ความจริงเริ่มปรากฏแล้วว่าวันที่ 7 ตุลาคมเมื่อกลุ่มกองกำลังฮามาส บุกเข้าโจมตีอิสราเอลทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศโดยใช้พารามอเตอร์ ส่วนหนึ่งของผู้เสียชีวิตถูกสังหารโดยกองทัพอิสราเอล
กองทัพอิสราเอลมีกฎที่เรียกว่า Hannibal Directive ซึ่งอนุญาตให้ทหารอิสราเอลฆ่าพวกเดียวกันไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือนเพื่อไม่ให้ต้องถูกจับเป็นเชลย
แนวทางปฏิบัติเช่นนี้ถูกใช้วันที่ 7 ตุลาคมที่หมู่บ้านเบรี Kibbutz Beeri ซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธฮามาส จับกุมตัวชาวอิสราเอลภายในบ้านเพื่อเอาไว้เป็นตัวประกัน
มีหลักฐานปรากฏด้วยสื่อและผู้รู้เห็นชาวอิสราเอลว่ามีรถถัง Merkava ปรากฏขึ้นและใช้ปืนยิงถล่มอาคารที่มีชาวยิวและนักรบฮามาสอยู่ข้างใน
ผลปรากฏว่าในหมู่บ้านนี้มีประชาชนชาวยิวเสียชีวิตอย่างน้อย 112 ราย ซึ่งสิ่งนี้รัฐบาลอิสราเอลไม่ประกาศ
ที่เหลือถูกลักพาตัวไปด้วยกองกำลังฮามาส 11 วัน หลังจากการสังหารหมู่ ได้มีการรื้อค้นซากของบ้านหลายหลังในชุมชนนั้นพบร่างของหญิงและลูกชายซึ่งเชื่อกันว่ายังมีอีกหลายศพถูกฝังอยู่ใต้ซากนั้น
ถ้าหลักฐานถูกเปิดเผยว่าอิสราเอลสังหารพวกเดียวกันเองภายใต้กฎฮันนิบาล ฝ่ายปาเลสไตน์และชาวอิสราเอลที่รักความเป็นธรรมย่อมผนึกกำลังเรียกร้องความยุติธรรมโดยเฉพาะกลุ่มญาติของผู้เสียชีวิต
ในวันนั้นช่วงแรกรัฐบาลอิสราเอลของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู อ้างว่ามีชาวยิวถูกสังหารมากกว่า 1,200 รายแต่ภายหลังปรากฏหลักฐานว่ามียอดผู้เสียชีวิตต่ำกว่านั้น
มีหลักฐานได้ว่า มีเฮลิคอปเตอร์แบบโจมตีอาปาเช่ของกองทัพอิสราเอลไล่ยิงกราดพลเรือนที่ไปร่วมในเทศกาลดนตรีและวิ่งหนีกระเจิง ขณะที่กองกำลังฮามาสบุกเข้าชายแดนอิสราเอล
อย่างน้อยมีพยานเห็นว่ามีเฮลิคอปเตอร์สองลำไล่กราดยิงประชาชนที่ไปชมดนตรีเสียชีวิตมากมายเพียงเพื่อต้องการไม่ให้คนเหล่านั้นถูกจับเป็นเชลย
ภายใต้ของแนวทางปฏิบัติฮันนิบาลนั้นเป็นเหมือนคำสั่งที่ว่าให้ทหารอิสราเอลฆ่าแม้กระทั่งพวกเดียวกันเพื่อไม่ให้ถูกเป็นเชลยเพราะจะเป็นการยืดเยื้อในการเจรจาต่อรองแลกตัวประกัน
มีคำพูดว่า “ทหารอิสราเอลที่เสียชีวิตแล้วย่อมดีกว่าทหารอิสราเอลที่ถูกจับเป็นเชลยหรือตัวประกัน” ดังนั้นแนวทางปฏิบัติ Hannibal Directive หรือ Hannibal Protocol จึงถูกนำมาใช้ให้เห็นชัดเจนวันที่ 7 ตุลาคม
ดังนั้นผู้เสียชีวิตในชุมชนชาวยิววันนั้นจึงเป็นฝีมือของทหารอิสราเอลมากกว่าเป็นการสังหารโดยกลุ่มฮามาส และสื่อของอิสราเอล Haaretz ซึ่งได้อ้างปากคำของผู้รอดชีวิตจากการถูกสังหารโดยเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธวันนั้น
จะเห็นได้ว่าช่วงการสู้รบ 46 วันหลังจากวันที่ 7 ตุลาคมนั้นกองทัพอิสราเอลได้สังหารชาวปาเลสไตน์มากกว่า 14,000 รายและมีผู้บาดเจ็บกว่า 30,000 ราย เด็กเสียชีวิตและบาดเจ็บกว่า 10,000 ราย
แต่สุดท้ายอิสราเอลต้องยอมเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกันชาวยิว และชาวปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังในคุกอิสราเอลในช่วงแรกของการหยุดยิง 4 วัน
