เปิดฉากสัปดาห์นี้...หนีไม่พ้นที่จะต้องแวะไปดู “แนวรบตะวันออกกลาง” อีกสักรอบ เพราะจะด้วยความเปราะบาง ความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ ฯลฯ อะไรก็แล้วแต่ ทำให้โอกาสลุกลามบานปลาย ขยายวงระหว่าง “ขบวนการฮามาส” (Hamas) กับกองทัพ IDF (The Israel Defense Forces) ของอิสราเอล มันชักจะมีความเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที!!!
คือไม่ว่าจะไล่มาตั้งแต่ด้านเหนือของอิสราเอล ขบวนการ “Hezbollah” ในเลบานอน ก็เริ่มออกอาการง้างๆ ใกล้ลงมือ-ลงตีนเต็มที แถวๆ กลางๆ ด้านที่เลยไปถึงประเทศอิรัก ขบวนการ “PMF” (Popular Mobilization Forces) ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ก็ชักเริ่มงึมงำบทเพลง “อยากจะชิมส้นตีนนัก...อยากจะชิมส้นตีนนัก” แบบพระเอกหนังไทยขึ้นมามั่งแล้ว หรือกระทั่งลากไปด้านใต้สุด ขบวนการ “Houthi” หรือ “Ansar-Allah” ในเยเมน ก็เริ่มขยับแข้ง-ขยับขาอย่างเป็นระบบและกิจการ ส่วนพี่เบิ้มอิหร่านนั้น ไม่เพียงท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ “Hossein Amir- Abdollahian” จะออก “เดินสาย” แวะไปเยี่ยมเยียนอิรัก ซีเรีย เลบานอน เพื่อเร่งเร้าให้ชาติอิสลามทั้งหลายยืนหยัดเคียงข้างบรรดาชาวปาเลสไตน์ ยังถึงกับส่งจดหมายไปยังเลขาธิการ “OIC” (The Organization of Islamic Cooperation) อาสาเป็นเจ้าภาพในการประชุมฉุกเฉินของบรรดาชาติอาหรับและโลกมุสลิมทั้งหลาย เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าวกันอย่างเป็นงาน-เป็นการ...
แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนี่เอง...“ประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกา นอกจากจะประกาศยืนเคียงข้าง “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อิสราเอล แบบชนิดเต็มสูบ-เต็มด้าม ยังตัดสินใจใสเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Gerald R. Ford” พร้อมกองเรือรบอีกเพียบเข้าไปในน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซีกตะวันออก เช่นเดียวกับ “สุนัขพูเดิลอังกฤษ” ที่นอกจากจะส่งเรือรบ 2 ลำ เรือลาดตระเวน เรือพิฆาตติดขีปนาวุธอีก 4 ลำเข้าไปสมทบ นายกรัฐมนตรี “ฤาษี สุนัข” (Rishi Sunak) ยังป่าวประกาศเอาไว้ด้วยว่าจะหาทางเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว บรรดาผู้นำประเทศยุโรปเหนือในเวทีประชุมความมั่นคง “Joint Expeditionary Force” ที่สวีเดน ให้กรูออกมายืนหยัดเคียงข้างอิสราเอลให้จงได้!!!
