ไปที่ไหนก็มีคนถามว่าพรรคก้าวไกลจะจัดตั้งรัฐบาลได้ไหมคำตอบของผมคือ ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้นะ ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
ถ้ามองผ่านสื่อจะเห็นว่า การพูดคุยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคการเมือง 312 เสียงนั้นดูเหมือนจะคืบหน้าไปมากทุกอย่างราบรื่น มีการเปิดเผยออกมาว่าคนไหนจะนั่งกระทรวงไหน มีการเตรียมตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านเหมือนกับว่าไม่มีอุปสรรคอะไร พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่ชนิด 100%
พิธาเองก็เดินสายไปพบหน่วยงานโน้นหน่วยงานนี้ ทั้งสภาอุตสาหกรรม หอการค้า รวมไปถึงมีข่าวออกมาว่ามีการเรียกข้าราชการหน่วยงานต่างๆ ไปพบ มีภาพออกมานั่งรถเมล์ร้อนบ้าง นั่งรถมอเตอร์ไซค์บ้างเพื่อไปให้ทันงาน ดูเหมือนว่าจะยุ่งจนจัดเวลาวางแผนการเดินทางไม่ได้มีความกระตือรือร้นดี
มีคนอธิบายว่าการที่พิธาเรียกหน่วยงานต่างๆ ไปพบหรือเข้าไปพบองค์กรต่างๆแสดงตัวเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้วเหมือนกับระบบประธานาธิบดีที่หลังเขาชนะเลือกตั้งก็เตรียมตัวเพื่อเข้ารับตำแหน่งเลยต้องเตรียมพร้อมเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจะได้มีความพร้อมเมื่อเข้าไปทำงาน
แต่ระบบนายกรัฐมนตรีของไทยไม่ใช่แม้ชนะเลือกตั้งได้ที่นั่งอันดับ 1 แล้วได้เป็นนายกรัฐมนตรีทันที แต่ต้องสามารถรวบรวมเสียงข้างมากเพื่อชนะโหวตในสภาฯ ก่อนเว้นแต่ว่าพรรคก้าวไกลชนะถล่มทลายได้เสียงข้างมากในสภาฯ แต่นี่ไม่ใช่เพราะได้เสียงมาแค่ 151 ไม่ถึง 1 ใน 3 ด้วยซ้ำไป
เราเพิ่งเห็นครั้งแรกที่พรรคที่ชนะเลือกตั้งทำแบบนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะได้เป็นไหมเพราะตอนนี้ยังไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะได้เสียง 376 เสียงแม้จะใช้คนใกล้ชิดระดมโทร.ไปกดดัน ส.ว.เป็นรายบุคคล
แต่มองอีกด้านหนึ่งพิธาทำแบบนี้เพื่อสร้างกระแสสังคมกดดันว่าตัวเองต้องได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากไม่ได้เป็นจะมีความวุ่นวายตามมาเพราะด้อมส้มคงจะไม่ยอมแน่ ผมแปลกมากที่ได้เสียงแค่นี้แต่มีสื่อบางคนบอกว่าเป็นปรากฏการณ์บ้างหรือก้าวไกลชนะถล่มทลายบ้าง ทั้งที่ชนะอันดับ 2 แค่ 10 เสียงและห่างไกลจากเสียงกึ่งหนึ่งเป็นร้อย
ต้องยอมรับว่าถึงตอนนี้โอกาสของพิธาน้อยลงทุกที แต่ใจจริงผมอยากให้เป็นตั้งแต่ตอนนี้นะเพราะศึกษาแล้วนโยบายหลายอย่างทำไม่ได้แน่ ทั้งนโยบายปฏิรูปกองทัพหรือนโยบายรีดภาษีเพื่อสร้างรัฐสวัสดิการ ซึ่งภาระจะอยู่กับประชาชนและเอกชน ฯลฯ และจะเกิดความวุ่นวายตามมาสุดท้ายก็จะแพ้ภัยตัวเองคือจะจบเร็ว
ลองนึกภาพดูสิครับ พรรคก้าวไกลมีนโยบายปฏิรูปกองทัพโดยยกเลิกสภากลาโหม ยกเลิก กอ.รมน. ลดกำลังพลลง 30-40% ลดจำนวนนายพล, ยกเลิกศาลทหาร, ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, ยกเลิกกฎอัยการศึก 3 จังหวัดใต้, ตั้งผู้ตรวจการกองทัพ, กองทัพอยู่ใต้ประชาชน, คืนที่ดินกองทัพให้ประชาชนยังมีนโยบายเอาธุรกิจออกจากกองทัพด้วย เช่น สนามกอล์ฟ, สนามมวย, สนามฟุตบอล, ช่อง 5, สนามม้า, ปั๊มน้ำมันในที่ดินกองทัพ ฯลฯ นโยบายเหล่านี้จะทำได้จริงไหม
นโยบายรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าที่จะเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3,000 บาท ให้ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท เด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบได้เงินเดือนละ 1,200 บาท แม่ลาคลอด 6 เดือนรับเงินประกันสังคม 5,000 บาท ผู้สูงอายุติดเตียงรับค่าเลี้ยงดูเดือนละ 9,000 บาท เสียชีวิตรับเงินค่าทำศพ 10,000 บาท ช่วยค่าเช่าบ้านผู้มีรายได้น้อยเดือนละ 1,000 บาท ช่วยผ่อนบ้านผู้มีรายได้น้อยเดือนละ 2,500 บาท ซึ่งจะต้องใช้เงิน 6.5 แสนล้านบาท ที่พรรคก้าวไกลบอกว่าจะมาจากการจัดเก็บภาษีต่างๆ ลดโครงการที่ไม่จำเป็น รายได้จากการเรียกคืนธุรกิจของกองทัพ หวยบนดิน เงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ ลดงบกลางลง ฯลฯ