ในรอบแรกนั้นมีข้อตกลงว่าอิสราเอลต้องส่งตัวผู้ถูกคุมขังชาวปาเลสไตน์ 150 รายแลกกับตัวประกันชาวยิว 50 ราย และเมื่อครบกำหนดแล้วก็มีข้อตกลงหยุดยิงต่ออีกสองวันโดยชาวยิวถูกปลดปล่อยวันละ 10 คน
นี่คือความยุ่งยากที่รัฐบาลอิสราเอลและกองทัพไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะมีหลักการว่าจะไม่ยอมเจรจาต่อรองกับผู้ก่อการร้ายหรือกลุ่มหัวรุนแรง
คำประกาศของผู้นำรัฐบาลอิสราเอลและกองทัพว่าจะต้องกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธฮามาส ให้หมดสิ้นจากฉนวนกาซา ดังนั้นจึงเห็นสภาพของความพินาศย่อยยับของเมืองกาซาโดยโรงพยาบาลและโครงสร้างสาธารณูปโภคถูกทำลายหมดสิ้น
กองทัพอิสราเอลและผู้นำรัฐบาลกำลังถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงครามและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยละเมิดกฎทุกอย่างของประชาคมโลกโดยมีรัฐบาลสหรัฐฯ หนุนหลังและเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย
แต่การสังหารพวกเดียวกันโดยทหารอิสราเอลแล้วโยนให้เป็นความผิดของกองกำลังฮามาส สมควรถูกเปิดโปงอย่างเป็นระบบ โดยการไต่สวนของคณะกรรมการของสหประชาชาติเพื่อให้รู้ความจริง
แนวปฏิบัติฮันนิบาลนั้นจึงถูกมองว่าโหดร้ายและเป็นการตัดตอนเพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากในการเจรจาต่อรองเพื่อแลกเชลยศึกหรือตัวประกัน
ดังนั้นการโจมตีฉนวนกาซาซึ่งมีตัวประกันถูกจับกุมอยู่นั้น จึงทำให้เห็นว่ากองทัพอิสราเอลไม่ได้ใส่ใจว่าจะต้องสังหารพวกเดียวกันและฮามาส อ้างว่ามีตัวประกันถูกสังหาร 60 รายเมื่อกองทัพอากาศอิสราเอลโจมตีทิ้งระเบิดในฉนวนกาซา
จะเห็นได้ว่าตัวประกันที่กลุ่มฮามาสปล่อยตัวมานั้นไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้ายและได้รับการดูแลตามสภาพซึ่งมีชาวไทยร่วม 20 รายถูกปล่อยมาด้วย
รัฐบาลอิสราเอลกำลังอยู่ในสภาวะจำยอมที่จะต้องเจรจาแลกตัวประกัน ขณะเดียวกันก็ถูกโดดเดี่ยวโดยประชาคมโลกเมื่อมีหลักฐานปรากฏว่าได้ทำลายฉนวนกาซาและสังหารประชาชนมากกว่า 14,000 รายทั้งเด็กและสตรีกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิต
ถ้าจะต้องกำจัดกลุ่มติดอาวุธในฉนวนกาซาตามคำประกาศของผู้นำรัฐบาลอิสราเอลและกองทัพก็จะต้องมีการสังหารประชาชนชาวเลสไตน์อีกหลายหมื่นคนหรือเป็นแสนๆ
ที่ผ่านมามีตัวเลขอ้างว่ากลุ่มติดอาวุธฮามาสเสียชีวิตเพียง 1 พันราย ดังนั้นกองทัพเอกอิสราเอลต้องใช้เวลาและทุ่มเทอีกมากเพื่อกวาดล้างให้หมด
นั่นแทบเป็นไปไม่ได้เพราะทหารอิสราเอลจะต้องเสียชีวิตมากและมีข่าวว่าได้สูญเสียรถถังและยานรบมากมาย ขณะที่มีความเสี่ยงสูงในการบุกเข้าไปใจกลางฉนวนกาซา
ต้องรอดูว่าหลังจากครบกำหนดสองวันที่ต่อเพื่อแลกตัวประกันแล้วกองทัพอิสราเอลจะยังบุกเข้าไปในฉนวนกาซาอีกหรือไม่ และประชาคมอาหรับมุสลิมจะยอมอยู่นิ่งเฉยหรือไม่
มีความกังวลร่วมกันว่าสงครามครั้งนี้ไม่ควรจะขยายตัวออกไปจากพื้นที่ฉนวนกาซาและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน
แต่ถ้าอิสราเอลยังไม่เลิกสังหารชาวบ้านอาจจะมีกลุ่มอื่นเข้าร่วมเช่น เฮซบอลเลาะห์ ในเลบานอน ซึ่งมีกำลังรบที่จะถล่มเป้าหมายในอิสราเอลด้วยจรวดและขีปนาวุธจำนวนมาก