xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

แม้แต่เดียรัจฉานยังรู้จักความเมตตา-แต่เพราะข้าฯ คือ “Netanyahu”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เบนจามิน เนทันยาฮู
เห็นคลิปวิดีโอที่ถ่ายจากรถถัง “Merkana” ของกองทัพอิสราเอล ระหว่างบุกจู่โจมเข้าไปยังพื้นที่ด้านตะวันออกของเมือง “Rafah” เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันจันทร์ที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา แล้วนำมาเผยแพร่ไว้ในโซเชียล มีเดียทั้งหลาย ต้องเรียกว่า...แทบไม่ได้โชว์ให้เห็นถึงความเก่งกล้า-สามารถ ความใจใหญ่-ใจถึงใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่หนักไปทางน่าขะยิดขะเยียน น่าสะอิดสะเอียนนั่นแหละมากกว่า...

คือเป็นภาพที่ผู้อยู่บนรถถังน่าจะมองเห็น “สัญลักษณ์” โดดเด่นอยู่กลางใจเมือง ก่อเป็นรูปตัวอักษรระบุว่า “I love Gaza” หรือ “ฉันรักกาซา” อันถือเป็นสิ่งสะท้อนความรัก-ความผูกพัน ของบรรดาชาวเมือง “Rafah” ต่อบ้านเกิด-เมืองนอน แม้จะมีขนาดแค่แมวดิ้นตายก็ตามที หลังจากดินแดนส่วนใหญ่ถูกบรรดาผู้เรียกตัวเองว่า “ชาวยิว” บุกเข้ายึดเอาพื้นที่แทบทั้งแผงของชาวปาเลสไตน์ไปเป็นประเทศอิสราเอลอยู่จนทุกวันนี้ แต่แทนที่จะเข้าใจต่อ “ความละเอียดอ่อน” ในอารมณ์ความรู้สึกของชาวเมือง “Rafah” หรือบรรดาชาวปาเลสไตน์แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ทหารอิสราเอลผู้ถ่ายคลิปวิดีโอรายนี้ ก็พร้อมที่จะไสรถถังเข้าเหยียบย่ำทำลายสัญลักษณ์ดังกล่าว ให้กลายเป็นเศษซากปรักหักพังไปโดยทันที!!!

ชนิดต้องเรียกว่า...ไม่ใช่แค่ “เหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์” ระดับ “ม.ม้า” วิ่งไล่ไม่ทันเท่านั้น ยังหนักไปทางทั้งหยาบ ทั้งถ่อย จนยากส์ส์ส์เอามากๆ หรือแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย ในอันที่จะเนรมิตแปรสภาพดินแดนฉนวนกาซาภายหลังสงคราม ให้กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครเกลียดชัง หรือคิดร้ายกับ “ชาวยิว” อีกต่อไป นอกเสียจากต้อง “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” บรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งแผง ทั้งยวง ให้ต้องมีอันสูญเผ่า สูญพันธุ์ ลงไปเท่านั้นเอง...

อย่างไรก็ตาม...เอาเป็นว่า หลังจากออก “คำสั่ง” ให้ชาวปาเลสไตน์ที่หนีหัวซุก หัวซุนจากพื้นที่ด้านเหนือ ไปแออัดยัดเยียดอยู่ในเมือง “Rafah” อันเป็นพื้นที่ด้านใต้ของดินแดนดังกล่าว จนมีจำนวนปริมาณผู้คนรวมกว่า 1.5 ล้านคนให้อพยพออกจากเมืองแห่งนี้ เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 6 พ.ค. หรือแค่ไม่น่าจะถึง 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ จากนั้น...เช้าตรู่วันจันทร์ที่ 6 พ.ค. บรรดา “ไอ้เหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์” ทั้งหลาย ก็ยาตราทัพเข้าสู่ภาคตะวันออกเมือง “Rafah” พร้อมกับทิ้งระเบิดใส่หัวกบาลชาวปาเลสไตน์ไม่ว่าจะแอบอยู่ในโรงเรียน หรือในศูนย์อพยพก็ตาม พรวดเดียว!!!...สามารถเพิ่มจำนวนคนตายจาก 34,000 ราย ขึ้นไปอีก 30 ราย หรืออาจตามมาอีกเป็นร้อยๆ พันๆ หรือหมื่นๆ ก็ยังมิอาจคาดเดาได้...

