เรายังไม่รู้ว่าพรรคก้าวไกลจะยอมถอยหรือไม่ ในการแก้ไขมาตรา 112 เพื่อจะได้เข้าร่วมรัฐบาลและผ่านมติจากรัฐสภา เพราะล่าสุดมีข่าวว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ บินไปพบกับทักษิณที่ฮ่องกง สำหรับธนาธรเขาทำสำเร็จแล้ว 1 ด่านก็คือ การให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตกจากบัลลังก์นายกรัฐมนตรี ด้วยการให้ยืนกรานแก้ไขมาตรา 112
เพราะถ้าพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนี้ ธนาธรก็จะไม่มีที่ยืน สถานะของพิธาก็จะสูงเด่นจนไม่สามารถทำให้ธนาธรกลับมาได้หากพ้นกำหนดโทษทางการเมือง
ล่าสุดพิธาได้ไปตอบคำถามกับซีเอ็นเอ็น สถานีโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกาถึงนโยบายมาตรา 112 ว่า เป้าหมายของคนไทยทุกคนคือการธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) แต่ถึงอย่างนั้นเป้าหมายในการธำรงไว้ของหลายคนแตกต่างกัน บางคนอาจต่อต้านนโยบายของพรรคก้าวไกลที่ต้องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยมองว่านี่จะเปิดช่องให้ผู้ที่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์ แต่สำหรับเขาแล้วประเทศไทยควรแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ไม่อนุญาตให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงสู่การเมือง และใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองผ่านมาตรา 112
พิธายืนยันว่าเป้าหมายของพรรคก้าวไกลคือการธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองไม่ใช่การนำมาเป็นอาวุธทางการเมือง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกแต่หากย้อนกลับไปดูทุกๆ 10 ปีก็จะเห็นกรณีที่สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองมาตลอด
แกนนำพรรคก้าวไกลหลายคนก็มักจะอ้างอย่างนี้ว่า การมุ่งแก้ไขมาตรา 112 ของพวกเขานั้นต้องการที่จะธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ให้ฟังดูเสมือนว่า ปัจจุบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ทั้งที่ความจริงแล้วพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและอยู่เหนือการเมืองมาแล้วตั้งแต่พวกคณะราษฎรก่อการรัฐประหาร 2475
พวกเขามักจะอ้างว่าต้องการแก้มาตรา 112 ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ไม่อนุญาตให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงสู่การเมือง และใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองผ่านมาตรา 112
คำถามว่า คนที่โดนคดีมาตรา 112 นั้นเป็นเพราะถูกใช้มาตรา 112 มาทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองจริงๆ หรือ หรือว่า จริงแล้วพวกเขากระทำการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ด้วยความรุนแรงกันแน่ คำตอบคือ พวกที่โดนคดีมาตรา 112 จำนวนมากในปัจจุบันนั้น ล้วนแล้วแต่กล่าวหาต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงหยาบคายทั้งสิ้น
ถามว่าการกล่าวหาบุคคลอื่นด้วยถ้อยคำที่หยาบคายนั้นเป็นเสรีภาพที่ควรได้รับการคุ้มครองจริงหรือ คำถามนี้ไม่ต้องไปถึงประมุขของรัฐหรอกพูดว่า การกระทำแบบนั้นกับบุคคลธรรมดาถือเป็นเสรีภาพไหม
ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการของพรรคก้าวไกล เพิ่งจะพูดในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อไม่นานมานี้ เขาอธิบายเนื้อหาใจความสำคัญในการเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลในสมัยประชุมที่แล้วว่า เพื่อประกันเสรีภาพในการแสดงออกเพื่อให้ได้สัดส่วนกับการเคารพสิทธิและชื่อเสียงของบุคคลอื่น ซึ่งสอดคล้องกับหลักสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ ซึ่งในหลักสากลโทษจำคุกในทางอาญาควรจะนำไปใช้กับการกระทำผิดที่มีลักษณะร้ายแรงเท่านั้น
การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย บุคคลอื่นควรมีหลักประกันเสรีภาพในการแสดงออกหรือ หรือสอดคล้องกับหลักประกันเสรีภาพในประชาธิปไตยสมัยใหม่อย่างที่พวกเขากล่าวอ้างได้อย่างไร พรรคก้าวไกลทำให้เสรีภาพในการแสดงออกได้สัดส่วนกับความโทษด้วยการลดพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ลงมาให้เท่ากับบุคคลธรรมดาใช่ไหม
อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่า ร่างแก้ไขมาตรา 112 ที่พวกเขาเสนอเขาสภาฯ ในสมัยที่แล้ว แต่ถูกตีตกเพราะขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 นั้น พวกเขาไม่ได้เพียงแต่แก้ไขมาตรา 112 เท่านั้น แต่พวกเขายกเลิกมาตรา 112 แล้วเขียนมาตราใหม่ขึ้นมาให้โทษเบาลงมากแล้วย้ายหมวดออกไปจากหมวดความมั่นคง สถานะของพระมหากษัตริย์ก็จะเท่ากับบุคคลธรรมดา ถ้ามีผู้ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ก็ต้องให้สำนักพระราชวังไปฟ้องศาลหรือแจ้งความดำเนินคดีด้วยตัวเอง และมีโทษที่เบาบางมากโดยอ้างเอาว่านั่นเป็นการให้ได้สัดส่วนกับเสรีภาพในการแสดงออก
ถามว่า เราเชื่อจริงๆ หรือว่าพวกเขายกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ด้วยความหวังดีเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีความมั่นคง หรือกระทำไปด้วยความจงรักภักดี แต่เราไปดูสิ่งที่พวกเขากล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์และกระทำต่อพระมหากษัตริย์จนถูกดำเนินคดีดังกล่าวว่ามันมีนัยของความหวังดีจริงๆ หรือ
หรือว่าเป้าหมายของพวกเขานั้นต้องการใช้เป็นบันไดไปสู่การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์อย่างที่ปิยบุตร แสงกนกกุล เคยแสดงออกในที่ต่างๆ เสมอมา
ถามว่าที่มวลชนฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกลจำนวนมากรวมถึงธนาธรและปิยบุตรที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 นั้น เป็นเพราะอีกฝ่ายดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงสู่การเมืองและใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือว่า ผู้ถูกดำเนินคดีก้าวล้ำขึ้นไปแตะต้องและดึงสถาบันลงมาสู่การเมืองกันแน่ ถ้าคนเหล่านี้ไม่ไปกล่าวหาให้ร้าย มาตรา 112 ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ไม่มีพิษภัยจะมาลงโทษคนเหล่านั้นได้จริงหรือ
ฝ่ายไหนกันแน่ที่ดึงพระมหากษัตริย์ลงมาสู่การเมือง คำพูดว่าใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองผ่านมาตรา 112 จึงเป็นเพียงคำกล่าวเท็จ การกล่าวอ้างว่าพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและไม่อยู่เหนือการเมืองก็เป็นคำกล่าวเท็จ
การยืนกรานจะยกเลิกมาตรา 112 แล้วเขียนความผิดต่อพระมหากษัตริย์ให้เหลือเท่ากับคนธรรมดานั้นมีเป้าหมายที่แท้จริงอย่างไร และต้องการทำสิ่งนั้นเพื่อจุดประสงค์อะไรเป็นสิ่งที่แกนนำของพรรคก้าวไกลทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังรู้อยู่เต็มอก
และเมื่อกฎหมายใหม่เขียนบทยกเว้นที่ไม่ต้องรับโทษไว้ด้วยว่า ผู้ใดติชมแสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความใดโดยสุจริตเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะผู้นั้นไม่มีความผิด ก็จะมีการวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์กันอย่างสนุกปาก หากพลาดพลั้งถูกดำเนินคดีก็จะมีโทษที่เบามาก
เชื่อไหมว่าถ้าพวกเขาสามารถยกเลิกมาตรา 112 แล้วเขียนมาตราใหม่ขึ้นมาได้ คนที่โดนดำเนินคดีมาตรา 112 ทั้งที่อยู่ในประเทศ ทั้งที่หนีไปอยู่ต่างประเทศจะใช้เป็นช่องทางในการต่อสู้ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยทุจริตหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ทั้งธนาธร ปิยบุตรและคนอื่นๆ ที่ถูกกล่าวหาก็จะใช้ช่องทางนี้ในการต่อสู้คดี
ลองคิดดูสิว่า ทุกวันนี้กฎหมายมาตรา 112 มีโทษที่สูงแต่ยังมีคนกล้าท้าทายกระทำความผิดตามมาตรานี้กันมาก และถ้าโทษในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ลดลงและเปิดช่องให้วิพากษ์วิจารณ์ได้ จะมีคนจำนวนมากที่เหิมเกริมท้าทายมากกว่านี้ขนาดไหน
พรรคก้าวไกล พิธา ธนาธร ปิยบุตรรู้อยู่แล้วว่าเจตนาที่แท้จริงของตัวเองคืออะไรอย่าโกหกว่าแก้ไขมาตรา 112 เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ธำรงอยู่ได้ด้วยความจงรักภักดีเลยครับ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan