xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

“โลกขั้วอำนาจเดียว”กำลังล่มสลาย!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัสเซีย
ในเมื่อโลกทุกวันนี้...มันได้กลายสภาพไปเป็น 2 ขั้ว 2 ค่ายอย่างเห็นได้โดยชัดเจน คือ “โลกแบบขั้วอำนาจเดียว” (Unipolar World) กับ “โลกแบบหลายขั้วอำนาจ” (Multipolar World) การวัดตัดสินว่าสุดท้ายแล้ว...โลกแบบไหนจะดำรงคงอยู่ในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้า โลกแบบไหนจะสูญสิ้นเสื่อมสลาย เหลืออยู่แต่ภาพความทรงจำเมื่อครั้งอดีต ไม่ว่าจะโดยกรรมวิธีทางการเมือง-เศรษฐกิจ-หรือการทหารก็แล้วแต่ เลยคงต้องขึ้นอยู่กับว่าบรรดาประเทศ หรือรัฐชาติต่างๆ ภายในโลกใบนี้ จะหันไปเท หันไปถือหาง ให้กับโลกแบบไหน? และอย่างไร? กันแน่!!!

หรืออย่างที่พวก “ขวาใหม่” (Neo conservative) ในอเมริกา เขาพยายามเน้นย้ำความสำคัญเอาไว้ใน “ยุทธศาสตร์แห่งความพ่ายแพ้” ที่เรียกๆ กันว่า “A Three-Theater Defense Strategy” ในนิตยสาร “Foreign Affairs” เมื่อเร็วๆ นี้นั่นแหละว่า ขึ้นอยู่กับการแสวงหา การระดมพันธมิตร หรือการหาสมัครพรรคพวกใน “แนวรบ” แต่ละแนว ได้มาก-น้อยเพียงไหน? ด้วยเหตุนี้...การที่ผู้นำประเทศหมีขาวรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านไม่ได้คิดจะนั่งจับเจ่าอยู่แต่ในบ้าน หรือมั่วอยู่กับสมรภูมิยูเครนในแนวรบยุโรปตะวันออกเพียงลูกเดียวล้วนๆ แต่เพียรพยายามออก “เดินสาย” ไปโน่น-มานี่ ทั้งที่มี “หมายจับ” ของ “ICJ” หรือศาลอาญาระหว่างประเทศ คาเอาไว้ในประเทศต่างๆ เลยเป็นสิ่งที่คงต้องคอยจับ คอยสำรวจตรวจสอบอย่างมิอาจกะพริบตาได้โดยเด็ดขาด...

โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ถือว่ารัสเซียถือเป็นหนึ่งใน “มหาอำนาจคู่แข่ง” ที่จะปล่อยให้โผล่หน้า-โผล่ตาขึ้นมาเทียบเคียงกับมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกขั้วเดียว อย่างคุณพ่ออเมริกาไม่ได้โดยเด็ดขาด ที่ถ้าว่ากันตาม “รายงานข่าว” ของหนังสือพิมพ์ “The Wall Street Journal” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ว่ากันว่า...บรรดาผู้มีอำนาจ บทบาท ในอเมริกาถึงขั้น “เซอร์ไพรส์” หรือประหลาดใจต่อ “การขยายพันธมิตร” ของรัสเซีย ที่อาจถือเป็นภาพสะท้อน “ความล้มเหลว” ของอเมริกาภายในตัวเอาเลยก็ว่าได้ ยิ่งถ้าหาก “ข้อกล่าวหา” หรือข้อสมมติฐานของอเมริกา ต่อบรรดาประเทศต่างๆ ที่ยังคบหาสมาคมกับรัสเซีย เป็นจริง-เป็นจัง ดังที่ได้ “มโน” เอาไว้ เช่น การที่เกาหลีเหนือจัดส่ง “แรงงาน” จำนวนมหาศาลไปช่วยรัสเซียผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือคุณพี่จีนที่ได้จัดหาเทคโนโลยีทางเทคนิคต่างๆ ไม่ว่าอุปกรณ์เครื่องมือไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลเทอร์โบไปจนถึงการเพิ่มและปรับปรุงขีดความสามารถของจรวดแต่ละชนิด เสริมประสิทธิภาพทางทัศนวิสัยของรถถังและยานยนต์ ฯลฯ ให้กับรัสเซีย ขณะที่อิหร่านถึงกับจัดตั้งโรงงานผลิตเครื่องบินโดรน “Shahed-136” เอาไว้ที่ภูมิภาค “Tatarstan” เพื่อผลิตอาวุธชนิดนี้ป้อนรัสเซียกันโดยเฉพาะ ฯลฯ...

ความมีเพื่อน มีสมัครพรรคพวก ที่พร้อมจะยืนหยัดเคียงบ่า-เคียงไหล่ ไม่ว่าจะถูกกดดัน ถูกกล่าวหา ถูกเล่นงานสักเพียงใด แต่ยังพร้อมที่จะเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” กับหมีขาวตัวนี้ ย่อมทำให้ความพยายามรุมมือ รุมตีน รุมกระทืบรัสเซีย โดยคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรยุโรป มันเลยไม่ถึงกับ “ง่าย” สักเท่าไหร่ หรือคงต้องออกเรี่ยว-ออกแรง ชนิดเมื่อยแข้ง-เมื่อยขาไปตามๆ กัน เพราะคงไม่ใช่มีแต่จีน-อิหร่าน-และเกาหลีเหนือแต่เพียงเท่านั้น การเดินสายต่อไปยังประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเวียดนาม ที่ปูพรมแดงต้อนรับผู้นำรัสเซียอย่างเป็นที่เอิกเกริก หรือการอาศัยจังหวะความสับสนอลหม่านทางการเมืองในพม่า ขยายขอบเขตความร่วมมือเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ ฯลฯ จึงทำให้นโยบาย “มุ่งตะวันออก” ของรัสเซีย ไม่เพียงแต่สามารถชดเชยกับสิ่งที่ขาดหายไปจากยุโรป แต่ยังกลับช่วยให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ขายน้ำมัน ขายแก๊ส ขายผลิตผลทางการเกษตร ฯลฯ แบบระเบิดเถิดเทิง สามารถลดภาวะเงินเฟ้อ เพิ่มมูลค่าสกุลเงินตราของตัวเอง เพิ่มปริมาณการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ ฯลฯ ชนิดถึงขั้นกล้าฝันที่จะผงาดขึ้นเป็น 1 ใน 4 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจภายในอีก 6 ปีข้างหน้า เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ยิ่งโดยเฉพาะประเทศในแถบแอฟริกาแทบทั้งทวีป...ที่ต่างหันมาจูบปาก เจ๊าะๆแจ๊ะๆ กับรัสเซีย ชนิดไม่สนใจต่อแรงกด แรงดัน ของมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรยุโรปเอาเลยแม้แต่น้อย โดยถ้าดูจากการออก “เดินสาย” ของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” ตลอดช่วงประมาณปี-สองปีที่ผ่านมา ก็แทบไม่ต้องเสียเวลาตั้งข้อสงสัยใดๆ อีกต่อไป เพราะตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศรายนี้ท่านก็เดินย่ำดินแดนแอฟริกาตะวันตกชนิดส้นรองเท้าแทบสึก ส่วนปลายปีหันไปย่ำดินแดนแอฟริกาเหนือ พบปะรัฐมนตรีต่างประเทศแอลจีเรีย, อียิปต์, มาลี, นามิเบีย, เซียร์ราลีโอน ฯลฯ ส่วนปีนี้ก็หันไปลุยภูมิภาค “Sahel” ของแอฟริกา ไม่ว่ากินี, บูร์กินาฟาโซ, ชาด, คองโก ฯลฯ จนทำให้บรรดาประเทศในภูมิภาคดังกล่าว หันมา “ถีบ” คุณพ่ออเมริการวมทั้งพันธมิตรยุโรปอย่างฝรั่งเศส ออกจากดินแดนตัวเองชนิดแทบไม่หลงเหลือร่องรอยของความเป็น “อาณานิคมยุคใหม่” ติดปลายนวมแต่ละประเทศอีกต่อไปแล้ว...

สำหรับละตินอเมริกา...ก็คงไม่ถึงกับผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ ความเป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกันในความปรารถนาและต้องการที่จะได้เห็นการอุบัติขึ้นมาของ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ระหว่างประเทศพี่เบิ้มในละตินอเมริกาอย่างบราซิล หนึ่งในประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีรัสเซีย-จีน-อินเดีย และแอฟริกาใต้รวมอยู่ด้วย การอาศัยการ “สร้างศัตรู” ของคุณพ่ออเมริกาที่ทำให้ประเทศอย่างเวเนซุเอลา กลายมาเป็น “มิตร” ที่ใกล้ชิดกับรัสเซียเอามากๆ ตลอดไปจนความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ของบรรดาประเทศในละตินอเมริกา ที่ไม่อยากย่ำเท้าอยู่กับวงจรของ “ทฤษฎีพึ่งพา” (Dependency Theory) มานานนับศตวรรษๆ หรืออยากมีอิสระ มีอธิปไตยเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเป็นเพียงแค่ “อาณานิคมแผนใหม่” ของโลกตะวันตกอีกต่อไป อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของอเมริกา อย่างจีนและรัสเซีย สามารถลอดเลื้อยโอบกระหวัดรัดพัน “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกา ชนิดเปลี่ยนจาก “หลังตีน” เป็น “หน้ามือ” ไปเป็นประเทศๆ...

หรือสรุปง่ายๆ ว่า...บรรดาผู้ที่เห็นดี-เห็นงามกับความเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ในทุกวันนี้ ยิ่งมีแต่ “เพิ่ม-กับ-เพิ่ม” ไม่เพียงแต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา หรือบ้านใกล้-เรือนเคียงอย่างมาเลเซีย ที่เตรียมจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม “BRICS” อย่างเป็นทางการ เพราะถ้าว่ากันตามการเปิดเผยของประธานที่ปรึกษาและเลขาฯ คณะกรรมการบริหารเวทีประชุม “SPIEF” (St. Petersburg International Economic Forum) “นายAnton Kobyakov” เมื่อไม่นานมานี้ บรรดาประเทศต่างๆ ไม่น้อยกว่า 59 ประเทศทั่วโลก ต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่จะสมัครเป็นสมาชิกถาวรของ “BRICS” ของ “SCO” (Shanghai Cooperation Organization) ที่ก่อตั้งโดยจีน หรือ “EAEU” (Eurasian Economic Union) ที่ก่อตั้งโดยรัสเซีย อันถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นโดยชัดเจน ว่ารัฐชาติต่างๆ หันไปเท หันไปถือหางฝ่ายใด หรือโลกแบบไหนกันแน่!!!

และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” หรือโลกตะวันตกทั้งหลาย ยิ่งเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว “โฮม อโลน” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ออกอาการเสื่อมโทรม ทรุดโทรม ชนิดต้องรอวันสูญสลาย ล่มสลาย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าอเมริกาหรือพันธมิตรที่ยืนหยัดเคียงบ่า-เคียงไหล่ในยุโรป กระทั่งเสาหลักอียูอย่างเยอรมนีนั้นถึงขั้นที่หัวหน้าคณะบริหารตลาดหุ้น “Deutsche Boerse” อย่าง “นายTheodor Weimer” ถึงกับให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ “The Telegraph” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 10 มิ.ย. ว่าประเทศเยอรมนีกำลังกลายไปเป็น “ประเทศกำลังพัฒนา” ไม่ใช่ “ประเทศพัฒนาแล้ว” อีกต่อไป อันเนื่องมาจากการไร้ความสามารถของผู้นำอย่าง “นายOlaf Scholz” ส่วนฝรั่งเศสโอกาสที่บรรดาพรรคการเมืองฝ่ายขวา หรือฝ่ายที่ไม่เอาด้วยกับอเมริกาในกรณีสงครามยูเครน น่าจะใกล้ผงาดขึ้นมาแทนที่ผู้นำเสรีนิยมใหม่ที่ออกจะ “หิวแสง” อย่างเป็นพิเศษ อย่าง “นายEmmanuel Macron” ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล...

ส่วนผู้ดีอังกฤษที่กำลังเลือกตั้งใหม่ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่กำลังจะมาถึง ถ้าว่ากันตาม “ผลโพล” ของ “Savanta and Electoral Calculus” แล้ว ต้องเรียกว่า...ถือเป็นครั้ง “เลวร้ายที่สุด” เท่าที่เคยมีมาของ “พรรคอนุรักษนิยม” (Conservative Party) ผู้ครองความเป็นรัฐบาลมาถึง 14 ปีเต็มๆ หรืออาจเหลือที่นั่งในสภาฯ เพียงแค่ 53 ที่นั่งจาก 650 ที่นั่ง ไม่ก็ต่ำกว่า 108 ที่นั่ง ถ้าว่ากันตามผลโพลของ “YouGov” หรือกำลังใกล้หมดสภาพความเป็น “สุนัขพูเดิล” ของอเมริกา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธอีกต่อไป ขณะที่ผู้นำโลกขั้วอำนาจเดียวอย่างคุณพ่ออเมริกันนั้น ดังที่คู่แข่ง-คู่ชิงประธานาธิบดีอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้เคยออกปากไว้แล้วนั่นแหละว่า การเลือกตั้งผู้นำอเมริกาครั้งนี้อาจเป็น “การเลือกตั้งครั้งสุดท้าย” ของระบอบประชาธิปไตยอเมริกาเอาเลยก็เป็นได้!!! โดยแนวโน้มเช่นนี้...ไม่ว่าใคร? หรือประเทศใดๆ? ที่ยังคงพอหลงเหลือ “สติ” และ “สัมปชัญญะ” น่าจะพอตัดสินและวินิจฉัยได้ว่า โลกภายในอนาคตเบื้องหน้า จะเป็นโลกแบบไหน? ชนิดไหน? กันแน่...


กำลังโหลดความคิดเห็น