สถานการณ์ทางการเมืองที่นำมาสู่ชัยชนะของพรรคก้าวไกลที่ก้าวล่วงและท้าทายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ด้านหนึ่งเพราะความเบื่อหน่ายต่อรัฐบาลลุงที่คนจำนวนหนึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลง มาบวกกับอีกด้านที่คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งซึ่งถูกบ่มเพาะความคิดจากบรรดานักวิชาการในมหาวิทยาลัยที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และกระแสในโลกโซเชียลที่เติบโตขึ้นมาเป็นโหวตเตอร์จำนวนมาก
จนพากันออกไปลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล โดยไม่ได้ศึกษาดูเลยว่าคนที่พรรคก้าวไกลส่งมาเป็นผู้แทนของตัวเองนั้น แต่ละคนมีประวัติความเป็นมาและความน่าเชื่อถืออย่างไร ไม่ได้ดูเลยว่าผู้สมัครคนอื่นนั้นมีคุณสมบัติอย่างไร จนคนจำนวนมากตกตะลึงกับคุณสมบัติของ ส.ส.พรรคก้าวไกลหลายคนที่ได้เข้าไปเป็นผู้แทนเมื่อเทียบกับคุณสมบัติคนที่ถูกประชาชนปฏิเสธ
และยังมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์เลือกตั้ง แต่จะมีสิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาเติมเป็นโหวตเตอร์ให้กับพรรคก้าวไกลที่พวกเขาถูกทำให้หลงเชื่อจนเป็นอุปทานหมู่ว่าเป็นพรรคของคนรุ่นเขาที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปจากมือของคนรุ่นเก่าที่ถูกมองเป็นตัวถ่วงที่กัดเซาะความเจริญของบ้านเมือง
ประจวบเหมาะกับการผลัดแผ่นดินที่ทำให้ฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมฉวยโอกาสในการโหมกระพือเพื่อลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมา หลังจากที่รัฐไทยปล่อยให้สำนักฟ้าเดียวกันของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปลูกฝังความคิดด้านลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องยาวนาน จนหนังสือหลายเล่มของฟ้าเดียวกันกลายเป็นคัมภีร์ของคนรุ่นใหม่ แม้หนังสือหลายเล่มจะถูกพิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อมอมเมาคนอ่านให้เข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่รัฐก็ยังปล่อยให้หนังสือเหล่านั้นเผยแพร่พิษร้ายต่อไป
ตอนนี้พรรคก้าวไกลจึงมั่นใจมากว่าแม้ว่าพวกเขาจะพลาดการเข้ามายึดครองอำนาจรัฐในครั้งนี้ แต่ในอนาคตที่ไม่นานไกลข้างหน้าพรรคของพวกเขาจะประสบความสำเร็จในการยึดครองอำนาจรัฐ และวันนั้นพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ไม่เหมือนเดิมด้วยต้นกล้าที่พวกเขาหว่านไว้
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่กลายเป็นนายกรัฐมนตรีทิพย์ พูดในสภาฯ ว่า การจัดวางพระราชอำนาจและสถานะให้สอดคล้องเหมาะสมกับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เรารักดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามในสังคมไทย เขายืนยันว่า เป้าหมายของพรรคก้าวไกลคือการธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง
พวกเขาย้ำหลายครั้งหลายหนว่า ต้องทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาว่า ในปัจจุบันสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั่นเอง สิ่งที่พวกเขามุ่งหมายคือ พระมหากษัตริย์ต้องไม่มีพระราชดำรัสต่อสาธารณะ ต้องไม่มีโครงการพระราชดำริ ต้องไม่มีองคมนตรีที่เป็นมือไม้ ต้องไม่มีหน่วยงานส่วนพระมหากษัตริย์ ฯลฯ ซึ่งพวกเขามองว่า เป็นอำนาจของฝ่ายบริหารและพระมหากษัตริย์ล้ำแดนลงมาสู่การเมือง
พวกเขาอยู่เบื้องหลังคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ออกมาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จและหยาบคาย แล้วเมื่อคนเหล่านั้นถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 พวกเขาก็เข้าไปอุ้มชูอุปถัมภ์จำเลยเหล่านั้นอย่างเปิดเผย ด้วยการใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัว และกล่าวหาว่าการใช้มาตรา 112 นั้นเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นต่างหากที่ไปล้ำเส้นที่กฎหมายขีดเอาไว้จนต้องบังคับใช้เพื่อดำเนินคดีผู้กระทำผิด
ทั้งที่พระมหากษัตริย์นั้นทรงอยู่เหนือการเมืองมาแล้วตั้งแต่พวกคณะราษฎรก่อการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจและราชสมบัติ แต่เป็นฝ่ายพวกเขาที่ไปดึงพระมหากษัตริย์ลงมากล่าวหาโจมตี และโทษว่าอีกฝ่ายใช้พระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือ
ความจริงฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมนั้นซุ่มก่อตัวมานานแล้ว เป็นพวกที่ฝังตัวอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงพวกปัญญาชนบางคนที่คอยทำตัวเป็นผู้ชี้นำทางความคิดที่คอยออกมาให้ท้ายและแอบอยู่ข้างหลังเพื่อดันคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งให้ออกมาเป็นแถวหน้าเพื่อรับคมหอกดาบของอำนาจรัฐ แล้วตัวเองก็จะออกมาพูดเพื่อตีกินและยกระดับตัวเองว่าเป็นผู้เข้าใจยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เพื่อจะได้รับการยกย่องจากคนรุ่นใหม่
บางคนก็มักจะพูดว่า ตัวเองมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่การแสดงออกของพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ให้ท้ายคนรุ่นใหม่ที่ออกมาท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสุลักษณ์ ศิวรักษ์ อานันท์ ปันยารชุน บรรยง พงษ์พานิช พิภพ ธงไชย ฯลฯ
เมื่อไม่นานมานี้อานันท์ พูดว่า ปัจจุบันนี้สังคมไทยอยู่ในสภาพไม่ปกติที่สุด ก็คือการให้ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกนายกฯ ซึ่งฟังดูแล้วมันทำให้อานันท์ดูเท่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ทำให้ดูว่าเขาเข้าใจและสนใจรับฟังเสียงเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ เกลียดชังอำนาจเผด็จการและความไม่เป็นธรรม แต่อานันท์คงลืมว่าที่ตัวเองเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้นเพราะได้รับการแต่งตั้งจากเผด็จการที่มาจากคณะรัฐประหาร แล้วเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งก็มาจากการแต่งตั้งที่ไม่ใช่จากกระบวนการทางประชาธิปไตยตรงไหนเลย
ทำไมตอนนั้นอานันท์ถึงไม่ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อานันท์ก็คงจะอ้างว่ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อชาติบ้านเมืองใช่ไหม แล้วทำไมอานันท์ถึงไม่คิดว่ากติกาตามรัฐธรรมนูญที่ให้ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากประชามติของประชาชนก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน แต่ถ้าอานันท์คิดและเชื่ออย่างที่พูดวันนี้ ทำไมไม่ปฏิเสธกระบวนการที่ไม่ปกติตอนนั้นเล่า หรือตอนนั้นตัวเองได้ประโยชน์ก็ลืมความไม่ปกติไป แต่วันนี้ก็มาพูดให้ตัวเองดูเท่มีคุณค่าเป็นคนแก่ที่เข้าใจสังคมเท่านั้นเอง
พวกผู้เฒ่าเหล่านี้ทำตัวให้ตัวเองเป็นรูปสักการะที่เชิดชูบูชาของคนรุ่นใหม่ เพื่อลู่ไปตามสายลมที่กำลังพัดพาแน่นอนว่า คนรุ่นใหม่จะเป็นคนกำหนดโลกและอนาคตในยุคของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าสิ่งที่พวกเขาคิดและกำลังเป็นไปนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด ไม่ใช่ว่าสิ่งที่คนรุ่นเก่าคิดมันจะผิดพลาดไปเสียทั้งหมด แต่เราควรจะต้องช่วยกันประคับประคองให้การเปลี่ยนแปลงนั้นค่อยเป็นค่อยไปจนไม่เกิดความขัดแย้ง แต่ไม่ใช่พูดเพื่อยกระดับให้ตัวเองดูดีแม้จะถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองก็ยอม
ผมคิดว่าวันนี้คนเสื้อแดงหลายคนที่เคยมีความคิดขัดแย้งกับคนใส่เสื้อเหลืองเริ่มมองเห็นแล้วว่า คนกลุ่มหนึ่งที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่คนกลุ่มนั้นมีความคิดที่เป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมืองต่อรูปแบบโครงสร้างของรัฐที่เป็นรากเหง้าจารีตของสังคมไทย คนเหล่านี้เคยแฝงตัวอยู่ในคนเสื้อแดง จนเคยมีคนพูดว่า “ไม่ใช่คนเสื้อแดงทั้งหมดที่ล้มเจ้า แต่มีคนล้มเจ้าในหมู่คนเสื้อแดง” แต่วันนี้ก็ได้แยกตัวออกไปอย่างชัดเจนแล้ว
แม้อนาคตข้างหน้าจะถูกกำหนดชะตากรรมด้วยกระแสคลื่นของคนรุ่นใหม่ จนมีผู้เฒ่าหลายคนที่ออกมาโชว์พาวเพื่อให้ตัวเองดูโดดเด่น แต่ก็ยังคงมีคนไม่น้อยที่จะช่วยกันทัดทานเพื่อรักษาสถาบันที่เป็นหลักยึดของบ้านเมืองเอาไว้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan