เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องลองไปเงี่ยหูฟังการเจรจาปราศรัย ของท่านรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายAntony Blinken” ที่เพิ่งเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ไปเมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา (13 ก.ย.) ณ มหาวิทยาลัย “John Hopkins” ดูสักหน่อย แม้ว่าโดยคำพูด คำจาของรัฐมนตรีท่านนี้ หรือแม้แต่ตัวประธานาธิบดีอเมริกันเองเอาเลยก็เถอะ ออกจะหาแก่น หาสาระใดๆ ไม่ค่อยจะเจอ แต่บางครั้ง-บางครา บางคำพูด บางประโยค อาจพอใช้เป็นตัวสะท้อนอะไรลึกๆ ถึงลักษณะท่าที ถึงทิศทางนโยบายอเมริกาต่อฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกในอนาคตได้มั่งไม่มาก-ก็น้อย...
โดยเฉพาะถ้าเป็นการพูด เป็นการ “ระบาย” ออกมาจากความกลัดกลุ้ม ความที่ต้องหันซ้าย-หันขวาอยู่ระหว่าง “เขาควาย” แบบประเภทหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ดังที่สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” เขาอดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสังเกตไว้ในข้อเขียน บทความ ว่าด้วยเรื่อง “Blinken sounds a rallying cry for a new cold war that US cannot win” หรือการออกมา “โหยหวน-ครวญคราง” ของท่านรัฐมนตรี “Blinken” ถึง “สงครามเย็นยุคใหม่” ที่อเมริกาไม่มีวันที่จะเป็นผู้ชนะ อะไรทำนองนั้น อันเนื่องมาจากการพูดจาปราศรัยในเวทีดังกล่าวถึง “ระเบียบโลก” แบบที่เคยใช้ในช่วง “สงครามเย็นยุคเก่า” ได้สิ้นสุด ยุติลงไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่ช่วงเวลานับจากนี้ไป...จะถือเป็น “สงครามเย็นยุคใหม่” หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...การที่ประมุขโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา หนีไม่พ้นต้องเผชิญกับพวกที่คิดจะเปลี่ยนแปลง-แก้ไข หลักการและทฤษฎีต่างๆ (Revisionist) หรือพวก “อำนาจนิยม”(Authoritarian Power) อย่างรัสเซียและจีน อันทำให้อเมริกาและพันธมิตรทั้งหลาย จะต้องร่วมมือกันสร้าง “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่เหมาะสม สอดคล้องกับฉากสถานการณ์ใหม่ๆ เพื่อเอาชนะ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ทั้งสอง หรือเพื่อดำรงความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลกต่อไปให้จงได้ หรือดังคำพูดที่ว่า “ยุคหนึ่งได้จบลงไปแล้ว...ยุคใหม่กำลังเริ่มต้น และการตัดสินใจที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ จะเป็นตัวสลักเสลาอนาคตอีกนับเป็นทศวรรษๆ ที่กำลังมาถึง ทศวรรษอันสัมพันธ์อยู่กับเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่กำลังกลายเป็นหนทางในการแข่งขันอย่างเข้มข้นกับพวก...อำนาจนิยม...ทั้งหลาย”...
นี่...อันนี้จะถือเป็นการ “โหยหวน-ครวญคราง” หรือพอจะมีสติ-สตังค์หรือไม่? อย่างไร? คงต้องลองไปใคร่ครวญพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน แต่สิ่งที่ถือเป็นตัวช่วยให้อเมริกาสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีรายนี้ท่านได้วาดหวังเอาไว้ นั่นคือ การมี “พันธมิตร” นั่นเอง...ที่ถือเป็น “กุญแจสำคัญ” แห่งความสำเร็จของอเมริกา และนั่นเองที่ทำให้ท่านต้องพยายามปลุกปลอบใจตัวเองและบรรดาชาวอเมริกันทั้งหลาย ด้วยการอาศัยองค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO” มาใช้เป็นตัวอย่าง แบบอย่าง ว่ากำลังขยายตัวใหญ่โตยิ่งๆ ขึ้นไป กำลังแข็งแกร่งยิ่งขึ้นๆ และเป็นเอกภาพอย่างที่ไม่เคยมีมา ทั้งที่โดยสภาพความเป็นไปของโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะมองจากแง่การเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ทัศนคติ-ความเชื่อ โดยสถานะและบทบาทของคุณพ่ออเมริกา น่าจะออกไปทาง “โฮม อโลน” หรือหนักไปทาง “ปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้างอยู่ตามลำพัง” กับบรรดาพวกพรมเช็ดเท้า หรือพวกอียู-อีย้วยทั้งหลาย อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...
เพราะเท่าที่สามารถพิจารณาได้จากความเคลื่อนไหวในเวทีระหว่างประเทศ ตั้งแต่ภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงละตินอเมริกา คงต้องยอมรับว่า...ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึง “ความเสื่อม” ของโลกตะวันตก อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ชนิดแม้แต่เครื่องมือในทางเศรษฐกิจ อย่างเงิน “ยูเอสดอลลาร์” ที่ถูกนำมาแปรสภาพเป็น “อาวุธ” ในการเล่นงานใครต่อใครให้ต้องยอมศิโรราบต่ออเมริกามาโดยตลอด มาถึง ณ บัดนี้...ยังต้องเจอกับการ “De-Dollarization” หรือการละทิ้งเงินดอลลาร์อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการไปแทบจะทั่วทั้งโลก จนแทบมองเห็นถึงจุดจบ หรือเห็นถึง “อวสานเงินดอลลาร์” ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล แม้ว่าอาจ “ไม่เร็ว” และ “ไม่ง่าย” เพียงใดก็ตามที...