แม้ว่า “โลกทั้งโลก” จะออกมาต่อต้าน คัดค้าน ประณาม ดุด่า ว่ากล่าว ไปจนถึงสะกิดสะเกาเพียงเบาๆ ก็ตาม แต่กลับไม่ได้ส่งผลให้ผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” รู้สึก-รู้สาใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าเสียงกู่ก้องร้องตะโกนจากโลกอาหรับ โลกมุสลิมทั้งหลาย ที่ต่างออกมาต่อต้านกันเป็นแผงๆ รวมไปถึงประเทศต่างๆ ทั้งในแอฟริกา ละตินอเมริกา เอเชีย ยูเรเชีย ฯลฯ ขณะที่อเมริกาและยุโรปอาจหนักไปทาง “คาบคัมภีร์” เอาไว้ในปากซะเป็นหลัก หรือถึงแม้ผู้นำอเมริกาอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” หรือจะเรียกตามฉายาใหม่ว่า “โจ ล้างเผ่าพันธุ์” ก็แล้วแต่ จะทำท่าหงุดหงิด ฉุนเฉียว ต่อการบุกเมือง “Rafah” ที่ถือเป็น “เส้นแดง” หรือ “เส้นตาย” ซึ่งตัวเองพยายามขีดๆ เขี่ยๆ ไว้อย่างหยาบๆ และต้องออกมาป่าวประกาศว่าจะงดส่งระเบิด 2,000 ปอนด์จำนวน 1,800 ลูก ระเบิด 500 ปอนด์อีก 1,700 ลูกไปให้กองทัพอิสราเอล แต่ยังมิวายเน้นย้ำเอาไว้ด้วยว่า “จะไม่หยุดยั้งการสนับสนุนความมั่นคงของอิสราเอล” โดยเด็ดขาด...

โดยถ้ารวมเอา “พฤติกรรม” ต่างๆ นานา...ไม่ว่าการสั่งให้ตัวแทนอเมริกันในสหประชาชาติ คัดค้านมติของนานาชาติที่ต้องการให้รับรองสถานะความเป็นสมาชิกถาวรของประเทศปาเลสไตน์ในองค์กรแห่งนี้ การผ่านกฎหมายมอบเงินอุดหนุนให้อิสราเอลอีก 16,000 ล้านดอลลาร์คราวล่าสุด รวมถึงการสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปราม จับกุมคุมขังบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยทั่วทั้งอเมริกา ที่ลุกขึ้นมาประท้วง ต่อต้านการกระทำของทหารอิสราเอล แถมยังคิดออกกฎหมายสอดส่อง เล่นงาน ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก “Anti-Semitism” อีกด้วยต่างหาก อันนี้...ต้องเรียกว่าออกอาการ “ปากคาบคัมภีร์” หรือ “มือถือสาก-ปากถือศีล” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ชนิดที่นักคิด-นักเขียน คอลัมนิสต์ เจ้าของรายการทอล์กโชว์ในอังกฤษและฝรั่งเศส อย่างคุณ “Rachel Marson” เธออดรนทนไม่ไหว ต้องออกมาร่ายเรียงบทความชื่อว่า “Why Israel is the one thing you can’t protest against in Western University” หรือทำไมถึงอิสราเอลคือสิ่งเดียวที่บรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยตะวันตกทั้งหลายมิอาจลุกขึ้นมาประท้วง คัดค้านใดๆ ได้เลย...

