xs
xsm
sm
md
lg

การสร้างตราพระราชลัญจกรของไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์


ในบทความก่อนหน้านี้ได้นำเสนอความเป็นมาของตราพระราชลัญจกรและการคลี่คลาย และประเภทของตราพระราชลัญจกร https://mgronline.com/daily/detail/9680000018855

ในบทความนี้จะได้นำเสนอ การสร้างตราพระราชลัญจกรของไทย

การสร้างและวัสดุที่ใช้แกะตราพระราชลัญจกรของไทย

เราจะกล่าวถึงในแง่มุมของวิชาช่างในการแกะตรา เนื่องจากตรานั้นต้องใช้ประทับชาดหรือประทับครั่ง ช่างผู้แกะตราจึงต้องแกะตราโดยกลับซ้ายเป็นขวา กลับขวาเป็นซ้าย เพื่อให้ประทับตราออกมาแล้วสลับซ้ายกับขวาออกมาได้อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกันกับการส่องกระจกจะเกิดปรัศวภาควิโลม (Lateral inversion) อย่างที่เราเคยเรียนกันในวิชาฟิสิกส์เบื้องต้น

การแกะตราเป็นการใช้ของมีคมแกะลงไปบนวัสดุที่ต้องการแกะ โดยทั่วไปหน้าตราจะตัดเรียบเพื่อให้ประทับลงบนเอกสารได้โดยง่าย วัสดุที่ใช้แกะตราจะไม่เลือกวัสดุที่อ่อนเกินไปจนไม่อาจจะอยู่ตัวได้เพราะจะไม่คงทนถาวร ใช้ประทับได้ไม่นานก็จะเสียรูป แต่จะก็จะไม่เลือกวัสดุที่แข็งเกินไปจนแกะได้ยากลำบาก วัสดุที่นิยมใช้ในการแกะตรามาแต่โบราณของจีนคือหยก ส่วนของไทยนั้นนิยมแกะงาช้าง นอกจากนี้ยังมีวัสดุอื่น ๆ อีกเช่น หินโมรา หินสบู่ โลหะที่ไม่แข็งจนเกินไป ทองคำ หรือเงิน แม้กระทั่งไม้ก็สามารถใช้แกะตราได้แต่ไม่นิยมเนื่องจากตัวไม้เองก็มีลายไม้ประกอบกับจะสึกกร่อนได้ง่าย

การแกะตราเป็นการใช้ของมีคมกดลงไปบนหน้าของวัสดุ งัด แงะ หรือขุดทิ้งให้วัสดุหลุดออกมาเป็นร่องหรือเป็นหลุมเพื่อให้เกิดรูปร่างหรือลวดลายตามที่ต้องการได้ร่างแบบไว้ แต่ต้องรักษาความเรียบเนียนเสมอกันของหน้าวัสดุเอาไว้เพื่อใช้ประทับตราด้วยชาดหรือครั่ง จนได้ลายตามที่ต้องการ อาจกล่าวได้ว่าการแกะตราจัดเป็นงานภาพพิมพ์ประเภทหนึ่ง การแกะตราที่วัสดุเป็นโลหะอาจจะกล่าวได้ว่าเป็น Engraving

งานแกะนี้ทางช่างเรียกออกเป็นสองชนิดคือแกะไว้เส้น โดยแกะเป็นลวดลายหรือเป็นภาพเป็นลายเส้นให้ปรากฎ ส่วนอีกชนิดคือ แกะทิ้งเส้น หรือ แกะเส้นทิ้ง โดยแกะเป็นลวดลายหรือเป็นภาพที่เป็นลายเส้นจม

สำหรับตราพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน เช่น ตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ และตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน เช่น ตราพระราชลัญจกรมหาโองการ ตราพระราชลัญจกรไอยราพต ตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน ที่ใช้ประทับบนรัฐธรรมนูญ นั้นแกะตราเพียงครั้งเดียวแล้วใช้ไปได้ตลอด ไม่ต้องแกะใหม่เมื่อเปลี่ยนรัชกาล

(ภาพซ้าย) การแกะตรา แบบแกะไว้เส้น ของช่างไทย (ภาพขวา) การแกะตราแบบแกะเส้นทิ้งหรือแกะทิ้งเส้น ของช่างจีน ที่มา Facebook page พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
แต่ ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล หรือตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ที่ล้อมด้วยตัวอักษรพระปรมาภิไธยนั้นต้องแกะอย่างน้อยสองครั้ง ครั้งแรกแกะเพื่อใช้ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการแกะเพื่อใช้ชั่วคราว เพราะคำเฉลิมพระปรมาภิไธยยังเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะตามราชประเพณีแผ่นดินจะสิ้นกษัตริย์มิได้ ต้องมีราชสันตติวงศ์สืบเนื่องรักษาชาติบ้านเมือง พระมหากษัตริย์ในพระโกศสวรรคตแล้ว พระมหากษัตริย์ (องค์ใหม่) ทรงพระเจริญ อย่างที่ตะวันตกกล่าวกันว่า The king is dead, long live the king. พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ซึ่งเพิ่งเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติก็ต้องทรงปฏิบัติราชการแผ่นดิน จึงมีความจำเป็นต้องแกะตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลเป็นตราพระครุฑพ่าห์ล้อมด้วยตัวอักษรพระปรมาภิไธยก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อใช้งานไปพลางก่อน

ตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล (องค์ซ้าย) ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ล้อมด้วยตัวอักษรพระปรมาภิไธย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (องค์ขวา) หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธยแล้ว ล้อมด้วยตัวอักษรพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งสองแกะในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกซึ่งจะมีการพระราชพิธีอย่างเป็นทางการ หลังจากพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธยเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว

เช่นเดียวกันกับตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ที่ต้องแกะใหม่ทุกครั้งในแต่ละรัชกาล เพราะมีตราหรือสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น ตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวใช้ตราวชิราวุธ (วชิระ+อาวุธ) ในขณะที่ตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้ตราวชิราวุธมีจุลมงกุฎหรือตราพระเกี้ยวประดิษฐานด้านบน (วชิระ+อลงกรณ์)

3.1 การแกะตราพระราชลัญจกรในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (Coronation) จะมีการจารึกพระสุพรรณบัฎ อันเป็นการจารึกพระปรมาภิไธยที่ใช้หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีการจารึกดวงพระบรมราชสมภพ และมีการแกะตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาล ในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วในพระบรมมหาราชวัง

ยกตัวอย่างเช่นในภาพด้านล่างพระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต เป็นประธานในพิธี

หลวงบรรเจิดอักษรการ (ทับ สาตราภัย) หัวหน้ากองปกาศิต ทำหน้าที่อาลักษณ์จารึกอักษรพระปรมาภิไธยลงในพระสุพรรณบัฏ

พระยาโหราธิบดี (แหยม วัชรโชติ) โหรจารึกดวงพระบรมราชสมภพลงในแผ่นทอง

และหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร ศิลปินทำหน้าที่นายช่างแกะพระราชลัญจกร ที่ใช้วัสดุคืองาช้าง

ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538)
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พลเรือเอก หม่อมเจ้าปุสาณ สวัสดิวัตน์ เป็นผู้แทนพระองค์ ประกอบพระราชพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยผู้แทนพระองค์ทรงจุดเทียนทอง เทียนเงิน บนโต๊ะจารึกพระสุพรรณบัฏ (โดยอาลักษณ์) โต๊ะจารึกดวงพระราชสมภพ (โดยพราหมณ์) และโต๊ะแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล (โดยช่างแกะ) (โต๊ะตั้งจากซ้ายไปขวา)

ที่มา: https://www.prachachat.net/พระราชพิธีบรมราชาภิเษก/news-318963
3.2 วัสดุที่ใช้แกะตราพระราชลัญจกรของไทย

วัสดุที่นิยมใช้ในการแกะตราพระราชลัญจกรของไทยมากที่สุดคืองาช้าง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย และมีคุณสมบัติที่เหมาะสม แกะได้ง่าย และคงทนถาวรพอสมควร

อย่างไรก็ตามองค์ตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชองค์แรก แกะในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อพ.ศ. 2493 และใช้งานมายาวนานตลอดรัชกาลทำให้องค์ตราประทับมีการชำรุดเสียหาย จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้แกะใหม่เป็นองค์ที่สองในรัชกาลเมื่อพ.ศ. 2538 องค์พระราชลัญจกรประชำรัชกาลที่ 9 องค์ที่สองนี้ทำด้วยทองคำทั้งองค์

องค์พระราชลัญจกรอีกองค์ที่แกะด้วยทองคำ คือพระราชลัญจกรโลกัคราช ที่แท่นตราประทับเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวแท่นเป็นรูปช้างหมอบ ใช้สำหรับประทับใบประกาศนียบัตรพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่พระอารามต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร ปัจจุบันมิได้ใช้แล้ว พระราชลัญจกรมหาโลโต (ตราอูฐทอง) ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พระราชลัญจกรนามกรุง เป็นต้น

องค์พระราชลัญจกรที่แกะด้วยเงิน เท่าที่สืบทราบมีอยู่องค์เดียวคือพระราชลัญจกรมหาโลโต ที่สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิจีนพระราชทานให้พระเจ้าแผ่นดินไทย แกะเป็นตราสี่เหลี่ยม อักษรภาษาจีนและแมนจู ตัวด้ามจับตราพระราชลัญจกรเป็นรูปอูฐหมอบ เทียบเคียงกับพระราชลัญจกรมหาโลโตที่พระราชทานเจ้ามหาชีวิตแห่งพระราชอาณาจักรล้านช้างร่มขาว ก็แกะด้วยเงินเช่นกัน

องค์พระราชลัญจกรที่แกะด้วยหยกนั้น ได้แก่ องค์พระราชลัญจกรมหาโลโต ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ถือว่าเป็นพระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ใช้ในการประทับพระราชสาส์นในการจิ้มก้องถวายเครื่องราชบรรณาการ นอกจากนี้องค์พระราชลัญจกรมังกรหยก อันเป็นพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่มีอยู่ห้าองค์ สลักพระปรมาภิไธยองค์พระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล (รัชกาลที่ 1-4 และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ก็แกะด้วยหยกเช่นกัน

องค์พระราชลัญจกรที่แกะด้วยงาช้างแต่ด้ามจับองค์พระราชลัญจกรทำด้วยทองคำได้แก่ พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการองค์เดิม

องค์พระราชลัญจกรที่แกะด้วยหินโมรา แต่ด้ามจับองค์พระราชลัญจกรทำด้วยโลหะสีทอง ซึ่งช่างเรียกว่าโลหะสีทองกุดั่นมีควงขันควบโมรา คือองค์พระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน ตราพระราชลัญจกรไอยราพต (องค์กลาง) เป็นต้น

(ซ้าย) พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชองค์ที่สอง ทำจากทองคำ (ขวา) พระราชลัญจกรโลกัคราช (ช้างหมอบ) แกะด้วยทองคำทั้งองค์  ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538)

(ซ้าย) พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการประจำชาด แกะจากงาช้าง (ขวา) พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการองค์เดิม ตราแกะจากงาช้างและด้ามจับตราทำด้วยทองคำ ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538)

ตราพระราชลัญจกรไอยราพต (องค์กลาง) โลหะสีทองกุดั่นมีควงขันควบโมรา  ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538)
3.3 รูปร่างของตราและด้ามกดตราพระราชลัญจกร

รูปร่างของตราพระราชลัญจกรของไทย มีหลายรูปร่างดังนี้

1. ตราเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ได้แก่ พระราชลัญจกรมหาโลโต พระราชลัญจกรมังกรหก (สององค์นี้ใช้ประทับพระราชสาส์นเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิจีน-จิ้มก้อง) พระราชลัญจกรสยามโลกัคราช (ใช้ประทับในประกาศนียบัตรพระราชทานวิสุงคามสีมา)

2. ตราเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ได้แก่ พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ่) พระราชลัญจกรนามกรุง (องค์ใหญ่) พระราชลัญจกรนามกรุง (องค์น้อย) พระราชลัญจกรพรหมทรงหงส์ (องค์น้อย) (ทั้งสามองค์นี้เป็นพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน ใช้ประทับเอกสารสำคัญของราชการแผ่นดิน) พระราชลัญจกรไตรสารเศวต (สร้างในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เชื่อว่าเป็นตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 2 เพราะทรงได้ช้างเผือกมาหลายเชือก) พระราชลัญจกรมังกรคาบแก้ว (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้โบราณคดีสโมสรเพื่อทรงอุดหนุนศิลปวิทยาการ) พระราชลัญจกรจักรรถ (สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเขียนทูลเกล้าฯ ถวาย ตามพระราชบัญญัติพระราชลัญจกร รัตนโกสินทรศก ๑๒๒ มาตรา ๗ และพระราชบัญญัติพระราชลัญจกร รัตนโกสินทรศก ๑๓๐ มาตรา ๘ กำหนดให้ใช้พระราชลัญจกรจักรรถสำหรับประทับเรือนเลขในหนังสือซึ่งประทับตราพระราชลัญจกรมหาโองการและพระบรมราชโองการ)

3. ตราเป็นรูปวงรีรูปไข่แนวนอน เป็นรูปร่างของตราพระราชลัญจกรที่นิยมใช้ผูกลายพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ ได้แก่ พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4-7 พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 10

4. ตราเป็นรูปวงรีรูปไข่แนวตั้ง ได้แก่ พระราชลัญจกรไอยราพต (องค์น้อย) พระราชลัญจกรไอยราพต (องค์กลาง) พระราชลัญจกรอุณาโลมในกลีบบัว (ซึ่งเลิกใช้ไปแล้ว) พระราชลัญจกรมหาโองการ (องค์กลาง) พระราชลัญจกรหงสพิมาน ซึ่งต่างเป็นตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน ใช้ประทับเอกสารสำคัญของราชการแผ่นดิน เช่น รัฐธรรมนูญ ที่เป็นพิเศษคือพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 9 เพราะพระนามภูมิพลทำให้ช่างเลือกผูกลายพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์เป็นตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ 9 ทำให้ตราพระราชลัญจกรต้องเป็นตรารูปร่างวงรีรูปไข่แนวตั้ง

(องค์ซ้าย) พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ่) (องค์ตรงกลาง) พระราชลัญจกรนามกรุง (องค์ใหญ่) (องค์ขวา) พระราชลัญจกรนามกรุง (องค์น้อย)

(องค์ซ้าย) พระราชลัญจกรไตรสารเศวต (องค์ตรงกลาง) พระราชลัญจกรไอยราพต (เก่า)  (องค์ขวา) พระราชลัญจกรไอยราพต (เก่า) ไม่มีรูปพระอินทร์ทรง

(องค์ซ้าย) พระราชลัญจกรพรหมทรงหงส์ (องค์น้อย) (องค์ตรงกลาง) พระราชลัญจกรมังกรคาบแก้ว (องค์ขวา) พระราชลัญจกรจักรรถ

(องค์ซ้าย) พระราชลัญจกรไอยราพต (องค์น้อย) (องค์ตรงกลาง) พระราชลัญจกรอุณาโลมในกลีบบัว  (องค์ขวา) พระราชลัญจกรมหาโองการ (องค์กลาง)
5. ตราเป็นรูปวงกลม ได้แก่ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 5 ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นตราอาร์มแผ่นดินล้อมรอบด้วยพระปรมาภิไธย พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 1-3 พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 8 พระราชลัญจกรไอยราพต (เก่า) พระราชลัญจกรพรหมทรงหงส์ (องค์ใหญ่) พระราชลัญจกรพรหมทรงหงส์ (องค์น้อย) ทั้งนี้สามองค์หลังเป็นตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดิน

สำหรับด้ามจับองค์พระราชลัญจกร มักทำเป็นรูปร่างแท่งกลมมนยาวเพื่อให้เป็นด้ามจับประทับได้สะดวก

