ในวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา นางKristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการของ IMF ได้ออกมาแสดงความเห็นว่าเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency) หรือ CBDC ควรจะมีสินทรัพย์หนุนหลัง พร้อมกับเสริมว่า cryptocurrencies จะเป็นโอกาสในการลงทุนเมื่อมีสินทรัพย์หนุนหลัง แต่ถ้าไม่มี พวกมันก็เป็น “การลงทุนเชิงเก็งกำไรเท่านั้น”
คำพูดของจอร์เจียวาเท่ากับเป็นการยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลกกำลังเกิดขึ้น โดยเงินตราที่จะเป็นที่ยอมรับในวาระการเงินโลกใหม่จะต้องมีทองคำ หรือสินทรัพย์หนุนหลัง และมันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่โลกจะออกจากระบบดอลลาร์กระดาษในปัจจุบัน โดยจะย้อนกลับไปสู่ระบบมาตรฐานทองคำ หรือระบบการเงินที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง
ถ้าหากว่าจีนหันไปผูกค่าเงินหยวนกับทองคำ หรือกลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ย้อนกลับไปใช้ระบบมาตรฐานทองคำแล้ว IMF จะอยู่อย่างไรต่อไป เนื่องจากไอเอ็มเอฟเป็นสถาบันการเงินที่อยู่ได้เพราะดอลลาร์ภายใต้การกำกับของสหรัฐฯ และอังกฤษ? แผนการใหญ่ที่จะให้ไอเอ็มเอฟออกเงินสกุลหลักของโลกแทนดอลลาร์จะไปต่อได้หรือไม่?
ในระบบเงินตราปัจจุบันที่มีดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ธนาคารกลางของสหรัฐฯ พิมพ์ดอลลาร์เปล่าๆ จากกลางอากาศออกมาใช้ โดยไม่มีข้อจำกัด เนื่องได้ยกเลิกการเอาทองคำหนุนหลังดอลลาร์ หรือระบบมาตรฐานทองคำตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971
ตั้งแต่นั้นมา โลกเข้าสู่ระบบดอลลาร์กระดาษที่ไร้ค่า ทำให้สหรัฐฯ มีสิทธิพิเศษเหนือทุกประเทศในโลกในไฟแนนซ์การใช้จ่าย และการก่อหนี้ที่เกินตัว ด้วยการพิมพ์ดอลลาร์ออกมาใช้แบบไม่อั้น และใช้แสนยานุภาพทางทหารในการบีบบังคับให้ทุกประเทศทั่วโลกให้อยู่ในระบบดอลลาร์กระดาษต่อไป
มันเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว ที่โลกของเราอยู่ภายใต้ระบบดอลลาร์กระดาษ ซึ่งดูแล้วมีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถทรงตัวได้อีกนาน เนื่องจากปัญหาภายในของสหรัฐฯ เอง และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบโลกที่ต้องการออกจากอิทธิพลของลัทธิล่าอาณานิคมที่ดำเนินมาเป็นเวลากว่า 400 ปี
สหรัฐฯ อยู่ในวัฏจักรของขาลงรอบใหญ่ทางเศรษฐกิจ มีหนี้สูง ($32 ล้านล้าน) ที่ไม่สามารถชำระได้ยกเว้นการพิมพ์เงินมาจ่ายหนี้ ระบบธนาคารของสหรัฐฯ กำลังล่มสลายจากฟองสบู่การเงินที่มีรอยร้าวลึก ดอกเบี้ยที่คงอยู่ในระดับสูงจะทำให้เศรษฐกิจพัง แต่ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้ เพราะว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าก่อหนี้ โดยไม่ลดการใช้จ่าย ความมั่นใจในการถือครองดอลลาร์กำลังถูกสั่นคลอน
สิ่งที่ทางสหรัฐฯ เกรงกลัวมากที่สุดในเวลานี้คือการที่จีน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ เตรียมเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ $859,000 ล้านที่ถืออยู่ออกไป เพื่อเป็นการตอบโต้การที่สหรัฐฯ สนับสนุนไต้หวันให้แยกตัวเป็นรัฐอิสระ
นางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังของสหรัฐฯ ถูกสมาชิกสภาคอนเกรสซักถามว่า มีการเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างไร ในกรณีที่จีนตัดสินใจดัมป์ทิ้งพันธบัตรสหรัฐฯ จนเกลี้ยงพอร์ต
