xs
xsm
sm
md
lg

ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างผู้นำยูเครนกับผู้นำอิสราเอล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



แค่เฉพาะประเทศสมาชิกสหประชาชาติถึง 153 ประเทศ...พร้อมใจกันสวนหมัด สวนความปรารถนา-ต้องการ ของคุณพ่ออเมริกาและอิสราเอล สนับสนุนการ “หยุดยิง” โดยฉับพลัน-ทันที ใน “สงครามอิสราเอล-ฮามาส” มีแค่ 10 กว่าประเทศเท่านั้น ที่ยังพร้อมสูดกลิ่นมาดามหอมชื่นใจจากรูทวาร (asshole) ของอเมริกา ย่อมถือเป็นความน่าอับอายขายหน้า ความ “หน้าแตก-หน้าแหก” เป็นปลาริ้วแห้งของ “ประมุขโลก” และประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์อยู่พอสมควรแล้ว...

แต่ยิ่งเมื่อมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกหันไปเหล่ หันไปเล่นงานกองกำลังเล็กๆ อย่างพวก “กบฏฮูตี” ในเยเมน ด้วยการระดมประเทศพันธมิตร 20 ชาติ เข้ามาสร้างความร่วมไม้-ร่วมมือในการปกป้อง คุ้มครองทะเลแดง ภายใต้ปฏิบัติการ “Operation Prosperity Guardian” ในนามกองกำลัง “CTF-153” กลับยิ่งเป็นตัวเพิ่มความอับอาย ขายหน้า ยิ่งขึ้นไปอีกเพราะไม่ว่าพันธมิตรที่เคยหยัดยืน เคียงบ่า-เคียงไหล่ อย่างบรรดาชาติยุโรป ไม่ว่าฝรั่งเศส สเปน อิตาลี เยอรมนี ยันไปถึงพันธมิตรด้านใต้อย่างออสเตรเลียโน่นเลย ต่างออกอาการอิดๆ ออดๆ ยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกักกันไปเป็นแถวๆ ชนิดถึงกับทำให้สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” อดไม่ได้ที่จะต้องเสียดสี เหน็บแนมไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดเมื่อวัน-สองวันมานี้ ว่าด้วยเรื่อง “Cracks in Red Sea alliance underline US-Europe division, embarrassment of US leadership” หรือการย่อยแยกแตกกระจายในความเป็นพันธมิตรระหว่างอเมริกา ยุโรปในปฏิบัติการทะเลแดง สะท้อนให้เห็นถึงน่าอับอายขายหน้า ในความเป็นผู้นำของคุณพ่ออเมริกาอย่างเห็นได้โดยชัดเจน!!!

คือพูดง่ายๆ ว่า...ความพยายามหนุนช่วย “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอลโดยไม่คิดสนใจต่อชาวโลก ต่อมนุษย์มนา หรือต่อชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เอาเลยแม้แต่น้อย กำลังส่งผลให้ประมุขโลกอย่างอเมริกาทำท่าว่าจะ “พัง” ตามอิสราเอลไปด้วย โดยเฉพาะต่อพันธมิตรที่เคยร่วมเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมานาน อย่างบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย ที่ออกจะกระอักกระอ่วนกับการต้องกล้ำกลืน ฝืนทน ต่อความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ของอิสราเอลเต็มที บรรยากาศของการรวมมือ รวมตีน เพื่อรุมกระทืบกลุ่มกบฏเล็กๆ ในเยเมน มันเลยแตกต่างไปจากครั้งการรุมสหบาทาประเทศเล็กๆ อย่างอัฟกานิสถาน อิรัก หรือลิเบีย ฯลฯ แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน หรือทำให้บทบาท อำนาจอิทธิพลของอเมริกาในการนำพาชาวโลกไปสู่สวรรค์หรือนรกก็ตาม ชักออกอาการ “สาละวัน-เตี้ยลง...เตี้ยลง” ไปตามลำดับ อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไม่ว่าในทางภูมิรัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ สังคมระดับโลก ภายในอนาคตเบื้องหน้าอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของผู้นำ “ขวาสุดกู่” อย่าง “นายBenjamin Netanyahu” จึงต้องเพียรพยายามฉุดกระชากลากถู หาทางให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้อง พัวพัน กับ “สงคราม” ของอิสราเอล อย่างชนิดถอนตัวไม่ขึ้นยิ่งเข้าไปทุกที ไม่เพียงแต่ประกาศเดินหน้าสู้รบกับพวก “ฮามาส” และเข่นฆ่า ล้างผลาญบรรดาชาวปาเลสไตน์ต่อไปโดยไม่คิดจะสนใจต่อชาวโลกเอาเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าหากต้อง “หยุดยิง” หรือต้องยุติการเข่นฆ่าล้างผลาญลงไปเมื่อไหร่ โอกาสที่ตัวเองจะถูก “ถีบทิ้ง” ไม่ว่าโดยบรรดาชาวโลก หรือกระทั่งชาวอิสราเอลด้วยกันเองที่รับไม่ได้ รับไม่ไหว ไม่เพียงแต่ต่อความกระหายเลือด กระหายสงครามเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความคดในข้อ งอในกระดูกของผู้นำรายนี้ หรือการทุจริต คอร์รัปชัน จนต้องหาทางออก-ทางไปด้วยการบั่นทอน ทำลาย อำนาจของฝ่ายตุลาการ ชนิดก่อให้เกิดการประท้วง ต่อต้าน ภายในประเทศเกือบเป็นปีๆ เข้าไปแล้ว...

