพระอัยการ พระราชสาส์นตราตั้งเจริญพระราชไมตรี เป็นต้น เพื่อเป็นการแสดงอัตลักษณ์ ตราหรือลัญจกร (Seal) ถือว่าเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่ใช้ประทับบนเอกสาร/หนังสือเพื่อแสดงตัวตนของบุคคลหรือคณะบุคคล เพื่อป้องกันการปลอมแปลง การแอบอ้าง และเป็นเครื่องหมายสื่อถึงอำนาจหรือการมอบหมายอำนาจด้วยอีกประการหนึ่ง

ตราประทับสำหรับองค์พระมหากษัตริย์จึงเรียกว่าตราพระราชลัญจกร อาจจะใช้ประทับลงบนเอกสารที่เป็นราชการในพระองค์ (Royal Affairs) เช่น การสถาปนาพระราชอิสริยยศของพระบรมวงศานุวงศ์หรือการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการในพระองค์ หรือเป็นราชการแผ่นดิน (Government Affairs) เช่น การพระราชทานและประกาศใช้รัฐธรรมนูญ การประกาศใช้กฎหมายพระราชบัญญัติต่าง ๆ การเปิดประชุมรัฐสภา เป็นต้น

ที่มาของตราหรือ Seal นั้นน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากทั้งทางตะวันตก ดังที่มีการขุดค้นพบตราทำจากดินเหนียวในลุ่มน้ำไทกริส ยูเฟรติส และต่อมาเป็นตราโลหะในพื้นที่อาณาจักรโรมันเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางตะวันตกนั้น นิยมตราครั่งหรือ Wax seal ซึ่งหลอมละลายครั่งหยอดลงบนเอกสาร แล้วค่อยเอาตราพระราชลัญจกรประทับ เกิดเป็นลวยลายนูนขึ้นมาเหนือเอกสารต่าง ๆ สันนิษฐานได้ว่าไทยเราน่าจะรับอิทธิพลนี้สืบเนื่องมาจากทางอาหรับหรืออินเดียมากกว่า อย่างไรก็ตามความนิยมใช้ตราประจำครั่งหรือตราครั่งของไทยนั้นน้อยกว่าตามที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ประทานความรู้ให้พระยาอนุมานราชธนว่า เอกสารที่ประทับตราครั่งนั้นเก็บรักษายาก มักจะแบนไปเพื่อเก็บไว้นาน ๆ ต้องใส่กล่องไม้ไม่สามารถวางซ้อนกันได้ การรักษาเอกสารที่ประดับตราพระราชลัญจกรประจำครั่งจึงมีน้อยกว่า

ส่วนทางตะวันออก ตราพระราชลัญจกรนั้น ไทยรับอิทธิพลมาจากสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิของจีนอย่างแน่นอน อาจจะมาจากการค้าขายหรือการจิ้มก้อง (ถวายเครื่องราชบรรณาการเจริญพระราชไมตรีเพื่อผูกมิตรให้เกิดความสะดวกในการแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้า) และสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิจีนก็พระราชทานตราพระราชลัญจกรแกะด้วยหยกมาเป็นตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ของไทยมานับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏตราพระราชลัญจกรมหาโลโต ที่ราชวงศ์หมิงของจีนพระราชทานให้องค์พระมหากษัตริย์ไทยสมัยอยุธยาใช้ โดยองค์ตราพระราชลัญจกรนั้นแกะสลักด้วยหยกเป็นรูปอูฐหมอบสี่ขา ภาษาจีนกลางเรียกว่า ลั่วถัว (駱駝) แปลว่าอูฐ สร้างเป็นแท่นประทับสี่เหลี่ยม มีตราสี่เหลี่ยมสลักตัวอักษรจีนและอักษรแมนจู คู่กัน สลักคำว่า พระเจ้าแผ่นดินสยาม ตราพระราชลัญจกรแบบจีนนั้นมักเป็นตราประจำชาด หรือประทับด้วยชาด มากกว่าประทับด้วยครั่ง และใช้ประทับพระราชสาส์นในการอัญเชิญเครื่องราชบรรณาการถวายเจริญพระราชไมตรีสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิจีน

ประเพณีนี้ขุนนางไทยโดยเฉพาะกรมท่าถือปฏิบัติยาวนานมาหลายร้อยปีเพราะเป็นการอำนวยความสะดวกในทางการค้า จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงให้ยกเลิกประเพณีจิ้มก้องไปในที่สุด

พระมหากษัตริย์แห่งพระบรมมหาจักรีบรมราชวงศ์ยังทรงสร้างตราพระราชลัญจกรมังกรหกองค์ใหม่ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนรัชกาล จัดได้ว่าเป็นตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล สลักพระปรมาภิไธยเป็นภาษาจีนรวมทั้งสิ้นห้าพระองค์คือ 1) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 2)พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 3) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 4) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ 5) พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อประทับคู่กับตราพระราชลัญจกรมหาโตโจที่ประทับอยู่เสมอแม้เปลี่ยนรัชกาล หลังจากนั้นมาก็ไม่มีการสร้างตราพระราชลัญจกรมังกรหกอีกต่อไป เพราะมีการยกเลิกประเพณีจิ้มก้องไปในรัชกาลที่ 4

สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิจีนนั้นพระราชทานตราพระราชลัญจกรแบบเดียวกันนี้ให้พระเจ้าแผ่นดินหลาย ๆ ประเทศที่จิ้มก้อง ให้ด้วย โดยถือว่าประเทศที่จิ้มก้องให้เป็นประเทศราชของจีน เช่นพระราชลัญจกรรูปอูฐหมอบนี้พระราชทานให้พระเจ้ามหาชีวิตของล้านช้างหรือลาว

ความนิยมในการใช้ตรา เริ่มขยายจาก 1) ตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ ไปสู่ 2) ตราพระราชลัญจกรแผ่นดิน และขยายไปสู่ 3) ตราประจำพระองค์ของพระบรมวงศานุวงศ์ และ 4) ตราประจำหน่วยงานราชการต่าง ๆ เช่น ตราประจำกระทรวง/กรมต่าง ๆ ดังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงอธิบายไว้ในพระหัตถเลขาประทานพระยาอนุมานราชธนซึ่งภายหลังรวมรวมพิมพ์เป็นหนังสือเล่มชื่อ บันทึกเรื่องความรู้ต่าง ๆ เอาไว้ว่า

ตราพระราชลัญกรมหาโลโต ตราสี่เหลี่ยมมีตัวอักษรจีน ที่จับเป็นรูปอูฐหมอบ เป็นตราที่ไทยได้รับจากจักรพรรดิจีนตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนตราหยกในภาพนี้คาดว่าเป็นองค์ใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538)

ตราพระราชลัญจกรที่พระเจ้ากรุงจีนแกะด้วยหยกรูปอูฐหมอบ ลักษณะคล้ายตราพระราชลัญจกรมหาโลโตของไทย พระราชทานแก่เจ้ามหาชีวิตล้านช้างร่มขาว (ลาว) สลักด้วยอักษรจีนและอักษรแมนจู ที่มา Facebook Page ของชมรมผู้สนใจข้อมูลราชวงศ์ชิง

ตัวอย่างตราพระราชลัญจกรมังกรหก แท่นประทับสี่เหลี่ยมทำเป็นรูปมังกร สลักพระปรมาภิไธยเป็นอักษรจีน ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538)
“ แต่ก่อนไม่ได้ใช้เซ็นชื่อ ใช้ตราประจำตัวหรือประจำตำแหน่งประทับแทนเซ็นชื่อ เพราะฉะนั้น พระเจ้าแผ่นดินกับบรรดาคนสามัญ ซึ่งมีธุระในหนังสือ ก็ทำตราขึ้นใช้ประจำตัว เว้นแต่ลางคน ลางตำแหน่ง ซึ่งพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดปราน จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระราชลัญจกรไปใช้เป็นตราประจำตัว นับ เป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ไม่มีได้อย่างนั้นกันกี่คนนักตัวอย่างเช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ได้รับพระราชทานพระราชลัญจกรนารายณ์เกษียรสมุทรไปใช้ เป็นต้น”