(ซ้าย) ด้ามจับองค์พระราชลัญจกรมักทำเป็นแท่งยาวกลมมนเพื่อให้จับประทับได้สะดวก  (กลางและขวา) ตราพระราชลัญจกรไอยราพตและด้ามจับองค์พระราชลัญจกรทรงเจดีย์ ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538)
สำหรับด้ามจับองค์พระราชลัญจกรที่มีรูปร่างอื่นได้แก่ด้ามจับตราพระราชลัญจกรไอยราพต ทำเป็นรูปทรงเจดีย์ พระราชลัญจกรมหาโลโต ทำเป็นรูปอูฐหมอบ พระราชลัญจกรมังกรหยก ทำเป็นรูปมังกร พระราชลัญจกรโลกัคราช ทำเป็นรูปช้างหมอบเป็นต้น

3.4 หมึกที่ใช้ประทับตราพระราชลัญจกรของไทย

มีเพียงสองชนิดคือใช้ครั่งประทับกับใช้ชาดประทับ เรียกว่าตราประจำครั่งและตราประจำชาด ตราประจำครั่งมักจะแกะจากโลหะเป็นหลักเพราะต้องใช้กดลงบนครั่งอันมีลักษณะคล้ายขี้ผึ้งร้อน ๆ ที่ต้องเผาก่อนแล้วใช้ตราพระราชลัญจกรกดทับลงไป อย่างที่ตะวันตกเรียกว่า Wax Seal

ตราประจำครั่งนั้นเกิดจากการเผาครั่ง ครั่งเกิดจากแมลงจำพวกเพลี้ย ใช้งวงดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ ต้นไม้ที่นิยมใช้เลี้ยงครั่งในประเทศไทยคือต้นจามจุรีหรือต้นก้ามปู แล้วขับยาง ชันหรือสารออกมา เรียกว่า"ครั่งดิบ" สารนี้มีสีแดงม่วง ลักษณะคล้ายขี้ผึ้งสีเหลืองแก่ หรือยางสีส้ม เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเชลแล็คหรือแลคเกอร์ที่ใช้ทาเคลือบผิวไม้ เราจึงเรียกครั่งในภาษาอังกฤษว่า lac

สมัยใหม่แท่งครั่งมิได้มีแค่สีแดงหรือสีแดงม่วง แต่มีสารพัดสีเพราะมีการเจือปนสีเคมีลงไปบนแท่งครั่งเพื่อความสวยงาม และเมื่อนำครั่งมาหลอมเป็นแท่งจะเอาไว้เผาเพื่อประทับตราครั่งบนเอกสารหรือวัตถุสำคัญมาก ๆ เพราะผู้เปิดเอกสารต้องทำลายตราครั่งหรือ Wax seal ออกเสียก่อนจึงเปิดเอกสารหรือวัตถุดังกล่าวออกมาได้ ในมุมหนึ่งการตีตราครั่งจึงเป็นไปเพื่อรักษาความลับหรือเพื่อความปลอดภัย เช่น ต้นฉบับข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องมีการตีตราครั่ง ประธานกรรมการจึงแกะเชือกทำลายตราครั่งก่อนส่งต้นฉบับเข้าโรงพิมพ์ เป็นต้น ในสมัยโบราณพระกระยาหารจากห้องพระเครื่องต้นสำหรับพระมหากษัตริย์ก็จะผูกผ้าขาวตีตราครั่งก่อนจะอัญเชิญโดยชาวพนักงานวรภาชน์ขึ้นตั้งเครื่องเสวย อันจะเป็นการรับประกันให้มั่นใจได้ชั้นหนึ่งว่าไม่มีการลักลอบวางยาพิษในพระกระยาหารระหว่างทางที่อัญเชิญจากห้องพระเครื่องต้นไปยังห้องเสวยบนที่ประทับ เป็นอาทิ

ลองมาดูธรรมเนียมการตีตราครั่งของตะวันตกของราชสำนักวาติกันขององค์พระสันตะปาปา ดังภาพด้านล่างนี้ พระคาร์ดินัลปิเอโตร ปาโรลิน พระราชาคณะคาดินัลและพระคาร์ดินัลทั้งปวง เผาแท่งครั่งหยอดลงบนเส้นเชือกที่มัดหีบพระศพไม้ไซเปรสซึ่งบรรจุพระศพสมเด็จพระสันตะปาปากิตติคุณเบเนดิกต์ที่ 16 โดยประทับตราครั่งบนฝาหีบ เป็นชั้นที่หนึ่ง หลังจากนั้นอัญเชิญหีบพระศพไม้ไซเปรสที่ตีตราครั่งแล้วบรรลงในหีบพระศพสังกะสีปิดผนึกและประทับตราตะกั่วเป็นชั้นที่สอง ก่อนที่จะบรรจุลงหีบพระศพไม้โอ๊ค เป็นชั้นที่สาม ก่อนบรรจุพระศพในมหาวิหารนักบุญเปโตร นครวาติกัน

การมีตราประทับทั้งตราครั่งและตราตะกั่ว ตลอดจนการมีหีบพระศพซ้อนกันสามชั้น แสดงให้เห็นว่าพระศพองค์พระสันตะปาปามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต้องถวายความปลอดภัยในการเก็บรักษาพระศพเป็นการสำคัญสูงสุด จึงต้องตีตราถึงสองครั้ง

ตราพระราชลัญจกรประจำชาดของไทย นั้นมีการสร้างไม่มากนัก ดังที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงอธิบายว่าเก็บรักษาเอกสารที่ประทับตราครั่งได้ยาก มักจะแบน หรือเลือนหายถูกทำลายไปมาก และน่าจะเป็นการใช้งานเมื่อจะต้องรักษาความลับของเอกสาร มิให้ผู้ใดเปิดดูก่อนถึงปลายทางหรือประทับพระราชสาส์นในการเจริญพระราชไมตรีกับชาติตะวันตกเนื่องจากตราประจำครั่งนั้นเป็นธรรมเนียมตะวันตกมากกว่าธรรมเนียมตะวันออก

(บน) พระคาร์ดินัลเผาแท่งครั่งหยอดลงบนเส้นริบบิ้นผูกหีบพระศพพระสันตะปาปาที่ทำด้วยไม้ไซเปรส (ขวาล่าง) ประทับตราประจำครั่งด้วยพระราชลัญจกรเมื่อครั่งยังอุ่น ๆ ก่อนครั่งจะแข็งตัว (ซ้ายล่าง) ตราครั่งเมื่อแข็งตัวแล้ว จะมีรอยประทับและนูนขึ้นมาเหนือริบบิ้น

พระราชลัญจกรประจำครั่งประจำพระองค์รัชกาลที่ 6 ทำเป็นตราวชิราวุธหรือตราส้อม สร้างด้วยทองคำทั้งองค์  ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538)
หมึกประทับสำหรับตราพระราชลัญจกรของไทยที่เราใช้กันมากกว่าคือชาด หรือที่เราเรียกว่าตราประจำชาด ชาดหรือ Crimson เป็นผงสีชนิดหนึ่งมีสีแดงที่เรียกว่าสีแดงชาด หรืออาจจะเรียกว่าชาดผง ได้มาจากการถลุงแร่ซินนาบาร์ (cinnabarite) อันเป็นเมอร์คิวรี่ซัลไฟต์ (HgS) หรือซัลไฟต์ของปรอท ชาดได้นำมาใช้ในการทำยาไทย หากมาจากธรรมชาติเรียกว่าชาดจอแส อันรับอิทธิพลมาจากจีน ในขณะที่ชาดที่มาจากการสังเคราะห์ทางเคมีก็เรียกว่าชาดหรคุณจีน ช่างเขียนของไทยจะผสมชาดผงกับน้ำมันบางชนิดในครกแล้วบดให้ละเอียดด้วยโกร่งบดยาจนเนียนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อใช้สำหรับเขียนภาพ เช่น ปิดทองแล้วเขียนชาด เรียกว่าเดินทองล่องชาด หรือใช้เขียนบนงานไม้หรือวัสดุอื่น ๆ ก็ได้ หรือผสมน้ำมันสำหรับประทับตราบนสิ่งของ ผงชาดที่บดผสมกับน้ำมันแล้วจะมีลักษณะคล้ายดินเหนียวอ่อนมากกว่าจะเหลวเป็นสีน้ำ อาลักษณ์ผู้ต้องประทับตราพระราชลัญจกรประจำชาดจะอัญเชิญองค์พระราชลัญจกรด้านที่มีการแกะตราไปไปประทับบนแท่นที่บรรจุชาดบดผสมน้ำมันจะคล้ายดินเหนียวก่อน แล้วจึงนำไปกดลงบนกระดาษหรือเอกสารสำคัญอื่น ๆ ต่อไป

(ซ้าย) กล่องไม้บรรจุตราพระราชลัญจกรประจำชาด และแท่นชาดที่บนผสมน้ำมันเอาไว้ หากแห้งเกิดไปน่าจะพรมน้ำมันบนแท่นชาดให้อ่อนตัวลงบ้างนิดหน่อยก่อนจะนำไปใช้ประทับตรา (ขวา) พระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ 7 (องค์ใหญ่และองค์น้อย) และพระราชลัญจกรพระธำมรงค์ประจำครั่ง ที่มา: สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี. (2538)
3.5 ภาษาที่ใช้ในตราพระราชลัญจกร

หน้าตราพระราชลัญจกรนอกจากการแกะเครื่องหมาย (Sign) ต่าง ๆ แล้ว ก็ต้องมีการแกะตัวอักษรเช่นพระปรมาภิไธยหรือชื่อประเทศ

สำหรับตัวอักษรจีนและตัวอักษรแมนจูบนตราพระราชลัญจกรมหาโลโตและตราพระราชลัญจกรมังกรหกนั้นได้รับอิทธิพลมาจากจีนอย่างแน่นอน องค์พระราชลัญจกรเองในชั้นแรกก็แกะที่จีนและได้พระราชทานมาให้พระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งใช้ประทับบนพระราชสาส์นเจริญพระราชไมตรีที่เรียกว่าจิ้มก้อง อันเป็นการแต่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเจริญพระราชไมตรี

ตราพระราชลัญจกรย่อมมีการแกะพระปรมาภิไธยองค์พระมหากษัตริย์ในแต่ละรัชกาลเอาไว้เสมอเช่นตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำรัชกาลเป็นต้น

ตราพระราชลัญจกรที่แกะเป็นอักษรขอมของไทยนั้นก็มีมาก เช่น พระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ พระราชลัญจกรนามกรุง พระราชลัญจกรโลกัคราช เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นภาษาบาลีที่เขียนด้วยตัวอักษรขอม เพราะแต่เดิมสยามใช้อักษรขอม และการเรียนภาษาบาลีของพระภิกษุแต่โบราณก็เรียนด้วยตัวอักษรขอม ก่อนที่จะมีพระไตรปิฏกที่เขียนเป็นตัวอักษรไทยครบทุกเล่มที่เรียกว่าฉบับสยามรัฐก็ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7

ภาษาขอมบนพระราชลัญจกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ่) – บนซ้าย,  ภาษาละตินบนพระราชลัญจกรไอยราพต (องค์กลาง) – บนขวา,  ภาษาจีนและภาษาแมนจูบนพระราชลัญจกรมหาโลโต (ตราอูฐทอง)-ล่างซ้าย, ภาษาไทยบนพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประจำแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว-ล่างขวา
ตราพระราชลัญจกรของไทยที่แกะด้วยภาษาละตินนั้นก็มีอยู่บ้าง เช่น ตราพระราชลัญจกรไอยราพต (องค์กลาง) อันเป็นตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินสันนิษฐานว่าน่าจะเริ่มสร้างและใช้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงศึกษาและแตกฉานภาษาละตินจากสมเด็จพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ พระสหาย ตั้งแต่ยังทรงพระผนวชเป็นวชิรญาณภิกขุ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร นอกจากนี้ในยุคสมัยนั้นภาษาละตินถือว่าเป็นภาษาสากลสำหรับผู้มีความรู้และมีการศึกษาสูงในโลกตะวันตกในยุคนั้นพอดี


กำลังโหลดความคิดเห็น