ดังนั้น...การ “ยืดเวลา” สงครามออกไป รวมทั้งความพยายามที่จะ “ขยายวง” ให้ไปเกี่ยวข้อง พัวพัน กับศัตรู-คู่อาฆาตของอเมริกาอย่างอิหร่าน เป็นต้น จึงเริ่มอุบัติขึ้นมาอย่างเป็นขั้น เป็นตอน ไม่เพียงแต่ทำให้อเมริกาต้องหันไปกล่าวหาอิหร่านว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกบฏฮูตี ในการสร้างความไม่ปลอดภัยให้กับเรือสินค้าในทะเลแดงเท่านั้น การส่งเครื่องบินโจมตีของกองทัพอากาศอิสราเอล ไปหย่อนระเบิดใส่ย่านที่พักอาศัยในเมือง “Zeinabiyah” บริเวณชานกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรียเมื่อช่วงวันจันทร์ (25 ธ.ค.) ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายค่อนข้างแน่ชัดว่าเพื่อ “ลอบสังหาร” ที่ปรึกษาอาวุโสกองทัพ “IRGC” (The Islamic Revolution Guards) ของอิหร่าน “นายพลSeyed Razi Mosavi” จนต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ ไม่ต่างไปจากครั้งการลอบสังหาร “พลโทQassem Soleimani” โดยอเมริกาในปี ค.ศ. 2020 จึงแทบไม่ต่างไปจากความพยายามฉุดกระชากลากถูให้เกิดการ “เผชิญหน้า” หรือการ “ขยายวง” ของสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางนั่นเอง...

แต่ก็นั่นแหละ...ถึงแม้รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายHossein Amir Abdollahian” ประกาศว่าต้องล้างแค้น-เอาคืนอยู่แล้วแน่ๆ หรือเครือข่ายอิหร่านในเลบานอน อย่างพวก “Hezbollah” จะถือว่าการกระทำของอิสราเอลคราวนี้ เป็นการ “ละเมิดเส้นแดง” ไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่ระงับความเปรี้ยวมือ-เปรี้ยวตีนเอาไว้ก่อน โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะบานปลาย ปลายบาน ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ และนั่นเท่ากับส่งผลให้เกิดการเข้าทางเท้า-เข้าทางตีนผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายNetanyahu” ที่ต้องการจะ “ยืดเวลา” และ “ขยายวง” สงคราม อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ การชั่งน้ำหนัก การรอจังหวะเวลาในการตอบโต้-เอาคืน แบบชนิด “ลูกผู้ชาย...ล้างแค้น 10 ปีก็ยังไม่สาย” จึงถือเป็นเรื่องที่บรรดาฝ่ายตรงข้ามของอิสราเอล คงต้องไปคิดคำนวณกันเอาเอง...

เพราะที่แน่ๆ ก็คือ...การทำสงครามโดยไม่คิดจะสนใจต่อกระแสเสียงของชาวโลก การสังหาร พร่าผลาญพลเรือนผู้บริสุทธิ์นับเป็นหมื่นๆ เลยไปกว่า 2 หมื่นคนเข้าไปแล้วอาจเป็นตัวนำพาอิสราเอลไปสู่ “ยุทธศาสตร์แห่งความพ่ายแพ้” ดังที่รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกันเอง “พลเอกLloyd Austin” เคยออกปากเตือนเอาไว้ดังๆ มาแล้วนั่นเอง แม้ว่าศพของพวกเด็กๆ ผู้หญิง คนแก่-คนชราชาวปาเลสไตน์จะล้มตายระเนนระนาดไม่ต่างไปจากใบไม้ร่วง แต่สำหรับ “ค่าใช้จ่าย” ในการเข่นฆ่า ล้างผลาญเช่นนี้ ก็กำลังกลายเป็นตัวบ่อนทำลาย “ระบบเศรษฐกิจ” ของประเทศอิสราเอลทั้งประเทศ แบบหนักหนา-สาหัสมิใช่น้อย ดังที่ “Bank of Israel” ได้คำนวณเป็นตัวเงิน เป็นตัวเลขกลมๆ ว่าต้องสูญเสียเงินทองสำหรับสงครามในแต่ละวัน ไม่ต่ำกว่า “วันละ 270 ล้านดอลลาร์” เป็นอย่างน้อย หรือประมาณ 10 สัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องทุ่มเทเม็ดเงินกว่า 53,000 ล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว...

แถมวัน-สองวันมานี้ ทั้งประธานสมาคมอุตสาหกรรมอาหาร (The Food Industries Association of Israel-FIAI) และประธานสมาคมโรงงาน (The Manufacturers Association of Israel-MAI) ต่างออกมาประสานเสียงแบบคอรัส-รัดคอ ว่าความยืดเยื้อของสงครามอิสราเอล-ฮามาส กำลังก่อให้เกิด “วิกฤตเศรษฐกิจ” และ “วิกฤตอาหาร” ในอิสราเอล ชนิดไม่เพียงแต่ตัวเลขจีดีพีในปี ค.ศ. 2024 จะหดหายไปไม่ต่ำกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังอาจส่งผลให้ลูกหลานชาวยิวถึงกับต้อง “อดมื้อ-กินมื้อ” ไปอีกตราบนานเท่านาน เพราะไม่เพียงแต่พื้นที่โครงสร้างการผลิตอาหารในบริเวณภาคเหนือ-ภาคใต้ต้องหยุดชะงักไปเพราะการทำสงคราม หรือการเตรียมตัวรับมือกับสงครามที่อาจลุกลามขยายวงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่การสร้างแรงกดดันของพวกกบฏฮูตีในทะเลแดง ยังทำให้การส่งสินค้าไปยังเมืองท่าต่างๆ ในอิสราเอล หดหายไปถึง 82 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ความพยายามชักลากสงครามให้ยืดเยื้อยาวนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ หรือพยายามขยายวงสงครามให้ลุกลามบานปลายเพื่อที่จะฉุดกระชากลากถูมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ให้ต้องพัวพันกับ “ปัญหา” ของอิสราเอล ต้องยอมเป็นส่วนหนึ่งของ “ยุทธศาสตร์แห่งความพ่ายแพ้” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ เพื่อหวังจะดำรง รักษา “อำนาจ” ของผู้นำอิสราเอลให้ยืดยาวยิ่งขึ้นไปเท่านั้น กลับยิ่งกลายเป็นตัวบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจ สังคมของประเทศอิสราเอลทั้งประเทศ ให้ต้องพังพินาศตามไปด้วย อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที หรือทำให้รูปร่าง หน้าตา ของนายกรัฐมนตรี “Netanyahu” ชักละม้ายคล้ายคลึงกับ “นายVolodymyr Zelensky” ประธานาธิบดี “ตัวตลก-ตัวแทน” แห่งประเทศยูเครนยิ่งขึ้นไปเท่านั้น คือต่างไม่ได้คิดสนใจต่อความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศตัวเองหรือประชาชนของตัวเอง มากมายสักเท่าไหร่ หวังเพียงแค่ให้ “ตัวกู-ของกู” ยังคงมีบทบาท อำนาจ อยู่ในสถานะ ตำแหน่งผู้นำประเทศอีกต่อไปเท่านั้นเอง!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น