ต่อมาหน่วยราชการต่าง ๆ ก็ได้รับพระราชทานตราพระราชลัญจกรหรือตราต่าง ไปใช้เป็นตราเครื่อง หมายของหน่วยงาน ยกตัวอย่างเช่น ตราพระเกี้ยว เคยเป็นตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปใช้ เป็นตราประจำมหาวิทยาลัย และต่อมาได้นำมาใช้เป็นตราประจำโรงเรียนมัธยมหอวังแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแม้กระทั่งโรงเรียนสาธิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยเช่นกัน

2. ประเภทของพระราชลัญจกร

พระราชลัญจกรแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ

1. พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน หรือ ประจำรัชกาล ใช้ประทับกำกับพระปรมาภิไธยในเอกสารสำคัญ

สำหรับพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินจะไม่มีการเปลี่ยนตราเมื่อเปลี่ยนรัชกาล ยกตัวอย่างเช่น ตราอาร์มแผ่นดิน (Coat of arm) ที่รับอิทธิพลมาจากมุทราศาสตร์ (Heraldry) แบบยุโรปอันเป็นการผูกลายโล่และเสื้อคลุมของนักรบโรมันโบราณไว้เป็นตราประจำตัวพระเจ้าแผ่นดิน/พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า เพราะพระมหากษัตริย์หมายความถึงนักรบผู้ยิ่งใหญ่

ตราอาร์มแผ่นดินเริ่มต้นใช้ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ออกแบบโดยหม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย และภายหลังได้ยกเลิกไปมาใช้ตราพระครุฑพ่าห์เป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแทน มีผู้รู้บางท่านสันนิษฐานกันว่าในตราอาร์มแผ่นดินมีห้องบนโล่ที่แสดงหัวเมืองประเทศราช ซึ่งสยามได้สูญเสียดินแดนไปจึงทำให้ไม่เหมาะสมในการใช้งานอีกต่อไป

การดัดแปลงตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินให้เป็นตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ทำโดยสลักพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ล้อมรอบตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินองค์นั้น ยกตัวอย่างเช่น ตราอาร์มแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อสลักล้อมด้วยอักษรพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ บดินทรเทพยมหามกุฎ พระจุลจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม ก็จะเปลี่ยนเป็นพระราชลัญจกรประจำรัชกาลแทน ขอให้สังเกตว่าน่าจะเป็นตราที่ใช้ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเนื่องจากยังมิได้เฉลิมพระปรมาภิไธยเป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ซ้าย ตราอาร์มแผ่นดิน เป็นพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ขวา ตราอาร์มแผ่นดินล้อมรอบด้วยพระปรมาภิไธยเป็นพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 5 (ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการประกาศใช้ตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์เป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน และก็เป็นพระราชประเพณีที่จะสลักพระปรมาภิไธยล้อมรอบดวงตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์เพื่อสร้างเป็นตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ดังแสดงในรูปด้านล่างนี้

แถวบนแสดงตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ (องค์กลาง) ทรงวาดโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ส่วนดวงตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์สามองค์แถวล่างล้อมรอบโดยพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ซ้าย) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช (องค์ตรงกลาง) และ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (องค์ขวา) ต่างเป็นตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล

ทั้งตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินและตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ต่างก็ใช้ในราชการแผ่นดิน (Government affair) เท่านั้น มิได้ใช้ในราชการส่วนพระองค์


2. พระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน ใช้ประทับกำกับเอกสารสำคัญที่ออกในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ มักใช้ในราชการแผ่นดินโดยตรง โดยเฉพาะเอกสารสำคัญของแผ่นดิน เช่น รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ จะต้องประทับด้วยพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินสามองค์

พระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินที่สำคัญยิ่งมีอยู่สามองค์ ที่ยังคงใช้ประทับมาจนปัจจุบัน องค์แรกคือตราพระราชลัญจกรมหาโองการ เราจะสังเกตเห็นตราอุณาโลม หรือหว่างคิ้ว หรือพระเนตรที่สามของพระอิศวรเจ้า ประดิษฐานกลางบุษบกที่ขนาบข้างด้วยพระนพปฎลเศวตฉัตรหรือฉัตรขาวเก้าชั้นสององค์ องค์ที่สองคือตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน ซึ่งเป็นรูปวิมานบนหลังหงส์ อันเป็นพระราชพาหะของพระพรหม องค์ที่สามคือตราพระราชลัญจกรไอยราพต หรือช้างเอราวัณสามเศียร อันเป็นพระราชพาหะของพระอินทร์

ส่วนองค์ที่สี่คือตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์นั้นได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล (แต่เราคงเห็นว่าตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ก็ยังคงเป็นตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดินอยู่เช่นกัน) พระครุฑพ่าห์หรือครุฑ (Garuda) นั้นเป็นพระราชพาหะของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ ด้วยคติทางอินเดียที่ไทยเราก็รับมาอีกต่อจากเขมร เชื่อว่าองค์พระมหากษัตริย์คือพระนารายณ์อวตารลงมาปราบทุกข์เข็ญบนแผ่นดิน การใช้ตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินเป็นพระราชพาหะของเทพเจ้าต่างๆ จึงเป็นการสำแดงว่าระบอบการปกครองของไทยนั้นเคารพพระมหากษัตริย์เป็นเทพหรือที่เรียกว่าลัทธิเทวราช ดังนั้นพระราชพาหะของสามเทพสำคัญหรือองค์ตรีมูรติ (Trinity) ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจึงใช้ประทับในกฎหมายสำคัญอย่างรัฐธรรมนูญ

ส่วนที่เป็นไทยแท้ ๆ คือคติในเรื่องของพระอินทร์ ที่ไทยเราเคารพนับถือว่าสำคัญยิ่งเพราะทำหน้าที่ค้ำจุนพระพุทธศาสนา คนไทยเรานับถือพระอินทร์กันมาก ในขณะที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นั้นถือว่าเป็นเทพชั้นรองลงมาจากองค์ตรีมูรติ ทำให้ไทยเราใช้ตราพระราชลัญจกรไอยราพตด้วย

สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงอธิบายว่า แต่เดิมตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินรวมไปถึงตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน และตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล จะมิกล้าแกะสลักเป็นองค์เทพเจ้าโดยตรง แต่สลักเป็นพระราชพาหะหรือสัญลักษณ์ขององค์เทพเจ้านั้น แทน แต่ความเชื่อดังกล่าวนี้ก็หายไป ดังจะสังเกตได้ว่าตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน คลี่คลาย เป็นตราพระราชลัญจกรพรหมทรงหงส์ ตราพระราชลัญจกรไอยราพต มีการแกะสลักตราที่มีองค์พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ หรือตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์คลี่คลายเป็นตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ในลักษณะขององค์พระนารายณ์ทรงสุบรรณ

 (องค์ซ้าย) ตราพระราชลัญจกรมหาโองการ (องค์ขวา) พระราชลัญจกรหงสพิมา

(องค์ซ้าย) พระราชลัญจกรไอยราพต (เก่า) มีรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ (องค์ขวา) พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ องค์เดิมแกะเป็นครุฑยุดนาคและพระนารายณ์ทรงสุบรรณ เลิกใช้ไปในสมัยรัชกาลที่ 5

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2495 บนสมุดไทย พับบนประทับตราพระราชลัญจกรมหาโองการ (องค์ซ้าย) ตราพระราชลัญจกรไอยราพต (องค์ตรงกลาง) และตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน (องค์ขวา) ส่วนพับล่างของสมุดไทยลงพระปรมาภิไธย สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร โดยมีตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาลกำกับพระปรมาภิไธย

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำหน้าที่ประทับตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินสามองค์บนพับบนของรัฐธรรมนูญฉบับสมุดไทยและตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลบนพับล่างของสมุดไทย ที่มา รัฐสภาไทย https://parliamentmuseum.go.th/ar63-seal.html
3. พระราชลัญจกรประจำพระองค์ คือ ใช้สำหรับประทับกำกับพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ในเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ หรือราชการส่วนพระองค์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน เช่น ประทับในประกาศนียบัตร เหรียญรัตนาภรณ์ (อันเป็นความชอบในราชการส่วนพระองค์) เป็นต้น
การผูกลายพระราชลัญจกรประจำพระองค์นี้มักจะซ่อนนัยยะแห่งพระนามเดิมก่อนขึ้นครองราชย์เอาไว้ด้วย เช่น
- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 1 พระนามเดิม ทองด้วง ใช้ตรามหาอุณาโลม
- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 2พระนามเดิม ฉิม จึงเป็นตราครุฑยุดนาค
- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 3 พระนามเดิมหม่อมเจ้าชายทับ อันแปลว่าบ้าน จึงเป็นตราพระมหาปราสาท


พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (แถวหนึ่ง-องค์ซ้าย)
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (แถวหนึ่ง-องค์ตรงกลาง)
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (แถวหนึ่ง-องค์ขวา)
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (แถวสอง-องค์ซ้าย)
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (แถวสอง-องค์ขวา)
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (แถวสาม-องค์ซ้าย)
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (แถวสาม-องค์ขวา)
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (แถวสี่-องค์ซ้าย)
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (แถวสี่-องค์ตรงกลาง)
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (แถวสี่-องค์ขวา)

- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 4 พระนามเดิม เจ้าฟ้ามงกุฎ จึงเป็นตราพระมหาพิชัยมงกุฎ
- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 5 พระนามเดิม เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ จึงเป็นตราพระเกี้ยว (จุล+อลงกรณ์)
- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 6 พระนามเดิม เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ จึงเป็นตราส้อมหรืออาวุธแห่งพระอินทร์ (วชิระ+อาวุธ)
- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 7 พระนามเดิม เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิ์เดช จึงเป็นตราสามศร (ศักดิเดชน์)
- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 8 พระนามเดิม พระองค์เจ้าอานันทมหิดล อันแปลว่าความยินดี (อานันท์) ของแผ่นดิน (มหิดล) จึงเป็นตราพระโพธิสัตว์สวนดุสิตอันหมายความว่าเป็นความยินดีและเป็นเดชยิ่งในพื้นพิภพ
- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 9 พระนามเดิมพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช อันแปลว่ากำลังของแผ่นดิน จึงใช้ตราพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งประทับให้ถวายน้ำอภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก หมายถึงเป็นกำลังของแผ่นดินทั้งแปดทิศ
- พระราชลัญจกรในรัชกาลที่ 10 พระนามเดิม เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ (วชิระ+อลงกรณ์) จึงใช้ตราวชิราวุธที่มีจุลมงกุฎหรือพระเกี้ยวประดิษฐานอยู่ด้านบน

เราจะสังเกตได้ว่ารูปร่าง (Shape) ของตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์มักเป็นรูปวงกลมหรือรูปวงรีในแนวนอน ยกเว้นตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เป็นรูปวงรีแนวตั้งหรือรูปไข่ ทั้งนี้คงเป็นเรื่องความเหมาะสมทางสายตาและสัดส่วนในการผูกลายนั่นเอง

พระราชลัญจกรประจำพระองค์นี้จะใช้ในราชการในพระองค์ เช่น พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาหรือประทับบนประกาศนียบัตรพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นบำเหน็จในพระองค์พระมหากษัตริย์ดังตัวอย่างด้านบน ศาสตราจารย์ ดร. อุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภา ได้รับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ ชั้นที่ 3 มีการประทับพระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช อันเป็นตรารูปพระที่นั่ง อัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ กำกับลายพระปรมาภิไธย ภูมิพลอดุลยเดช ปร


4. พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ใช้ประทับประกาศนียบัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามที่กำหนดไว้ ในอดีตการตรากฎหมายเกี่ยวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มีการกำหนดพระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้อย่างชัดเจนเพื่อใช้ประทับประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่าง ๆ อันได้แก่ มหาจักรีบรมราชวงศ์ จุลจอมเกล้า ช้างเผือก และมงกุฎไทย เป็นต้น

พระราชลัญจกรประจำเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ มีตราจักรี ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1-5 บริเวณขอบจักรมีคาถาภาษิต "ติรตเนสกรฏฺเฐจ สมฺพํเสจมมายนํ สกราโชชุจิตฺตญฺจ สกรฏฺฐาภิวัฑฺฒนํ" แปลว่า "ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง" ขอบรอบดวงตราจารึก "พระราชลัญจกร สำหรับเครื่องขัตติยราชอิสริยยศ อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่ง ตรามหาจักรีบรมราชวงษ" ปัจจุบันพ้นสมัยไปเนื่องจากเทคโนโลยีการพิมพ์ชัดเจนดีกว่าการประทับตรา องค์พระราชลัญจกรแกะสลักจากงาช้างจึงอัญเชิญไปเก็บไว้ที่กองประกาศิต สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่ใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์กำกับพระปรมาภิไธยแทน

พระราชลัญจกรประจำเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์

พระราชลัญจกรประจำเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายหน้า (ซ้าย) ฝ่ายใน (ขวา) ปัจจุบันไม่ได้ใช้

พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก (องค์ซ้าย) ปัจจุบันไม่ได้ใช้ พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎไทย (องค์ขวา) ปัจจุบันไม่ได้ใช้
ในปัจจุบันมีข้าราชการและผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นจำนวนมาก ประกอบกับเทคโนโลยีการพิมพ์ที่พัฒนาขึ้นไปมาก สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษาจึงจัดพิมพ์ประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สัญญาบัตรยศ สัญญาบัตรสมณศักด์ บนกระดาษขึ้นมาแทนการประทับตราพระราชลัญจกร โดยใช้ตรา/ดาราของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนั้น พิมพ์บนกระดาษกำกับพระปรมาภิไธยแทน

จะเห็นได้ว่าการใช้ตราพระราชลัญจกรนั้นมีความคลี่คลายมากขึ้น ไปตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ให้มีความสะดวก รวดเร็ว คมชัด สวยงามมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราพระราชลัญจกรที่หน่วยราชการใช้กันเป็นปกติในหนังสือราชการต่าง ๆ คือตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ มีให้ดาวน์โหลดไปใช้งานในรูปแบบของ psd file หรือ Photoshop อันมีรายละเอียดสูงและใส่ layer ได้ สามารถนำไปปรับใช้งานกราฟฟิคได้โดยสะดวกมากขึ้น หรือในรูปแบบของ Portable Network Graphics: PNG อันเป็นรูปสีใช้ได้หลายระบบรวมทั้งบน Internet Browser ต่างๆ สำหรับใช้ในการสร้างเว็บไซต์ เป็นต้น

แม้กระทั่งตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์แต่ละรัชกาลก็มีไฟล์ Scalable Vector Graphics (SVG) ให้ดาวน์โหลดได้โดยสะดวกบนอินเตอรเน็ตสำหรับ Graphic designer ศิลปินผู้ที่จงรักภักดีนำไปผูกลายเพื่อถวายความจงรักภักดี ถวายพระเกียรติได้อย่างสะดวกสวยงามตามยุคสมัยได้อย่างง่ายดาย

ที่มา สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา


กำลังโหลดความคิดเห็น