และแล้วผู้นำรัฐบาลท่านเศรษฐาเศรษฐีก็ได้ฤกษ์งามยามดีเปิดเผยโครงการแจกเงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท กับโครงการเสริมอีก 1 แสนล้านบาท หลังจากให้ชาวบ้านคาดเดามานาน
ปรากฏว่ารายละเอียดของการแจกเงินทั้งจำนวนเงินและเงื่อนไขต่างๆ ไม่ตรงกับบรรดาหนังหน้าไฟซึ่งเป็นแพะรับบาปรับบทอธิบายโครงการก่อนหน้านี้
ชาวบ้านเรียกว่าไม่ตรงปก บางคนก็บอกว่า พลิกจากหน้ามือเป็นหลังอะไรก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าตั้งแต่เริ่มหาเสียงจนถึงวันเปิดเผยสุดท้ายไม่มีอะไรตรงกัน
เหมือนกับมีคนมานั่งเล่านิทาน 3-4 คน แต่ละคนพูดหัวข้อเดียวกันคือโครงการแจกเงินดิจิทัล แต่มีรายละเอียดและเงื่อนไขต่างกัน เหมือนคนตาบอดคลำช้าง
ในที่สุดท่านเศรษฐาเศรษฐีก็ยอมรับว่าโครงการนี้ต้องพึ่งระบบเป๋าตังของธนาคารกรุงไทยไม่ได้เป็นระบบบล็อกเชนที่คิดค้นมาใหม่ตามคำคุยโม้ก่อนนี้
หลังจากแถลงข่าวท่านเศรษฐาเศรษฐีก็เดินหนีไม่ยอมตอบคำถามผู้สื่อข่าวแม้แต่คนเดียว ไม่อธิบายด้วยว่ามีปัญหาอะไร อ้างว่ามีข้อมูลเอกสารเยอะ
คนรู้ทันบอกว่าไม่มีข้อมูลอะไรหรอก นึกอะไรได้ก็พูดอย่างนั้นเหมือนกับการแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่มีข้อมูลอะไรเป็นพื้นฐาน
หลังจากแถลงข่าวแล้วก็ถึงวาระที่ต้องเดินทางไปประชุมเอเปกที่สหรัฐฯ อ้างว่าจะไปชักชวนนักลงทุนมาร่วมโครงการแลนด์บริดจ์ มูลค่าหลายแสนล้าน
ก่อนหน้านี้ไปประชุมยูเอ็นก็ได้พบปะกับกลุ่มทุนใหญ่ อ้างว่าจะมีคนมาร่วมโครงการมากมาย ก็ยังไม่ปรากฏ ซึ่งชวนให้เข้าใจว่านักลงทุนย่อมดูว่ารัฐบาลเศรษฐาเศรษฐีจะอยู่ได้นานหรือใหม่
ดูบรรยากาศแวดล้อมทุกวันนี้ก็เป็นสภาพร่อแร่เต็มทนและก็ยังไม่รู้ว่านายกฯ ตัวจริงเป็นใครและจะมาเมื่อไหร่
การที่แถลงข่าวแล้วรีบออกไปทำให้คนสงสัยอีกแล้วว่าคงไม่มีรายละเอียดข้อมูลที่จะบอก เพียงแต่ว่าทนแรงกดดันไม่ได้ว่าโครงการนี้ไปไม่รอด
เพราะเป็นอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา แม้กระทั่งจะเป็นกระบอกข้าวหลามก็เป็นไปไม่ได้
หลังจากแถลงข่าวมีเสียงค้านระงมจากสารพัดทิศ ว่าโครงการเป็นไปได้ยากเพราะขัดต่อกฎหมายและไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และการจะออกพระราชบัญญัติเป็นเหมือนเพียงให้โครงการตกไป
ประเด็นสำคัญที่ท่านเศรษฐาเศรษฐีมาเปิดก็คือต้องกู้เงิน หลังจากก่อนหน้านี้ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่มีการกู้แม้แต่บาทเดียว เมื่อเป็นอย่างนี้เท่ากับว่าที่ผ่านมานั้นเป็นการโกหกพกลมหลอกชาวบ้านซึ่งหน้า