ปรากฏว่านางเยลเลนตอบคำถามได้ไม่ชัดเจน เพราะว่าไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรจริงๆ ได้แต่พูดว่า สหรัฐฯ ไม่มีทางแยก (de-couple) ออกจากเศรษฐกิจจีนได้
ที่ผ่านมาเยลเลนพยายามที่จะส่งสัญญาณให้จีนช่วยซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ต่อไป หรืออย่างน้อยอย่าได้ขายพันธบัตรออกมา เพราะว่ากระทรวงคลังต้องออกบอนด์ระยะสั้นใหม่อีก $1 ล้านล้านภายในปีนี้เพื่อเติมเต็มเงินคงคลังหลังจากที่เสียเวลาไปร่วมครึ่งปี ไม่สามารถออกพันธบัตรได้ในช่วงที่กฎหมายยกเพดานหนี้ยังไม่ผ่านสภาจากความขัดแย้งในการเมืองภายใน
เมื่อเร็วๆ นี้ นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ถูกส่งตัวไปปักกิ่ง เพื่อเจรจาจีนเปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างทหารอเมริกันกับทหารจีน และให้ชะลอการขายพันธบัตรสหรัฐฯ แต่บลิงเคนกลับบ้านมือเปล่า เพราะว่าจีนมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ให้คำสัญญาอะไรที่เป็นรูปธรรม คล้อยหลังการเยือนจีนของบลิงเคน โจ ไบเดนกล่าวหาว่าสี จิ้นผิง เป็นผู้นำเผด็จการ ซึ่งไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดีขึ้นแต่อย่างใด
การเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลกที่กำลังเกิดขึ้น คือการที่ประเทศต่างๆ กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และจะยกเลิกเงินกระดาษที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน โดยจะหันไปใช้เงินดิจิทัลแทน แต่เงินดิจิทัลนั้นจะมีทองคำหนุนหลังหรือไม่จะเป็นประเด็นใหญ่เหมือนอย่างที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ของไอเอ็มเอฟได้ตั้งข้อสังเกต
ในเวทีประชุมของ St. Petersburg International Economic Forum ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียได้ประกาศว่ารัสเซียจะสนับสนุนให้เงินหยวนเป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนดอลลาร์ ซึ่งทำให้จีนหนักใจพอสมควร เพราะว่าการเอาหยวนมาแข่งกับดอลลาร์เท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับสหรัฐฯ โดยตรง เวลานี้รัสเซียได้หันหลังให้ดอลลาร์กับยูโร และหันมาใช้หยวนเป็นหลักในการค้าขายกับประเทศในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา
อย่างไรก็ดี มาถึงจุดนี้แล้ว สี จิ้นผิง ผู้นำของจีนจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินหน้าผลักดันให้หยวนมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในเวทีการเงินโลก โดยจีนจะไม่ซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่ม แต่จะเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ออกไป เพราะว่าไม่จำเป็นต้องถือครองดอลลาร์อีกต่อไป เนื่องจากเงินหยวนกำลังเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้นในบรรดาประเทศคู่ค้าของจีน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ดอลลาร์เป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนเหมือนอย่างในอดีต
เปโตรหยวนก็เกิดขึ้นแล้วจากการที่จีนสามารถใช้เงินหยวนซื้อน้ำมันจากรัสเซียและซาอุดีอาระเบียโดยตรง
ในชั้นแรก จีนอาจจะขายบอนด์สหรัฐฯ จนอาจจะเหลือประมาณ 10-20% ของพอร์ตเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังจากนั้นจีนจะประกาศผูกค่าเงินหยวนกับทองคำ
จีนเตรียมผูกค่าหยวนกับทองคำ
เมื่อจีนประกาศผูกเงินหยวนกับทองคำ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ เท่ากับเป็นการโยนระเบิดนิวเคลียร์เข้าไปในระบบการเงินโลก ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญวิกฤตการธนาคาร และวิกฤตหนี้ เพราะว่าความเชื่อมั่นในเงินหยวนจะเพิ่มขึ้น ใครๆ ก็อยากจะถือครองหยวน ในขณะที่ดอลลาร์หรือเงินสกุลอื่นๆ ที่ไม่มีทองคำหนุนหลังจะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ จากการถูกเทขาย
เงินบาทที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์กระดาษก็จะอ่อนค่าลงไปเมื่อค่าเงินอ่อน เงินเฟ้อจะถามหา ถ้าหากไม่มีการปรับเปลี่ยนระบบการเงินด้วยการหันไปถือครองหยวน และซื้อทองคำเพิ่มในพอร์ต
ตามรายงานของ Gold World Council ในไตรมาสแรกของปีนี้ จีนมีทองคำสำรอง2,068 ตัน ส่วนรัสเซียมี 2,326 ตัน แต่นั่นเป็นเพียงตัวเลขที่เป็นทางการ ส่วนตัวเลขจริงนั้น ทั้งจีนและรัสเซียน่าจะที่เป็นมหาอำนาจโลกด้านทองคำที่ไร้คู่แข่ง โดยทั้งจีนและรัสเซียน่าจะมีทองคำสำรองอยู่ไม่น้อยกว่า 30,000 ตัน
การที่หยวนจะต้องอิงกับทองคำ จะทำให้จีนต้องซื้อทองคำเพิ่มเข้าคลังสำรองเพื่อที่จะหนุนค่าเงิน ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นในอนาคต
เมื่อจีนให้ค่าเงินหยวนไปผูกกับทองคำ กลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ก็จะทำตามอย่างพร้อมเพียงกัน โดยจะใช้ทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์มาหนุนหลังค่าเงินของตัวเอง ทำให้ระบบการเงินของบริกส์จะมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับระบบการเงินของตะวันตก ซึ่งมีแต่หนี้ และกระดาษที่ไร้ค่า
ในระหว่างการประชุมซัมมิตระหว่างวันที่ 23-24 สิงหาคมที่จะมีขึ้นที่เมืองJohannesburg ประเทศแอฟริกาใต้ ผู้นำของบริกส์จะมีการประกาศให้มีการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าขายกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะหนุนบทบาทของเงินหยวน และจะประกาศสร้างเงินสกุลร่วม ที่มีทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง
ต่อไปเงินสกุลร่วมของบริกส์สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ และสามารถทำหน้าที่เป็นเงินรีเสิร์ฟได้อีกด้วย
เงินตราที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเงินตรากระดาษ หรือ CBDC ที่ไม่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง
ในระบบการเงินที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง ธนาคารกลางจะพิมพ์เงินออกมาหมุนเวียนในระบบตามปริมาณทองคำสำรอง หรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอยู่ ทำให้ค่าเงินมีเสถียรภาพ และมีความน่าเชื่อถือ ไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ เพราะว่าเงินเฟ้อเกิดจากปริมาณเงินที่เพิ่มโดยไม่มีวินัยการเงินการคลัง ต่างจากระบบเงินกระดาษปัจจุบันที่มีการเพิ่มปริมาณเงินโดยไร้วินัยทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อที่หนักหน่วงในเวลานี้ และเมื่อเกิดเงินเฟ้อ จำต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้เศรษฐกิจพัง และผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งชนชั้นกลางมีมาตรฐานการครองชีพที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ
ในระบบมาตรฐานทองคำปริมาณเงินมีระบบมาตรฐานทองคำค้ำคออยู่ทำให้มีการรักษาวินัยการเงิน และการคลังไปในตัว
เงินสกุลร่วมของ BRICS จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทั้ง 5 ประเทศหันไปผูกค่าเงินของตัวเองกับทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์ หลังจากนั้น จะมีการสร้างเงินสกุลร่วมที่จะมีตะกร้าเงินที่ประกอบด้วยเงินหยวนของจีน รูเบิลของรัสเซีย รูปีของอินเดีย เรียลของบราซิล และแรนด์ของแอฟริกาใต้
เงินสกุลร่วม BRICS จะกลายเป็นเงินหนึ่งในเงินสกุลหลักของโลกที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะว่ามีทรัพย์สินหนุนหลัง สามารถนำมาใช้ในการชำระสินค้าและบริการระหว่างประเทศได้ และสามารถเอาไปเป็นรีเสิร์ฟหรือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศได้
ธนาคาร New Development Bank ของ BRICS จะทำหน้าที่ในการ settlements เงินสกุลร่วม
ในขณะเดียวกัน BRICS กำลังเดินหน้าค้าขายกันด้วยเงินสกุลท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องสำรองดอลลาร์อีกต่อไป
การออกจากอิทธิพลดอลลาร์จะทำให้เซฟต้นทุนค่าใช้จ่าย ไม่ถูกสหรัฐฯ แซงชั่น และลดความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน
เมื่อหยวนผูกค่าเงินกับทองคำ หรือ BRICS สร้างเงินสกุลร่วมที่มีทรัพย์สินหนุนหลัง จะเทียบเท่ากับการเอาระเบิดนิวเคลียร์โยนใส่ระบบดอลลาร์กระดาษของสหรัฐฯ อันจะนำไปสู่การปฏิวัติระบบการเงินโลกที่จะตามมา นักลงทุน บริษัท ธนาคาร หรือประเทศต่างๆ จะทิ้งดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ เยนหรือเงินสกุลอื่นๆ ที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลัง และจะหันมาถือครองหยวน หรือเงินสกุลที่มีทรัพย์สินหนุนหลังแทน เพราะว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่า
สิ่งที่ตามมาคือค่าเงินหยวน หรือค่าเงินที่ผูกกับทองคำจะแข็งค่าขึ้น และมีเสถียรภาพมากกว่า ในขณะที่ค่าเงินที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลังจะอ่อนตัวลงอย่างฮวบฮาบ ผู้ถือครองจะไม่มั่นใจ จะพากันเททิ้ง ทำให้เกิดเงินเฟ้อในระบบที่ใช้ค่าเงินที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลังนั้น
ถ้าหากดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ เยน หรือเงินกระดาษอื่นๆ ต้องการรักษาความเชื่อมั่น จำต้องหาทองคำ หรือทรัพย์สินอื่นมาค้ำค่าเงินของตัวเอง ซึ่งอาจจะไม่สามารถจะกระทำได้ เนื่องจากปริมาณเงิน รวมทั้งหนี้ที่อยู่ในระบบมีมากเกินทรัพย์สินที่จะเอามาหนุน และค่าเงินจะถูกล่าค่าลงไปอย่างน่าตกใจ
จีน รัสเซีย และบริกส์กำลังก่อสงครามนิวเคลียร์ทางการเงินกับโลกตะวันตก
คำพูดของจอร์เจียวาเท่ากับเป็นการยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลกกำลังเกิดขึ้น โดยเงินตราที่จะเป็นที่ยอมรับในวาระการเงินโลกใหม่จะต้องมีทองคำ หรือสินทรัพย์หนุนหลัง และมันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่โลกจะออกจากระบบดอลลาร์กระดาษในปัจจุบัน โดยจะย้อนกลับไปสู่ระบบมาตรฐานทองคำ หรือระบบการเงินที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง
ถ้าหากว่าจีนหันไปผูกค่าเงินหยวนกับทองคำ หรือกลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ย้อนกลับไปใช้ระบบมาตรฐานทองคำแล้ว IMF จะอยู่อย่างไรต่อไป เนื่องจากไอเอ็มเอฟเป็นสถาบันการเงินที่อยู่ได้เพราะดอลลาร์ภายใต้การกำกับของสหรัฐฯ และอังกฤษ? แผนการใหญ่ที่จะให้ไอเอ็มเอฟออกเงินสกุลหลักของโลกแทนดอลลาร์จะไปต่อได้หรือไม่?
ในระบบเงินตราปัจจุบันที่มีดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ธนาคารกลางของสหรัฐฯ พิมพ์ดอลลาร์เปล่าๆ จากกลางอากาศออกมาใช้ โดยไม่มีข้อจำกัด เนื่องได้ยกเลิกการเอาทองคำหนุนหลังดอลลาร์ หรือระบบมาตรฐานทองคำตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971
ตั้งแต่นั้นมา โลกเข้าสู่ระบบดอลลาร์กระดาษที่ไร้ค่า ทำให้สหรัฐฯ มีสิทธิพิเศษเหนือทุกประเทศในโลกในไฟแนนซ์การใช้จ่าย และการก่อหนี้ที่เกินตัว ด้วยการพิมพ์ดอลลาร์ออกมาใช้แบบไม่อั้น และใช้แสนยานุภาพทางทหารในการบีบบังคับให้ทุกประเทศทั่วโลกให้อยู่ในระบบดอลลาร์กระดาษต่อไป
มันเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว ที่โลกของเราอยู่ภายใต้ระบบดอลลาร์กระดาษ ซึ่งดูแล้วมีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถทรงตัวได้อีกนาน เนื่องจากปัญหาภายในของสหรัฐฯ เอง และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบโลกที่ต้องการออกจากอิทธิพลของลัทธิล่าอาณานิคมที่ดำเนินมาเป็นเวลากว่า 400 ปี
สหรัฐฯ อยู่ในวัฏจักรของขาลงรอบใหญ่ทางเศรษฐกิจ มีหนี้สูง ($32 ล้านล้าน) ที่ไม่สามารถชำระได้ยกเว้นการพิมพ์เงินมาจ่ายหนี้ ระบบธนาคารของสหรัฐฯ กำลังล่มสลายจากฟองสบู่การเงินที่มีรอยร้าวลึก ดอกเบี้ยที่คงอยู่ในระดับสูงจะทำให้เศรษฐกิจพัง แต่ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้ เพราะว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าก่อหนี้ โดยไม่ลดการใช้จ่าย ความมั่นใจในการถือครองดอลลาร์กำลังถูกสั่นคลอน
สิ่งที่ทางสหรัฐฯ เกรงกลัวมากที่สุดในเวลานี้คือการที่จีน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ เตรียมเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ $859,000 ล้านที่ถืออยู่ออกไป เพื่อเป็นการตอบโต้การที่สหรัฐฯ สนับสนุนไต้หวันให้แยกตัวเป็นรัฐอิสระ
นางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังของสหรัฐฯ ถูกสมาชิกสภาคอนเกรสซักถามว่า มีการเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างไร ในกรณีที่จีนตัดสินใจดัมป์ทิ้งพันธบัตรสหรัฐฯ จนเกลี้ยงพอร์ต
ปรากฏว่านางเยลเลนตอบคำถามได้ไม่ชัดเจน เพราะว่าไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรจริงๆ ได้แต่พูดว่า สหรัฐฯ ไม่มีทางแยก (de-couple) ออกจากเศรษฐกิจจีนได้
ที่ผ่านมาเยลเลนพยายามที่จะส่งสัญญาณให้จีนช่วยซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ต่อไป หรืออย่างน้อยอย่าได้ขายพันธบัตรออกมา เพราะว่ากระทรวงคลังต้องออกบอนด์ระยะสั้นใหม่อีก $1 ล้านล้านภายในปีนี้เพื่อเติมเต็มเงินคงคลังหลังจากที่เสียเวลาไปร่วมครึ่งปี ไม่สามารถออกพันธบัตรได้ในช่วงที่กฎหมายยกเพดานหนี้ยังไม่ผ่านสภาจากความขัดแย้งในการเมืองภายใน
เมื่อเร็วๆ นี้ นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ถูกส่งตัวไปปักกิ่ง เพื่อเจรจาจีนเปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างทหารอเมริกันกับทหารจีน และให้ชะลอการขายพันธบัตรสหรัฐฯ แต่บลิงเคนกลับบ้านมือเปล่า เพราะว่าจีนมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ให้คำสัญญาอะไรที่เป็นรูปธรรม คล้อยหลังการเยือนจีนของบลิงเคน โจ ไบเดนกล่าวหาว่าสี จิ้นผิง เป็นผู้นำเผด็จการ ซึ่งไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดีขึ้นแต่อย่างใด
การเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลกที่กำลังเกิดขึ้น คือการที่ประเทศต่างๆ กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และจะยกเลิกเงินกระดาษที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน โดยจะหันไปใช้เงินดิจิทัลแทน แต่เงินดิจิทัลนั้นจะมีทองคำหนุนหลังหรือไม่จะเป็นประเด็นใหญ่เหมือนอย่างที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ของไอเอ็มเอฟได้ตั้งข้อสังเกต
ในเวทีประชุมของ St. Petersburg International Economic Forum ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียได้ประกาศว่ารัสเซียจะสนับสนุนให้เงินหยวนเป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนดอลลาร์ ซึ่งทำให้จีนหนักใจพอสมควร เพราะว่าการเอาหยวนมาแข่งกับดอลลาร์เท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับสหรัฐฯ โดยตรง เวลานี้รัสเซียได้หันหลังให้ดอลลาร์กับยูโร และหันมาใช้หยวนเป็นหลักในการค้าขายกับประเทศในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา
อย่างไรก็ดี มาถึงจุดนี้แล้ว สี จิ้นผิง ผู้นำของจีนจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินหน้าผลักดันให้หยวนมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในเวทีการเงินโลก โดยจีนจะไม่ซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่ม แต่จะเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ออกไป เพราะว่าไม่จำเป็นต้องถือครองดอลลาร์อีกต่อไป เนื่องจากเงินหยวนกำลังเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้นในบรรดาประเทศคู่ค้าของจีน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ดอลลาร์เป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนเหมือนอย่างในอดีต
เปโตรหยวนก็เกิดขึ้นแล้วจากการที่จีนสามารถใช้เงินหยวนซื้อน้ำมันจากรัสเซียและซาอุดีอาระเบียโดยตรง
ในชั้นแรก จีนอาจจะขายบอนด์สหรัฐฯ จนอาจจะเหลือประมาณ 10-20% ของพอร์ตเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังจากนั้นจีนจะประกาศผูกค่าเงินหยวนกับทองคำ
จีนเตรียมผูกค่าหยวนกับทองคำ
เมื่อจีนประกาศผูกเงินหยวนกับทองคำ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ เท่ากับเป็นการโยนระเบิดนิวเคลียร์เข้าไปในระบบการเงินโลก ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญวิกฤตการธนาคาร และวิกฤตหนี้ เพราะว่าความเชื่อมั่นในเงินหยวนจะเพิ่มขึ้น ใครๆ ก็อยากจะถือครองหยวน ในขณะที่ดอลลาร์หรือเงินสกุลอื่นๆ ที่ไม่มีทองคำหนุนหลังจะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ จากการถูกเทขาย
เงินบาทที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์กระดาษก็จะอ่อนค่าลงไปเมื่อค่าเงินอ่อน เงินเฟ้อจะถามหา ถ้าหากไม่มีการปรับเปลี่ยนระบบการเงินด้วยการหันไปถือครองหยวน และซื้อทองคำเพิ่มในพอร์ต
ตามรายงานของ Gold World Council ในไตรมาสแรกของปีนี้ จีนมีทองคำสำรอง2,068 ตัน ส่วนรัสเซียมี 2,326 ตัน แต่นั่นเป็นเพียงตัวเลขที่เป็นทางการ ส่วนตัวเลขจริงนั้น ทั้งจีนและรัสเซียน่าจะที่เป็นมหาอำนาจโลกด้านทองคำที่ไร้คู่แข่ง โดยทั้งจีนและรัสเซียน่าจะมีทองคำสำรองอยู่ไม่น้อยกว่า 30,000 ตัน
การที่หยวนจะต้องอิงกับทองคำ จะทำให้จีนต้องซื้อทองคำเพิ่มเข้าคลังสำรองเพื่อที่จะหนุนค่าเงิน ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นในอนาคต
เมื่อจีนให้ค่าเงินหยวนไปผูกกับทองคำ กลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ก็จะทำตามอย่างพร้อมเพียงกัน โดยจะใช้ทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์มาหนุนหลังค่าเงินของตัวเอง ทำให้ระบบการเงินของบริกส์จะมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับระบบการเงินของตะวันตก ซึ่งมีแต่หนี้ และกระดาษที่ไร้ค่า
ในระหว่างการประชุมซัมมิตระหว่างวันที่ 23-24 สิงหาคมที่จะมีขึ้นที่เมืองJohannesburg ประเทศแอฟริกาใต้ ผู้นำของบริกส์จะมีการประกาศให้มีการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าขายกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะหนุนบทบาทของเงินหยวน และจะประกาศสร้างเงินสกุลร่วม ที่มีทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง
ต่อไปเงินสกุลร่วมของบริกส์สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ และสามารถทำหน้าที่เป็นเงินรีเสิร์ฟได้อีกด้วย
เงินตราที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเงินตรากระดาษ หรือ CBDC ที่ไม่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง
ในระบบการเงินที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลัง ธนาคารกลางจะพิมพ์เงินออกมาหมุนเวียนในระบบตามปริมาณทองคำสำรอง หรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอยู่ ทำให้ค่าเงินมีเสถียรภาพ และมีความน่าเชื่อถือ ไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ เพราะว่าเงินเฟ้อเกิดจากปริมาณเงินที่เพิ่มโดยไม่มีวินัยการเงินการคลัง ต่างจากระบบเงินกระดาษปัจจุบันที่มีการเพิ่มปริมาณเงินโดยไร้วินัยทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อที่หนักหน่วงในเวลานี้ และเมื่อเกิดเงินเฟ้อ จำต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้เศรษฐกิจพัง และผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งชนชั้นกลางมีมาตรฐานการครองชีพที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ
ในระบบมาตรฐานทองคำปริมาณเงินมีระบบมาตรฐานทองคำค้ำคออยู่ทำให้มีการรักษาวินัยการเงิน และการคลังไปในตัว
เงินสกุลร่วมของ BRICS จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทั้ง 5 ประเทศหันไปผูกค่าเงินของตัวเองกับทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์ หลังจากนั้น จะมีการสร้างเงินสกุลร่วมที่จะมีตะกร้าเงินที่ประกอบด้วยเงินหยวนของจีน รูเบิลของรัสเซีย รูปีของอินเดีย เรียลของบราซิล และแรนด์ของแอฟริกาใต้
เงินสกุลร่วม BRICS จะกลายเป็นเงินหนึ่งในเงินสกุลหลักของโลกที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะว่ามีทรัพย์สินหนุนหลัง สามารถนำมาใช้ในการชำระสินค้าและบริการระหว่างประเทศได้ และสามารถเอาไปเป็นรีเสิร์ฟหรือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศได้
ธนาคาร New Development Bank ของ BRICS จะทำหน้าที่ในการ settlements เงินสกุลร่วม
ในขณะเดียวกัน BRICS กำลังเดินหน้าค้าขายกันด้วยเงินสกุลท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องสำรองดอลลาร์อีกต่อไป
การออกจากอิทธิพลดอลลาร์จะทำให้เซฟต้นทุนค่าใช้จ่าย ไม่ถูกสหรัฐฯ แซงชั่น และลดความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน
เมื่อหยวนผูกค่าเงินกับทองคำ หรือ BRICS สร้างเงินสกุลร่วมที่มีทรัพย์สินหนุนหลัง จะเทียบเท่ากับการเอาระเบิดนิวเคลียร์โยนใส่ระบบดอลลาร์กระดาษของสหรัฐฯ อันจะนำไปสู่การปฏิวัติระบบการเงินโลกที่จะตามมา นักลงทุน บริษัท ธนาคาร หรือประเทศต่างๆ จะทิ้งดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ เยนหรือเงินสกุลอื่นๆ ที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลัง และจะหันมาถือครองหยวน หรือเงินสกุลที่มีทรัพย์สินหนุนหลังแทน เพราะว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่า
สิ่งที่ตามมาคือค่าเงินหยวน หรือค่าเงินที่ผูกกับทองคำจะแข็งค่าขึ้น และมีเสถียรภาพมากกว่า ในขณะที่ค่าเงินที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลังจะอ่อนตัวลงอย่างฮวบฮาบ ผู้ถือครองจะไม่มั่นใจ จะพากันเททิ้ง ทำให้เกิดเงินเฟ้อในระบบที่ใช้ค่าเงินที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลังนั้น
ถ้าหากดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ เยน หรือเงินกระดาษอื่นๆ ต้องการรักษาความเชื่อมั่น จำต้องหาทองคำ หรือทรัพย์สินอื่นมาค้ำค่าเงินของตัวเอง ซึ่งอาจจะไม่สามารถจะกระทำได้ เนื่องจากปริมาณเงิน รวมทั้งหนี้ที่อยู่ในระบบมีมากเกินทรัพย์สินที่จะเอามาหนุน และค่าเงินจะถูกล่าค่าลงไปอย่างน่าตกใจ
จีน รัสเซีย และบริกส์กำลังก่อสงครามนิวเคลียร์ทางการเงินกับโลกตะวันตก