เรียกว่า...แม้แต่คู่แข่ง คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันในการเลือกตั้งปีหน้า อย่าง “ทรัมป์บ้า” ยังอดไม่ได้ที่ต้องออกมากู่ก้องร้องตะโกนกับสถานีวิทยุดาวเทียม “SiriusXM” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (14 ก.ย.) ว่าประเทศเรากำลังร่วงหล่นไปสู่ “นรก” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! หรือ “ประเทศเรากำลังแย่ลงๆ และกำลังถูกทำลาย ชาติของเรากำลังเผชิญกับความเสื่อมที่น่าซีเรียสเอามากๆ” อันเนื่องมาจาก “ความเสื่อม” ของอเมริกานั้น เป็นอะไรที่ค่อนข้างเห็นได้โดยถนัดชัดเจน เต็มไปด้วยประจักษ์พยานและข้อพิสูจน์ โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาสร้างเรื่อง-สร้างราว สร้างจินตนาการใดๆ มารองรับเอาไว้เลยแม้แต่น้อย...
แต่ก็ด้วยเหตุเพราะการที่ต้องดิ้นรน กระเสือกกระสนในแบบหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ของรัฐบาลอเมริกันไม่ว่าในยุค “ทรัมป์บ้า” หรือยุคคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ก็ตามที อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านเชื่อของท่านว่า ไม่ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันปีหน้า ใครแพ้-ใครชนะ ใครจะนอน-ไม่นอนมาก็แล้วแต่ นโยบายของอเมริกาต่อรัสเซีย หรือต่อจีน ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยพื้นฐานอยู่แล้วแน่ๆ หรือต่างฝ่ายคงต้องต่อสู้และเผชิญหน้าจนกว่าต่างฝ่ายต่าง “ฉิบหาย...กันไปข้าง” อะไรทำนองนั้น...
และนั่นทำให้ฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกนับจากนี้ต่อไปอีกยาวไกล...น่าจะเป็นไปในแบบ “สงครามเย็นยุคใหม่” อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายAntony Blinken” พูดจาปราศรัยเอาไว้แล้วนั่นเอง โดยถ้าหากมันต้องเป็นไปเช่นนั้น หรือต้องเป็นไปในแบบ “เพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป” สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” เขาเลยต้องออกมาเตือนไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าในช่วงจุดสูงสุดของ “สงครามเย็นยุคเก่า” ช่วงระยะนั้นจีดีพีอเมริกายังมีมากมายมหาศาลคิดเป็นถึง 1 ใน 3 ของจีดีพีโลกเอาเลยก็ว่าได้ แต่มาช่วง “สงครามเย็นยุคใหม่” หรือช่วงระหว่างนี้ จีดีพีอเมริกาลดฮวบๆ ฮาบๆ เหลืออยู่เพียง 1 ใน 4 ของจีดีพีโลกเท่านั้นเอง และทำท่ากำลังจะหดหายยิ่งไปกว่านั้นในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ขณะที่มหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนได้ผงาดขึ้นมาจนกลายเป็น “โรงงานของโลก” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!!
ส่วนในแง่การทหารนั้น ถือเป็นเรื่องยากส์ส์ส์เอามากๆ ในการเอาชนะขั้นเบ็ดเสร็จและเด็ดขาดต่อมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซีย ที่คงต้องอาศัยการรื้อทิ้งศักยภาพด้านนิวเคลียร์ทั้งมวลลงไปให้จงได้ และนั่นย่อมคือ “การเผชิญภัยที่น่าหวาดเสียว” เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อความเพียรพยายามบั่นทอนศักยภาพในด้านต่างๆ ของรัสเซีย ด้วยการสนับสนุน ส่งเสริม ยุแยงตะแคงรั่วให้ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนสู้กับรัสเซียจนกว่าจะไม่หลงเหลือ “ชาวยูเครนคนสุดท้าย” ที่นับวันจะก่อให้เกิดการ “ละเมิดเส้นตาย” ของรัสเซียยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าความพยายามขนอาวุธ ประเคนอาวุธร้ายแรงไปให้กับกองทัพยูเครนคราวแล้ว คราวเล่า ไล่มาตั้งแต่รถถัง M-1 Abrams จรวด HIMARS เครื่องบิน F-16 ระเบิดพวงหรือระเบิดดาวกระจาย Cluster Bombs ไปจนกระทั่งล่าสุดระบบขีปนาวุธ ATACMS (Army Tactical Missile Systems) ที่มีรัศมีทำการยาวไกลถึง 300 กิโลเมตร หรือลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียอย่างชนิดไม่คิดจะสนใจว่าอาจต้องเจอกับตอบโต้รูปไหน? แบบไหน???
ดังนั้น...ภายใต้ฉากสถานการณ์เช่นนี้ ทำนองนี้นี่เอง ที่ทำให้ “สงครามเย็นยุคใหม่” ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ย่อมมีสิทธิ์ยกระดับ มีสิทธิ์พัฒนา จนกลายสภาพไปเป็น “สงครามร้อน” หรือ “สงครามโลกครั้งที่ 3” หรือกระทั่ง “สงครามนิวเคลียร์” ยิ่งเข้าไปในทุกขณะ โดยถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันกำลัง “ไหล” ไปในแนวนั้น หรือกำลังเป็นไปในแบบ “ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป” บรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลายหรือบรรดาประเทศ “หญ้าแพรก” ในแต่ละราย คงเหลือแต่ต้องตั้งหน้า ตั้งตา ต้องหมั่นสวดมนต์ภาวนา-อธิษฐาน ขอให้ “โชคดี...ที่ตายก่อน” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ลูกเดียวเท่านั้นเอง...