ซึ่งจะเห็นว่าภาระต่างๆ จะถูกผลักไปให้ประชาชนและภาคเอกชน และมีคำถามว่าจะจัดสรรเงินและลดงบประมาณได้ตามเป้าที่พรรคก้าวไกลวางไว้ได้จริงไหม และเมื่อมีการสัมภาษณ์คนที่คิดว่าจะเป็นรัฐมนตรีคลังของพรรคก้าวไกลคือ ศิริกัญญา ตันสกุล ก็มีเสียงไม่เชื่อมั่นจากคนในวงการธุรกิจตามมา จนธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องออกมาช่วยการันตีเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น แต่ก็มีคำถามว่าสถานะของธนาธรจะสามารถการันตีให้เกิดความเชื่อมั่นได้จริงๆ หรือ
หรือการจัดทำงบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Based Budgeting) การปรับกระบวนการจัดทำงบประมาณในแต่ละปีโดยไม่อ้างอิงจากการจัดงบในอดีต แต่จะอ้างอิงจากความเร่งด่วนและขนาดของปัญหาที่ประเทศเผชิญในแต่ละปีเป็นหลัก จะส่งผลดีจริงไหมเพราะการจัดงบประมาณแบบเดิมรัฐบาลต้องจัดสรรงบฯ สำหรับบุคลากรภาครัฐคิดเป็น 1 ใน 3 ของงบประมาณทั้งหมดซึ่งต้องมีงบส่วนนี้เป็นตัวตั้งอยู่แล้ว
รวมถึงทีมงานที่มีการเปิดเผยมาว่าจะเป็นผู้เจรจาสันติภาพชายแดนใต้แทนคณะทหารแล้ว ซึ่งผมหวังว่าจะไม่ใช้ทีมนี้จริงๆ เพราะเมื่อเห็นหลายคนต้องร้องโอ้ว่านี่จะเป็นการเจรจาที่จะใส่พานให้ฝ่ายต้องการแบ่งแยกดินแดนไหม
ส่วนตัวผมจึงอยากเห็นมากนะครับว่า พิธาและรัฐบาลที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจะเข้ามาบริหารประเทศได้จริงไหม ผมอยากให้พิธาเป็นนายกฯ แต่ในวงของฝ่ายที่ห่วงใยประเทศก็พูดทำนองว่า จะเอาประเทศไปให้คนที่ไม่มีประสบการณ์จะไม่เกิดผลเสียมากกว่าหรือ ขณะที่อีกด้านก็บอกว่าถ้าไม่ได้เป็นเที่ยวหน้าก็จะมาเยอะกว่านี้เพราะก้าวไกลจะเล่นบทฝ่ายค้านในสภาฯ ที่พูดเก่งลีลาดีกันทุกคน คนก็คงแห่ออกมาเลือกกันมากขึ้นโดยไม่สนใจเหมือนครั้งนี้ว่าผู้สมัครเป็นใครมาจากไหนแบบส่งเสาไฟฟ้าก็เลือก
อยากให้พิธาเป็นนายกฯ ตั้งแต่ตอนนี้จริงๆ นะครับ แต่ดูท่ามีโอกาสเป็นแม่สายบัวสูงซึ่งผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยเพราะตอนนี้ดูเหมือน ส.ว.ที่จะยกมือให้แบบเท่ๆ นั้นยังมีไม่กี่คน ฟังมาว่าหลายคนเขามีความหวั่นไหวกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ทั้งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และรูปแบบของรัฐ ซึ่งจะส่งผลเสียตามมาอย่างใหญ่หลวง และหากเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ยกมือสนับสนุนพิธาเป็นนายรัฐมนตรี เขาก็ต้องร่วมแบกรับความรับผิดชอบนั้นด้วย
แม้บันทึกความเข้าใจร่วมกันของ 8 พรรคหรือเอ็มโอยูบอกว่าจะไม่แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่พิธาก็ยังยืนยันว่าพรรคของเขาจะผลักดันให้แก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งเราทราบว่าไม่ต่างกับการยกเลิกตรงไหน เพราะจะลดโทษคนที่ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ให้เหลือเท่ากับโทษดูหมิ่นบุคคลธรรมดาในปัจจุบัน แล้วให้พระมหากษัตริย์เป็นคู่กรณีกับผู้กระทำผิด โดยมีสำนักพระราชวังเป็นผู้กล่าวโทษแทน
ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างพระมหากษัตริย์และประชาชน
และชัดเจนว่า พรรคก้าวไกลต้องการตำแหน่งประธานสภาฯ เพื่อผลักดันเป้าหมายนี้ เพราะในสมัยที่นายชวน หลีกภัย นั่งเป็นประธานสภาฯ นั้นยืนยันว่า ไม่สามารถบรรจุญัตติแก้ไขมาตรา 112 เข้าสู่การพิจารณาได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 6 การคุ้มครองสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์
ถึงตรงนี้ต้องบอกว่าโอกาสเห็นพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเหลืออยู่น้อยมาก แม้เราอาจจะต้องเสี่ยงกับพายุที่โหมกระหน่ำมาอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ตาม
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan