xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

ใครแพ้-ใครชนะ...หลังการเปลี่ยนแปลงใน “แนวรบ” ต่างๆ???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนไปมอง “ป่าทั้งป่า” หรือมองกันใน “ภาพรวม” ถึงความเป็นไปของสถานการณ์โลก ว่ามันกำลังเป็นไปในแนวไหน? อย่างไร? เพราะถึงแม้จะเกิด “การเปลี่ยนแปลง” อย่างมี “นัยสำคัญ” ใน “แนวรบ” ต่างๆ ดังที่กล่าวไว้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่บรรดาความเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ก็อาจเป็นเพียง “ข้อเท็จจริงในช่วงเปลี่ยนผ่าน” ไม่ได้ถึงกับเป็นความจริงในท้ายที่สุด เพราะคงหนีไม่พ้นต้องผ่านการช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบระหว่างกันและกันของฝ่ายต่างๆ ไปตามจังหวะและโอกาส อีกไม่รู้จะกี่ยกต่อกี่ยก...นั่นแล...

หรืออย่างที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้ให้คำตอบกับบรรดาผู้สื่อข่าวในช่วงการแถลงข่าวประจำปี แบบถามมา-ตอบไป จำนวนถึง 76 คำถาม ไม่ว่าตั้งแต่เรื่องยูเครน ตะวันออกกลาง เรื่องการก่อการร้ายด้วยการลอบสังหารผู้บัญชาการทหารระดับสูงชาวรัสเซีย ไปยันถึงเรื่องหนังโป๊ ฯลฯ...เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยไม่ต้องเสียเวลาใช้ไอพ่ง ไอแพด แบบท่านนายกฯ คุณหลาน “อุ๊งอิ๊งค์” ของบ้านเรา หรือจนต้องใช้เวลาร่วมๆ 4 ชั่วโมง ชนิดเรียกว่าการให้สัมภาษณ์แบบ “มาราธอน” ทำนองนั้น ที่กรุงมอสโกเมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (19 ธ.ค.) ที่ผ่านมา...

โดยในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของแนวรบตะวันออกกลาง...อันเนื่องมาจากการล่มสลายของรัฐบาลประธานาธิบดี “al-Assad” ที่รัสเซียให้การสนับสนุนนั้น ท่านกลับไม่ได้มองว่าเป็นตัวทำให้รัสเซียต้องประสบความอ่อนแอหรือพ่ายแพ้ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะโดยจุดประสงค์ หรือเป้าหมายของรัสเซียในการเข้าไปช่วยเหลือขจัดกวาดล้างพวกผู้ก่อการร้ายตามคำขอร้องของรัฐบาลซีเรีย ต้องถือว่า “บรรลุวัตถุประสงค์” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งฐานทัพของรัสเซีย อย่างเช่นฐานทัพอากาศ “Khmeimim” ก็ยังสามารถใช้การได้อยู่ โดยเฉพาะในการปฏิบัติการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมในซีเรีย ดังนั้น...ผู้ที่คิด ผู้ที่สรุปว่า รัสเซียคงต้องอ่อนระโหยโรยแรง เพราะความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ท่านเลยถือว่าเป็นการคิด การวิจารณ์แบบ “เกินจริงแบบสุดๆ” (greatly exaggerated) อะไรประมาณนั้น...

จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ หรือเป็นเพียงแค่การ “เก็บอาการ” แบบการแลบลิ้น ปลิ้นตาหลอก ของบรรดานักมวยผู้เจนเวที หลังจากถูกหมัดสวนลงไปนอนนับแปด อันนั้น...คงต้องไปใคร่ครวญพิจารณากันตาม “รสนิยม” ของใคร-ของมันเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ผู้ที่ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านสรุป หรืออาจเรียกว่า “เหน็บ” เอาไว้ก็ย่อมได้ ว่าเป็นผู้ที่ได้รับ “ชัยชนะ” มากที่สุดจากฉากสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คือคุณปู่อิสราเอลนั้น สุดท้ายแล้ว...ก็ต้องถือว่าเป็นชัยชนะที่โลกไม่เอาด้วย โลกไม่ยอมรับ หรือเป็นชัยชนะที่ไม่ได้มั่นคง ยั่งยืน ถาวร แต่อย่างใด โดยเฉพาะการเข้าไปยึดบ้าน ยึดเมือง ยึดดินแดนของประเทศซีเรียเอาไว้เป็นของตัว อันถือเป็นการล่วงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเห็นได้โดยชัดเจน จนทำให้ชาติอาหรับและชาวโลกทั้งหลาย รวมทั้งประเทศรัสเซียเอง ต้องออกมาต่อต้าน คัดค้านต่อชัยชนะดังกล่าว อย่างเป็นระบบและกิจการ...

ยิ่งถ้าหากไปไกลถึงขั้นหวังจะดลบันดาลให้เกิด “Greater Israel” หรือการแผ่ขยายอาณาเขตดินแดนของอิสราเอลไปตาม “พันธสัญญา” ที่ได้ทำกับ “พระผู้เป็นเจ้า” ของบรรดาโคตรเหง้าชาวอิสราเอลทั้งหลาย คือตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำไนล์ไปยันลุ่มแม่น้ำยูเฟรติสเอาเลยถึงขั้นนั้น หรือแค่คิดฉวยจังหวะ “นาทีทอง” เล่นงานพี่เบิ้มในตะวันออกกลางอย่างอิหร่าน ไม่ให้มีโอกาสได้ผุด-ได้เกิด หรือได้พัฒนาศักยภาพนิวเคลียร์อีกต่อไป อันนี้...คงไม่น่าจะง่าย หรือไม่น่าจะปอกกล้วยเข้าปากกันได้สักเท่าไหร่นัก เพราะถึงแม้พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียในตะวันออกกลางรายนี้ อาจอ่อนเปลี้ยเพลียแรงลงไปมั่ง แต่ถ้าหากลองไปพิจารณาถึงคำพูด คำจา ของรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาคนปัจจุบัน อย่าง “นายAntony Blinken” ที่ไม่เพียงแต่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เป็นเส้นสายของพวก “บ้าสงคราม” อย่างพวก “Neo-Conservative” มาโดยตลอด ที่ได้ไป “สารภาพ” กับบรรดาผู้ที่มีรสนิยมเดียวกัน ณ สภากิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (The Council on Foreign Relation) เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา (18 ธ.ค.) ด้วยการยอมรับว่าหน่วยงานและรัฐบาลอเมริกันได้ใช้ความพยายามทุ่มทุน ทุ่มเท มาโดยตลอดช่วงระยะกว่า 2 ทศวรรษ หรือตลอด 20 ปีที่จะหาทางโค่นล้ม เปลี่ยนแปลง “ระบอบปกครองอิสลาม” ของอิหร่านให้จงได้ แต่ความพยายามดังกล่าวล้วนแล้วแต่ต้องประสบความ “ล้มเหลว” โดยสิ้นเชิง!!!

อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็ง ความแข็งแกร่งในการยืนระยะ ของระบอบปกครองชนิดนี้ที่แม้จะถูก “แซงชั่น” อย่างหนักหนาสาหัสเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ จากคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรชาวยุโรปนับเป็นทศวรรษๆ เอาเลยก็ว่าได้ ต่างไปจากผู้ประสบ “ชัยชนะ” อย่างรัฐบาล “นายBenjamin Netanyahu” ที่ออกอาการ “ไปแหล่-มิไปแหล่” มาโดยตลอด จนต้องอาศัย “สงคราม” เป็นตัวหล่อเลี้ยงให้พอหลงเหลืออำนาจ บทบาท ไม่งั้นก็อาจถูกลูกหลานชาวยิวด้วยกันเองนับล้านๆ ที่ออกมา “ลงถนน” เที่ยวแล้ว-เที่ยวเล่า “ถีบ” ออกไปให้พ้นๆ ไปจากฐานะ ตำแหน่ง เอาง่ายๆ หรือไม่ก็อาจถูกบรรดาประเทศที่พร้อมยอมรับต่อข้อวินิจฉัยของศาลอาญาระหว่างประเทศ ปฏิบัติการจับกุม คุมขัง ในข้อหา “อาชญากรสงคราม” เมื่อไหร่? ตอนไหน? ได้เสมอ...

เช่นเดียวกับบรรดาพันธมิตรอิสราเอลในโลกตะวันตกทั้งหลาย...ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่คุณพ่ออเมริกาไปยันพวก “พรมเช็ดเท้า” ในยุโรปตะวันตกแต่ละราย ต่างก็แอ่นระแน้ โอนๆ เอนๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ชนิดถึงขั้นที่ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ ยุทธศาสตร์อย่างศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย “South-Eastern Norway” “นายGlenn Diesen” ถึงกับต้องร่ายเรียงข้อเขียน บทความว่าด้วยการ “บอกลา” บรรดาพวกผู้นำรัฐบาลตะวันตกประเภท “ลิเบอร่าน” ทั้งหลายและการตอกย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอเมริกาโดยมี “ทรัมป์บ้า” กลับมาเป็นผู้นำรายใหม่นั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่จะช่วยให้ผู้นำเหล่านี้รอดพ้นจากชะตากรรมอันน่าเศร้าของตัวเองแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงผู้ที่เป็นตัวบ่งบอกถึง “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด” ของประเทศอเมริกาเท่านั้นเอง ตามหัวเรื่องที่ว่าไว้ว่า “Goodbye to the liberal elites : Trump’s no savior, but he correctly identified America’s biggest problem” ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นเอง...

และโดย “ข้อเท็จจริง” ที่กำลังปรากฏให้เห็นในบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลาย...ก็คงยากจะไปต่อล้อ ต่อเถียง ต่อความคิด ความเห็นของศาสตราจารย์รายนี้ ที่ออกไปในแนวดังกล่าว เพราะไม่ว่าจะผู้นำลิเบอร่านในเยอรมนี ฝรั่งเศส แคนาดา ไปจนแม้แต่พันธมิตรห่างๆ ในย่านเอเชียอย่างญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ หรือเกาหลีใต้ ต่างออกอาการล้มคว่ำคะมำหงาย ถูกกรรมการนับแปดไปแล้วด้วยกันทั้งสิ้น เยอรมนีนั้น...ต้องเรียกว่า “จุ๊กกรูๆ” ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้นำหัวล้านอย่าง “นายOlaf Scholz” ที่ถูกโหวตไม่ไว้วางใจหลังการถีบรัฐมนตรีคลังของตัวเองทิ้ง จนเลี่ยงไม่พ้นต้องเลือกตั้งกันใหม่เดือนกุมภาพันธ์ที่กำลังมาถึง ส่วนฝรั่งเศสหลังจากนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี “Emmanuel Macron” แบบขัดสายตาแฟนมวยทั้งหลาย อย่าง “นายMichel Barnier” ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี แม้ว่าผู้นำฝรั่งเศสยังพยายามออกแรง “ตื๊อ” ต่อไป แต่ในสายตาของคู่แข่งทางการเมืองรายสำคัญ อย่าง “นางMarine Le Pen” ผู้นำกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาแห่งพรรค “RN” (National Rally) ที่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อฝรั่งเศสไปเมื่อวันพุธที่แล้ว (18 ธ.ค.) ถือว่า...“หมดแล้ว-ไม่ไหวแล้ว!!!” ไม่ว่าจะโดยสถานการณ์ภายในหรือภายนอกประเทศ ส่งผลให้ตัวเองหนีไม่พ้นต้องเตรียมตัวลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสครั้งใหม่ ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล นับจากนี้...

ไม่ต่างไปจากผู้นำรัฐบาลญี่ปุ่น แคนาดา และเกาหลีใต้ที่ดันไป “รัฐประหารตัวเอง” เอาดื้อๆ จนต้องเตรียม “บอกลา” ไปจากตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองกันไปเป็นรายๆ แม้แต่ผู้นำอังกฤษที่เพิ่งชนะเลือกตั้งครั้งล่าสุดแบบถล่มทลายก็เถอะ แต่ภายใต้บรรยากาศแห่งการพร้อมยอมรับความเป็น “สุนัขพูเดิล” ของคุณพ่ออเมริกา ก็ทำให้คะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีรายใหม่อย่าง “นายKeir Starmer” หล่นฮวบๆ ฮาบๆ หาเวทีประวัติศาสตร์แทบไม่เจอต้องโดดขึ้นเวทีรำวงไปตามมี-ตามเกิด จนกระทั่งผู้นำโลกตะวันตกอย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ใช่ว่าจะสามารถกลับมา “Grear Again” เอาง่ายๆ แม้จะเปลี่ยนม้ากลางลำธารกลายมาเป็น “ทรัมป์บ้า” ก็เถอะ เพราะอย่างที่ศาสตราจารย์ “Glenn Diesen” ท่านสรุปไว้แล้วนั่นแหละว่า เป็นเพียงแค่ตัวบ่งบอกถึง “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด” ของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่อง “ชายแดนที่เปิดโล่ง-เสรีภาพสื่อที่ตกต่ำ-ความเสื่อมศรัทธาของรัฐบาลที่โตขึ้นๆ-อุตสาหกรรมที่ขาดประสิทธิภาพการแข่งขัน-หนี้สินที่สูงล้นพ้นตัวเกินกว่าจะควบคุมได้-สภาพสังคมและวัฒนธรรมที่เลวร้ายและยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปถึงขั้นเลวสุดๆ-บรรยากาศการเมืองที่เต็มไปด้วยการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง-และแม้แต่การทหารที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จากความพยายามที่จะสอดแทรก แทรกแซง ไปทั่วทุกภูมิภาคในโลกใบนี้...ฯลฯ ฯลฯ” ไม่ได้เป็น “savior” หรือผู้ที่จะ “ช่วยให้รอด” แต่อย่างใด...

แม้แต่ในประเทศอเมริกา สังคมอเมริกันก็เถอะ...แค่เจอกับการอนุมัติ-ไม่อนุมัติของรัฐสภาให้รัฐบาล “เพิ่มเพดานหนี้” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ ถึงกับทำให้ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” ต้องออกมาขู่สมาชิกรัฐสภา ว่าอาจนำไปสู่การ “ชัตดาวน์” ระดับเป็น “อัมพาต” ทั่วทั้งประเทศ ไม่ก็อาจต้องย้อนไปสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอยแบบ “Great Depression” อย่างครั้งปี ค.ศ. 1929 โน่นเลย แต่ก็นั่นแหละ...การสร้างหนี้ สะสมหนี้ เอาไว้ถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว แม้จะขยายเพดานหนี้ออกไปเท่าไหร่ นั่นย่อมหนีไม่พ้นที่ต้องทำให้ “อาวุธหลัก” อันทรงอานุภาพไม่น้อยไปกว่ากองทัพอเมริกัน นั่นคือ “เงินยูเอสดอลลาร์” ย่อมไม่อาจดำรงประสิทธิภาพแบบ “เผด็จการดอลลาร์” ในการครอบงำโลกทั้งโลกได้อีกต่อไป แม้จะอาศัย “สงครามเศรษฐกิจ” หรือ “อัตราภาษี” เป็นเครื่องมือแบบไหน? อย่างไร? ก็ตามที...

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่น่าจะทำให้ผู้นำโลก ประมุขโลก อย่างคุณพ่ออเมริกาน่าจะออกไปทาง “Grave Again” หรือหนักไปทาง “ตายแหน่-ตายแหน่” ไม่ใช่ “Great Again” หรือกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่หวังที่ปรารถนาและต้องการแต่อย่างใด หรืออย่างที่คอลัมนิสต์สำนักข่าว “Sputnik” ของรัสเซีย คุณ “Ekaterina Blinova” เธอได้ให้คำนิยามถึงพวก “Deep State” ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุคแต่ละสมัย ว่าเป็นพวกที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอาศัยเงินยูเอสดอลลาร์ครอบงำโลกทั้งโลกมาโดยตลอด แต่ภายใต้ “ทางเลือกใหม่” ที่ทำให้เกิดการละทิ้งเงินดอลลาร์หรือ “De-Dollarization” ไปแทบจะทั่วทั้งโลก พร้อมๆกับการอุบัติขึ้นมาของ “โลกแบบหลายขั้วอำนาจ” นั้น สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าประธานาธิบดีอเมริกันจะเป็นใครก็ตามที ย่อมนำไปสู่ “คำถาม” ตัวโตๆ ที่เธอได้ร่ายเรียงไว้ในข้อเขียน บทความ ว่าด้วยเรื่อง “What’s the US Deep State and How Could De-Dollarization Weaken it?” หรือนำไปสู่คำถามว่าผู้นำ “โลกขั้วอำนาจเดียว” อย่างอเมริกาจะต้องลงไปนอนให้กรรมการนับแปดกันตอนไหน? เมื่อไหร่? เท่านั้นเอง!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น