xs
xsm
sm
md
lg

“ประธานสภา”ต้องเป็นของข้า ใครอย่าแหยม! เบื้องหลังก้าวไกลขัดใจเพื่อไทย เพื่อเป้าหมาย "ธนาธร-ปิยบุตร" คุมเกมดันยกเลิก ม.112!!? ** อย่าดูเบา!! “เรืองไกร” ตัวพลิกเกม โยนระเบิดเอ็มโอยู ใส่ 8 พรรคร่วม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว


**“ประธานสภา”ต้องเป็นของข้า ใครอย่าแหยม! เบื้องหลังก้าวไกลขัดใจเพื่อไทย เพื่อเป้าหมาย "ธนาธร-ปิยบุตร" คุมเกมดันยกเลิก ม.112!!?


แม้จะเซ็นเอ็มโอยูจัดตั้ง “รัฐบาลทิพย์” ร่วมกันด้วยภาพที่บรรจงสร้าง ว่าจะจับมือก้าวเดินไปด้วยกันยันสู่สภาฯ โหวตนายกฯ แต่สิ่งที่เคลื่อนไหวในตอนนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ “ด้อมส้ม” ที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยอยากเห็น “รัฐบาลแดดดี๊” จัดตั้งเร็วๆ ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ ด้วยคำถามที่ว่า ไหวป่ะ?

ไหนจะศึก “มารยาท” ระหว่าง “หมอชลน่าน” ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กับ “แดดดี๊ปุ่น” ศิธา ทิวารี จากพรรคไทยสร้างไทย ในสังกัด “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แม้ฝ่ายหลังจะออกมาขอโทษขออภัยที่ล้ำเส้น แต่ดูเหมือน “หมอชลน่าน” จะอารมณ์ค้าง ด้วยคำพูดที่ว่า “นี่ถ้าชกได้ ชกไปแล้ว” บ่งบอกว่า เรื่องนี้จะไม่จบแค่คำขอโทษแน่ๆ วิ

ไหนจะเรื่อง “หยุมหัว”กันภายในพรรคเอง เมื่อทั่น “นายกฯพิธา” ที่ฟินกับตำแหน่ง “นายกทิพย์” โชว์ฟิต ไปประชุมกับสภาอุตสาหกรรมฯ แล้วออกมาเปรยๆ นโยบายขึ้นค่าแรง 450 บาททำไม่ได้ในทันที ดูทรงจะลงที่ทรงอย่างแบด ไม่ตรงปก เพราะส.ส.ลูกพรรคที่อุตสาห์ได้คะแนนจากชาวโรงงาน ผู้ใช้แรงงานมาล้นๆ ออกมาสวน “พิธา” ด้วยความไม่พอใจ ยืนยันเสียงแข็ง ยังไงๆ รับปากมาแล้วก็ต้องทำสิ... อย่า “สู้ไป โกหกไป” แบบนี้

นี่ยังไม่นับประเด็นขัดแย้ง “112ไม่แก้ ไม่มีกู” ก่อนหน้านี้ หรือ ติ่ง 3 นิ้วแนวร่วมชักไม่พอใจท่าทีพรรคที่ไม่ร่วมกดดัน ส.ว.ให้โหวต “พิธา”

ชนวนแตกแยกที่หนักหนาเป็นประเด็นส่อแววขัดแย้งกันบานปลายในพรรคร่วมสดๆ ร้อนๆ ก็คือ ตำแหน่ง “ประธานสภา” ที่ ก้าวไกลปักป้ายจอง ตำแหน่งนี้ต้องเป็นของข้า ใครอย่าแหยม แต่เพื่อไทยพรรคอันดับสองโดดออกมาขวาง

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เรื่องของเรื่องก็มาจาก “ปิยบุตร แสงกนกกุล” โพสต์เฟซบุ๊ก ส่งสัญญาณตรงๆว่า ตำแหน่งประธานสภาต้องเป็นของพรรคก้าวไกล แนะนำพรรค ไม่ควรพลาดล็อกเป้าหมายไว้ให้เรียบร้อย

ขณะที่ “รังสิมันต์ โรม” โฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาสนับสนุนเลขาธิการคณะก้าวหน้า ว่า อันที่จริงก็เหมือนกับที่ “ชัยธวัช ตุลาธน”เลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า นอกจากตำแหน่งนายกฯแล้ว ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล จะขอด้วย

ที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวานนี้ จึงไม่แปลกที่ “หมอชลน่าน” จะเปิดฉากฟาดปาก “ปิยบุตร” ถามว่า คุณเป็นใครกันเหรอ? พูดในทำนอง จะเอาตำแหน่งนี้ ถามกูหรือยัง !?

“หมอชลน่าน” ยังด้อยค่า ไม่ให้ราคา “ปิยบุตร” ว่าน่าจะเป็นการการแสดงความคิดเห็นของคนที่เรียกได้ว่าเป็น “คนทั่วไป” ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้พูดคุยกัน ปิยบุตรพูดเพื่อกดดันและปิดช่องไม่ให้มีการพูดคุยกัน ซึ่งดูแล้วไม่ใช่แง่บวกเท่าไหร่

ถามว่า ทำไมพรรคก้าวไกลต้องการตำแหน่ง “ประธานสภา” มีเบื้องหลังว่ากันว่า เพราะ ตำแหน่งนี้เป็นสุดยอดปรารถนาของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ดูโอผู้เป็น “ตัวพ่อส้ม” ตัวจริง ด้วยเป็น “จิ๊กซอว์” ตัวสำคัญที่จะผลักดันกฎหมายต่างๆ

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ปิยบุตร แสงกนกกุล
ครั้งหนึ่งดูโอคู่นี้เคยคิดโมเดลจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ถ้า “ธนาธร”
เป็นนายกฯ “ปิยบุตร” ก็ต้องเป็นประธานสภาฯ ประสานเสริมซึ่งกันและกัน
จะผลักดันแก้ไข หรือยกเลิกกฎหมายใดๆจะได้ทางสะดวก

วันนี้ก้าวไกลชนะเลือกตั้ง
ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ตอนนี้แม้จะเป็น “รัฐบาลทิพย์” และ ได้
“นายกทิพย์” เป็นพิธาแล้ว ก็อยากจะได้คืบเอาศอก ไม่ถามไม่ไถ่พรรคเพื่อไทย
ขัดใจพรรคร่วม ก็ขอกันตรงๆ เพื่อทำความฝัน “ธนาธร-ปิยบุตร” ให้เป็นจริง
ผลักดันกฎหมายต่างๆที่คิดเอาไว้ ซึ่งแน่นอนรวมถึง “ม.112”
ที่เปิดเผยตัวตนมานานแล้ว ว่าต้องการแตะมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่น่าแปลกใจที่ทำไม
“ปิยบุตร” จึงหงุดหงิดเก็บอาการไม่อยู่ โกรธเกรี้ยวเอากับ “นายกฯพิธา”
ยอมรับไม่ได้ที่ ทำไมไปเพิ่มถ้อยคำเป็น “บ่วงรัดคอ” ตัวเองที่ว่า
“ต้องไม่กระทบกับรูปแบบของรัฐและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และการดำรงอยู่ในสถานะอันเป็นที่สักการะ
ผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์” ใน Mou

สมัยที่แล้ว
ก้าวไกลขอแก้ ม.112 แต่ถูก “ชวน หลีกภัย”ประธานสภาฯ เบรกไว้
ไม่บรรจุเข้าวาระการประชุมสภา นั่นทำให้ “ธนาธร-ปิยบุตร” ขบกราม
กำหมัดด้วยทำอะไรไม่ถนัด มาวันนี้คิดว่าตัวเองกำลัง “เป็นต่อ”
จะเป็นจะตายต้องได้ตำแหน่ง “ประธานสภา” เท่านั้น

นี่เป็นปมที่ต้องติดตามกันอย่ากระพริบตา.

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว
** อย่าดูเบา!! “เรืองไกร” ตัวพลิกเกม โยนระเบิดเอ็มโอยู ใส่ 8 พรรคร่วม

“เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” จัดว่าเป็นนักน้องดัง ที่มีผลงานทำให้ผู้ถูกร้องพังมาแล้วหลายราย ดังนั้น เรื่องอะไรที่เขาหยิบมาร้องเรียนก็มักเป็นที่สนใจของสังคมอยู่เสมอ

อย่างช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งส.ส.ครั้งล่าสุด เพียงไม่กี่วัน “เรืองไกร” ได้ไปยื่นหนังสือต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ว่าเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) หรือไม่

“เรืองไกร”อ้างว่า เขาตรวจสอบพบว่า “พิธา” ถือหุ้นใน บมจ. ไอทีวี (ITV) และระบุอีกว่าบริษัทดังกล่าวยังคงดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน โดยตามการจดแจ้งกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อ

ประเด็นนี้ ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง ทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย กับการเคลื่อนไหวของ “เรืองไกร” ที่ออกมาเตะสกัด “พิธา”ในช่วงนี้ ... บ้างก็ว่า งานนี้คงได้ไฟเขียวจาก “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะเรืองไกร เป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่ “ลุงป้อม”เป็นหัวหน้าพรรค... บ้างก็ปะติดปะต่อว่า ไอทีวี เคยเป็นบริษัทของ“ทักษิณ ชินวัตร” หลายคนที่ยังอยู่ในพรรคเพื่อไทยตอนนี้ รู้และเข้าถึงข้อมูล ว่ามีใครถือหุ้นบ้าง ก็เอาข้อมูลยัดใส่มือ “เรืองไกร” ให้ไปร้องเรียน

เรื่อง “พิธา” ถือหุ้นสื่อไอทีวี จึงเหมือนเป็นบ่วงที่คล้องคอ “พิธา”อยู่ รอวันที่ กกต.จะกระตุก แล้วลากไปขึ้นเขียงที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเมื่อพรรคก้าวไกลกับอีก 7 พรรคการเมืองร่วมเซ็น “เอ็มโอยู” เพื่อร่วมรัฐบาลกันเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา...ด้วยความภาคภูมิใจว่านี่เป็นมิติใหม่ เป็นครั้งแรกที่พรรคร่วมรัฐบาลมาลงนามทำข้อตกลงร่วมกัน ...แต่แล้วล่าสุดเมื่อวานนี้ (24 พ.ค.) เรืองไกร ได้ไปยื่นเรื่องต่อกกต. ขอให้ตรวจสอบทั้ง 8 พรรคการเมือง ที่ร่วมเซ็น MOU จัดตั้งรัฐบาลกันนั้น อาจเข้าข่ายกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง!!

“เรืองไกร” เห็นช่องว่า แต่ละข้อที่มีการลงนามบันทึกข้อตกลงกันนั้น มีประเด็นที่น่าสงสัยตรงคำว่า “บันทึกข้อตกลงร่วม” ไม่ตรงกับคำว่า “บันทึกความเข้าใจร่วมกัน” ในการจัดตั้งรัฐบาล และคำว่า “ผู้แทนราษฎร” ที่ถูกควรเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” นอกจากนี้ ในรัฐธรรมนูญ มีการบัญญัติว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ย่อมเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัด หรือการครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์

เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
สำหรับพรรคการเมืองที่มี คณะกรรมการบริหารพรรค เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองตามข้อบังคับ ซึ่งต้องกระทำด้วยความรอบคอบ และต้องรับผิดชอบร่วมกัน ในเรื่องของมติต่างๆ และที่สำคัญคือ ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอม หรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่สมาชิกพรรคครอบงำ หรือ ชี้นำ ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม

และจากการตรวจสอบเบื้องต้น โดยเฉพาะข้อบังคับพรรคก้าวไกล เมื่อปี2563 ไม่พบการกำหนดที่เกี่ยวกับการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ในการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งในเรื่องของอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าพรรค ได้มีข้อกำหนดไว้ชัดเจน จึงเห็นได้ว่า พรรคการเมืองทั้ง 8 พรรค ที่ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ อาจขัดต่อข้อบังคับของ พรรคก้าวไกล เนื่องจากไม่พบรายละเอียดการกำหนดที่เกี่ยวกับการลงนามดังกล่าว และยังอาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจได้ว่า แต่ละพรรคการเมือง ต่างฝ่ายต่างยินยอมให้หัวหน้าพรรคการเมือง ที่เป็นบุคคลอื่น ซึ่งไม่ใช่สมาชิก กระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ กิจกรรมของพรรคการเมือง ในลักษณะที่ทำให้ขาดความอิสระ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม จึงมีเหตุอันควรให้ กกต. ตรวจสอบเรื่องนี้

“เรืองไกร” บอกว่า เรื่องนี้ไม่เพียงจะนำไปสู่การพิจารณายุบพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่จะยุบทั้ง 8 พรรค เพราะต่างฝ่ายต่างยอมรับเงื่อนไข ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคซึ่งกันและกัน เข้ามาครอบงำ โดยเอกสารที่เซ็นทั้ง 8 รายชื่อ ลงนามโดยหัวหน้าพรรคทั้งหมด เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องการขาดคุณสมบัติเฉพาะตัว แต่เป็นเรื่องพรรคการเมือง ฝ่าฝืนมาตรา 28 หรือไม่ แล้วจะเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 92 (3) ในพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ยุบพรรคหรือไม่

การร้องเรียนครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่เป็นเพราะเห็นว่า มีเหตุให้ต้องตรวจสอบ จึงมาทำหน้าที่ยื่นคำร้อง และหลักฐานก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่มีการปั้นพยานหลักฐานเท็จใดๆ ทั้งสิ้น ประเด็นจะเข้าข่ายหรือไม่ขึ้เนอยู่กีบกกต.พิจารณา

และที่ว่าจงใจยื่นร้องเรียนเฉพาะฝ่ายตรงข้ามลุงๆ ก็ไม่จริง เพราะที่ผ่านมา ก็เคยร้องเรียนเรื่องของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ทั้งเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี การถวายสัตย์ฯ เรื่องบ้านพัก... ส่วน “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ก็เคยร้องเรื่องนาฬิกายืมเพื่อน สำหรับตนเองแล้ว ใครทำผิด และมีเหตุให้ร้องก็จะร้องทั้งนั้น

หากไปดูประวัติของ “เรืองไกร” ในช่วง 10 กว่าปีย้อนหลัง จะเห็นว่าเขาเคยอยู่มาแล้วทั้งสองขั้วการเมือง และก็เคยยื่นเรื่องร้องเรียนคนของทั้งสองขั้วมาแล้วเช่นกัน อย่าง “สมัคร สุนทรเวช” ไปทำรายการชิมไป บ่นไป จนตกเก้าอี้นายกฯ ก็เพราะนักร้องที่ชื่อ “เรืองไกร” คนนี้ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น