ทั้งที่อันที่จริง...ข้อกล่าวหาเรื่อง “Anti-Semitism” ที่มักถูกหยิบยกมาเล่นงานพวกที่คัดค้าน ต่อต้าน การกระทำของอิสราเอลต่อบรรดาชาวปาเลสไตน์ ไม่ว่าในอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ ทุกวันนี้ ถ้าใครที่มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ขายดิบขายดีเอามากๆ ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 2008 ติดอันดับเบสท์เซลเลอร์นานถึง 19 สัปดาห์ ชนิดต้องพิมพ์ซ้ำถึง 3 ครั้ง แถมยังได้รับรางวัล “Prix Aujour’dhui” จากสื่อมวลชนฝรั่งเศสอีกต่างหาก นั่นก็คือหนังสือเรื่อง “The Invention of the Jewish People” หรือ “การเนรมิตชาวยิว” ที่เขียนโดยชาวยิวแท้ๆ คือ “นายShlomo Sand” ผู้ถือกำเนิดขึ้นมาในครอบครัวชาวยิวในโปแลนด์ รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกนาซีมาได้แบบหวุดๆ หวิดๆ เลยอพยพมาอยู่ที่เมืองจัฟฟาในอิสราเอล เคยเป็นทหารในกองทัพอิสราเอล จบปริญญาตรีภาควิชาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ ปริญญาเอกสาขาเดียวกันจากมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส แล้วกลับไปสอนหนังสือในอิสราเอล จนมีตำแหน่งเป็นถึงศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ในทุกวันนี้...ก็น่าจะถึง “บางอ้อ” ได้โดยไม่ยาก!!!

เพราะในหนังสือเล่มนี้ที่ผ่านการศึกษาค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างถึงลูก-ถึงคน แถมยังอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วยการพิสูจน์ “ดีเอ็นเอ” ผ่านทาง “Y-chromosome” อีกต่างหาก จนสามารถยืนยันได้ว่า...เอาเข้าจริงๆ บรรดา “ชาวยิวแท้ๆ” หรือบรรดาพวก “Semitic” ทั้งหลาย โดยส่วนใหญ่แล้ว...ก็คือบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์แล้วเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม หรือพวกชาวปาเลสไตน์ในทุกวันนี้นั่นเอง ส่วนพวกที่ถือว่าตัวเองเป็น “ชาวยิว” ในประเทศอิสราเอล ไปๆ-มาๆ แล้ว...กลับออกไปทางพวก “ฝรั่ง” นั่นแหละเป็นหลัก หรือพวกผู้ที่มีบรรพบุรุษมาจากโปแลนด์ รัสเซีย ฮังการี ลิทัวเนีย ฯลฯ แต่ชอบเรียกขานตัวเองว่า“อาซเคนาซียิว” (Ashkenazi Jews) อันเนื่องมาจากการหันมานับถือศาสนายูดาห์สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นๆ หรือเอาเข้าจริงๆ แล้ว... “ความเป็นยิว” เป็นเรื่องของศาสนา ไม่ใช่เรื่องของชาติพันธุ์เผ่าพันธุ์ใดๆ มาตั้งแต่เริ่มแรก...

และเหตุที่ทำให้ชาวยิวอย่าง “นายShlomo Sand” จำต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เจ้าตัวอธิบายไว้อย่างลึกซึ้งและน่าประทับใจเอามากๆ นั่นคือ... “ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยจุดประสงค์ 2 ประการใหญ่ๆ อันดับแรก...คือเพื่อให้ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศที่ยอมรับต่อจิตวิญญาณความเป็นประชาธิปไตย พร้อมที่จะดำรงตนเป็นสาธารณรัฐได้อย่างแท้จริง ประการที่สอง เพื่อต่อต้านแนวคิดชาตินิยมยิว หรือลัทธิยิวนิยม (Jewish Essentialism) ของพวกไซออนิสต์ ที่พยายามดัดแปลงศาสนายูดาห์เสียใหม่ เพื่อทำให้ความเป็นยิวเป็นเรื่องชาติพันธุ์ ไม่ใช่เรื่องความเชื่อ ความศรัทธาทางศาสนาอีกต่อไป...เพราะนี่คืออันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากมันไม่ต่างไปจากการสนับสนุนลัทธิเหยียดเชื้อชาตินั่นเอง”...