นี่...มันชักจะบานปลาย ปลายบาน หรือไม่? อย่างไร? คงต้องคอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาเป็นอันขาด เพราะฝั่งของคุณทวดอิสราเอล ท่านออกอาการคล้ายๆ “เลือดเข้าตา” แถมยังคิดจะล้างแบบ “เลือด-ล้าง-เลือด” เอาเลยทำนองนั้น คือกะถล่มพื้นที่แค่ประมาณแมวดิ้นตายประมาณ 141 ตารางไมล์ หรือ 365 ตารางกิโลเมตรเท่านั้นเอง อันเป็นที่อยู่ที่อาศัยของบรรดาชาวปาเลสไตน์กว่า 2 ล้านคน อย่างเขตฉนวนกาซา ให้พังพินาศ ย่อยยับ ดับสูญ หรือให้กลายเป็น “ซากปรักหักพัง” ให้จงได้ ไม่เพียงแต่ตัดไฟ-ตัดน้ำ-ตัดพลังงาน รวมไปถึงอาหารและยา แถมทิ้งระเบิดนับเป็นพันๆลูก เล่นเอาบรรดาชาวปาเลสไตน์ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วถึง 1,537 คน แถมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ถึง 500 คน ผู้หญิง 276 คน บาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 6,612 คน ที่ไร้ที่นาคาที่อยู่เพราะโดนระเบิดไม่ต่ำกว่า 423,378 คน หรือ 21 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด ตามตัวเลขล่าสุดของยูเอ็น อีกทั้งยังยื่นคำขาด ออกคำสั่งให้ผู้คนพลเมืองนับล้านๆ (1.1 ล้านคน) ที่อาศัยอยู่ทางด้านเหนือ ให้แยกย้ายอพยพไปทางด้านใต้ภายในช่วงเวลาแค่ 24 ชั่วโมง ก่อนที่ทหารอิสราเอลนับแสนๆ จะบุกเข้าไปในเขตฉนวนกาซา โดยไม่ได้คิดสนใจเสียงกู่ก้องร้องตะโกน ของเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ อย่าง “นายStephen Dujarric” ที่ระบุว่า “เป็นไปไม่ได้เลย” ที่จะโยกย้ายมนุษย์นับล้านๆ คน ภายในช่วงเวลาอันสั้น แต่ก็นั่นแหละในสายตาของผู้บัญชาการ “IDF” ได้สรุปเอาไว้ชัด ว่าชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย คือ “Animal” ไม่ใช่มนุษย์มนาซะที่ไหน!!!
อย่างไรก็ตาม...ความเหี้ยม-ความโหดของผู้นำการเมือง-การทหาร อิสราเอล ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่บรรดาลูกหลานชาวยิวทั้งหลายจะเห็นพ้องต้องกันไปซะทั้งหมด ถ้าดูจาก “ผลโพล” ของ “Dialog Center Poll” ที่ไปสำรวจความคิด-ความเห็นของชาวอิสราเอลนำมาเปิดเผยไว้เมื่อวันพฤหัสฯ (12 ต.ค.) ที่ผ่านมา นอกจากผู้คนประมาณ 86 เปอร์เซ็นต์เห็นว่ารัฐบาลขวาจัดของ “นายBenjamin Netanyahu” ประสบความล้มเหลว ในการปกป้อง คุ้มครองบรรดาชาวอิสราเอลทั้งหลายแล้วเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ยังเห็นว่าผู้นำประเทศควรลาออก หลังจากสงครามสิ้นสุดยุติลงไปแล้ว หรืออดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำฝ่ายค้านคนปัจจุบัน “นายYair Lapid” ที่ประกาศไม่ยอมเข้าร่วม “รัฐบาลฉุกเฉิน” (The Emergency Government) ของ “นายNetanyahu” ด้วยเหตุผลแบบเรียบๆ-ง่ายๆ แต่น่าคิด น่าสะกิดใจมิใช่น้อย นั่นก็คือ...รัฐบาลดังกล่าวยังประกอบไปด้วยผู้ที่เป็นตัวสร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิดการบุกอิสราเอล หรือให้เกิดปฏิบัติการ “Operation Al-Aqsa Storm” อย่างเช่น “นายBen Gvir” รัฐมนตรีความมั่นคง ที่ชักชวนบรรดาชาวยิวทั้งหลายให้เดินหน้าทวงคืนอำนาจ บริหารจัดการพื้นที่มัสยิด “Al-Aqsa” จนกลายเป็นเรื่อง-เป็นราวขึ้นมาจนได้...
แต่ก็นั่นแหละ...อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านท่านสรุปไว้ระหว่างการเดินทางไปเยือนอิรักนั่นแหละว่า การบานปลายไม่บานปลาย หรือการเกิด “แนวรบใหม่” ต่ออิสราเอลหรือไม่? อย่างไร? ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวก “Zionist” ทั้งหลายว่าจะบ้าเลือด-กระหายเลือดกันไปถึงขั้นไหน??? คือถ้าคิดไปไกลถึงขั้นกะจะให้เขตฉนวนกาซากลายเป็นซากปรักหักพังอย่างที่ผู้นำอิสราเอล “นายNetanyahu” ป่าวประกาศไว้ก่อนหน้านั้น บรรดาชาติมุสลิมและโลกอาหรับทั้งหลาย คงไม่คิด “เอามือซุกหีบ” อยู่แล้วแน่ๆ หรือดังที่นายกรัฐมนตรีอิรัก “นายMohammed Shia al-Sudani” ท่านสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า “เรื่องของปาเลสไตน์เป็นเรื่องอุดมการณ์-อุดมคติไม่ใช่เรื่องการเมือง ดังนั้น...เราไม่อาจเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ต่อไปได้อีก สำหรับการบุกฉนวนกาซาของอิสราเอล...” ท่ามกลางสภาพที่ถูกบรรยายไว้โดยเจ้าหน้าที่อาวุโสของฮามาส “นายGhazi Hamad” ถึงขั้นว่า... “ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยใดๆสำหรับประชาชนพอที่จะหลบภัยได้ อาคารแทบทุกอาคารถูกโจมตีโดยกองทัพอิสราเอล ชาวปาเลสไตน์ทุกคนกลายเป็นเป้าหมายของการสังหาร ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง คนชรา นี่คือความพยายามที่จะ...สังหารหมู่...ผู้คนกว่า 2 ล้านคน” ภายใต้สภาพเช่นนี้...ย่อมก่อให้แรงกระตุ้นต่อ “ภราดรภาพแห่งชาวมุสลิม” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย...
อันที่จริงแล้ว...ชาวยิวแท้ๆ ที่วายชนม์ไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ ผู้มีนามกรว่า “Samuel Huntington” ก็เคยกู่ก้อง ร้องเตือนถึงฤทธิ์เดชแห่ง “ภราดรภาพมุสลิม” ต่อผู้สนับสนุนอิสราเอลตัวฉกาจ อย่างรัฐบาลอเมริกันเอาไว้ในหนังสือเรื่อง “The Clash of Civilization and The Remaking of World Order” มาก่อนหน้านั้น ดังถ้อยคำที่ว่า... “เราทั้งหลาย(อารยธรรมตะวันตก)ต้องการการไตร่ตรองอย่างสุขุม ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ กับเหตุปัจจัยเหล่านี้ (การปะทะกับอารยธรรมอิสลามที่มีจีนเป็นพันธมิตร) เราจะต้องใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ ว่าเราต้องการที่จะควบคุมโลกอิสลามทั้งมวลเอาไว้หรือไม่? และการสนับสนุนช่วยเหลือของเราต่อนโยบายการขยายตัวของอิสราเอล รวมทั้งแผนการสร้างวิหารครั้งที่ 3 ซึ่งเรียกร้องให้ต้องรื้อถอนโดมแห่งศิลา (มัสยิด Al-Aqsa) จะทำให้เราต้องตกลงไปใน...หลุมพราง ที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้คนที่มีจำนวนถึง 1 ใน 5 ของโลกเลยหรือเปล่า???”
ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากบรรดาผู้สนับสนุน ผู้ถือหางอิสราเอลทั้งหลาย ดันออกอาการเซ่อๆ ซ่าๆ ไม่ได้คิดหน้า-คิดหลังให้ถ้วนถี่จะด้วยเหตุเพราะ “ระบบการเมืองแบบตะวันตกทำให้เต็มไปด้วยผู้นำที่ไม่ค่อยฉลาด” ดังที่ผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “ปูติน” สรุปเอาไว้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามคำทำนาย คำพยากรณ์ ใน “พระคัมภีร์ไบเบิล” บทวิวรณ์ 16:14 ที่ว่าเอาไว้ว่า... “เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่หก เทขันของตนลงที่แม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติสทำให้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้ง เพื่อเตรียมมรรคาไว้สำหรับบรรดากษัตริย์ที่มาจากทิศตะวันออก และข้าพเจ้าเห็นผีโสโครกสามตน รูปร่างคล้ายกบออกมาจากปากพญานาค ออกจากปากสัตว์ร้ายนั้นและออกจากปากคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะ ด้วยว่าผีเหล่านั้นเป็นผีร้ายกระทำหมายสำคัญ มันออกไปหากษัตริย์ทั้งปวงทั่วพิภพ เพื่อให้บรรดากษัตริย์เหล่านั้นร่วมกันทำสงครามในวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด และมันทั้งสามได้ชุมนุมพวกกษัตริย์ไว้ที่ตำบลหนึ่ง ซึ่งภาษาฮิบรูเรียกว่า...อารมาเกดโดน” ย่อมมีสิทธิ์เป็นไปได้ไม่ยากส์ส์ส์!!!