คำถามทันทีก็คือ จะกู้จากไหน รูปแบบไหนและใครจะให้กู้ จะมีเจ้าหนี้กี่รายที่เต็มใจให้กู้โดยที่ไม่รู้ว่า รัฐบาลจะอยู่นานแค่ไหน
นี่เป็นปัญหาของความน่าเชื่อถือ ความไม่น่าไว้วางใจเพราะการพูดไม่อยู่กับร่องกับรอยทำให้ประชาชนขาดศรัทธาแม้จะมีคนส่วนหนึ่งต้องการเงินมากก็ตาม
การจะหากู้เงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นในขณะที่สภาพคล่องมีปัญหาไม่ใช่เรื่องง่าย และหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยที่รายได้จะเข้ามานั้นดูเลือนราง
ดูอย่างไรก็เป็นทางตันเว้นแต่ท่านเศรษฐาเศรษฐีจะมีคาถา เวทมนต์เสกเงินจากอากาศได้
ปีหน้าจะมีหุ้นกู้มูลค่า 1 ล้านล้านบาท ครบวาระและถ้าไม่มีการไถ่ถอน ผู้ออกหุ้นกู้จะต้องกู้ใหม่ เอาเงินใหม่มาใช้หนี้เก่าอย่างที่เรียกว่าเป็นการ roll over
สภาพอย่างนี้เป็นการยากที่ผู้ออกหุ้นกู้จะหาเงินมาจ่ายให้ผู้ถือครองหุ้นกู้ และเหตุที่เกิดขึ้น 2-3 รายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็สร้างความหวาดผวามาก
ดัชนีตลาดหุ้นตกลงไปมากทำให้มูลค่าความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นหายไป ดังนั้นการจะออกหุ้นกู้มาขายใหม่จะต้องให้ดอกเบี้ยที่จูงใจและเท่ากับว่าสร้างความไม่น่าไว้ใจด้วยเช่นกัน
โครงการเงินกู้ดิจิทัล จึงเป็นเหมือนดรามาการเมืองหลังจากพรรคการเมืองใช้การเกทับ ซึ่งกันและกันในโครงการประชานิยมแลกกับคะแนนเสียง
ตัวนายกฯ เศรษฐาเศรษฐีก็มาแบบฟลุ๊กทำให้เป็นเหมือนตกกระไดพลอยโจน ถึงต้องดิ้นรนหาทางให้โครงการเงินดิจิทัลเกิดขึ้นแต่ก็ทำได้เพียงแค่คำหวานให้ชาวบ้านได้เคลิ้ม
ถ้าโครงการนี้ไม่เกิดเพราะองค์กรอิสระห้าม รัฐบาลเศรษฐาเศรษฐีคงจะต้องโทษว่าเป็นเพราะกฎหมายห้ามแต่จะไม่โทษตัวเองนั่นหมายถึงวาระสุดท้ายของตัวผู้นำรัฐบาลที่มาแบบฟลุ๊ก
คนที่ไม่เข้าข่ายจะได้รับเงินคงไม่เดือดร้อนอะไรและก็รู้แต่ต้นแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ พวกที่รายได้น้อยหวังจะได้เงินก้อนใหญ่คงจะต้องทำใจ
ถึงจะได้มาก็มีเงื่อนไขมากมายซึ่งก็มีคนคาดว่าผลสุดท้ายเงินส่วนใหญ่คงไปลงกระเป๋าพวกเจ้าสัว ส่วนจะมีเงินทอนให้ใครหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องเดาเอาเอง ถ้าโครงการนี้เกิดขึ้นจริง
แน่ยิ่งกว่าแน่คือประเทศไทยต้องเป็นหนี้มากขึ้นและเป็นภาระของประชาชนทุกคนไม่ว่าจะได้เงิน 10,000 บาทหรือไม่ก็ตาม