แต่ก็นั่นแหละ...คงต้องยอมรับว่า เหตุที่ผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายNetanyahu” พร้อมเล่นบทเป็นพระเอกหรือนางเอกหนังไทยของบ้านเรา เรื่อง “วอนทั้งโลก...โขกหัวเธอ” อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์-หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น ก็น่าจะมาจากความเชื่อมั่นว่าผู้ที่มีอำนาจ อิทธิพล อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกาและประเทศตะวันตกทั้งหลาย อันได้แก่พวก “บรรษัทข้ามชาติ” ที่เต็มไปด้วยบรรดา “นักธุรกิจชาวยิว” โดยส่วนใหญ่ และได้นำเอาแนวคิด “เสรีนิยมใหม่” (Neoliberal) หรือแนวคิดที่ “David C. Korten” ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “เมื่อบรรษัทครองโลก” และ “โลกยุคหลังบรรษัท” ได้สรุปย่อๆ ไว้ประมาณว่า หมายถึง “ผู้ที่ให้การสนับสนุนการลดขนาดและการแปรรูปหน่วยงานรัฐบาล (Privatization) สนับสนุนให้ลดกฎเกณฑ์ทางการตลาด กำจัดพรมแดนทางเศรษฐกิจเพื่อให้พลังแก่การครอบครองอย่างอิสระแก่ทุนนิยมในนามตลาดเสรี” มาใช้ควบคุมรัฐบาลต่างๆ หรือโลกทั้งโลกนับตั้งแต่ยุคโลกาภิวัตน์เป็นต้นมานั่นเอง ที่พร้อมจะ “เขียนบท” และ “กำกับการแสดง” เพื่อให้ตัวเองสามารถเล่นบทเป็นพระเอก หรือนางเอกหนังเรื่องนี้ได้โดยไม่ยาก...

กองทัพอิสราเอลภายใต้การบัญชาของผู้นำรายนี้ จึงไม่ได้คิดจะสนใจโลกทั้งโลก และไม่ได้ให้ความสำคัญต่อ “คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์” เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้หลงเหลือ “ความเมตตา-สงสาร” ต่อมนุษย์มนาใดๆ เอาไว้เลย แม้ว่าก่อนหน้านั้นผู้อำนวยการบริหาร “UNICEF” “นางCatherine Russel” จะอ้อนวอน วิงวอน ไว้ในแถลงการณ์ถึงขั้นว่า... “เมือง Rafah คือเมืองของพวกเด็กๆ ที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ไหนในดินแดนกาซาถึงจะปลอดภัย แต่ถ้าปฏิบัติการครั้งใหม่ของอิสราเอลเริ่มต้นขึ้นไม่เพียงแต่เด็กๆ เหล่านี้จะตกอยู่ในความเสี่ยงจากความรุนแรง แต่ยังจะก่อให้เกิดความสับสนอลหม่าน ความตื่นตระหนกที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ”...

แต่ก็อย่างว่า...สิ่งที่เรียกว่า “ความเมตตา-สงสาร” สำหรับผู้นำอิสราเอลรายนี้ มันอาจคล้ายๆ กับคำพูดของตัวละครในบทละครเรื่อง “พระเจ้า Richard ที่ 3” ของ “William Shakespeare” นั่นเอง ที่ว่าเอาไว้ว่า... “No beast so fierce but knows some touch of pity, but I knows none, and therefore am no beast.” หรือแม้แต่สัตว์เดียรัจฉานยังรู้จักความเมตตา-สงสาร แต่ด้วยเหตุเพราะข้าฯ ไม่รู้...ข้าฯ เลยไม่ใช่สัตว์เดียรัจฉาน ส่วนข้าฯ จะเป็นอะไรที่เลวทราม ต่ำช้า ยิ่งกว่าเดียรัจฉานหรือไม่? เพียงใด? เราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลายคงต้องลองไปคิดเอาเองก็แล้วกัน...


กำลังโหลดความคิดเห็น