xs
xsm
sm
md
lg

โอกาสของว่าที่นายกฯพิธา กับประเทศไทยที่จะเปลี่ยนไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

 ต้องยอมรับว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แม้ส่วนใหญ่จะเห็นตรงกันตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านหรือพรรคที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทน แต่ไม่มีใครคิดว่า พรรคที่ได้อันดับ 1 จะเป็นพรรคก้าวไกล เพราะใครๆ ก็ล้วนเชื่อว่าจะต้องเป็นพรรคเพื่อไทย แถมพรรคเพื่อไทยยังเชื่อว่า พวกเขาจะแลนด์สไลด์ด้วยซ้ำไป

แม้จะดูตื่นเต้นดีใจกันใหญ่ในกลุ่มคนที่เชียร์พรรคก้าวไกล แต่ก็ได้เพียง 152 ที่นั่งไม่ถึง 1 ใน3 ของทั้งหมด 500 ที่นั่ง เพียงแต่เป็นพรรคอันดับ 1 เท่านั้นเอง

หลังทราบผลเลือกตั้งว่าพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประกาศทันทีว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรี และวันต่อมาก็ประกาศว่า เขาจะควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย

โดยหลักการที่เขาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคอันดับ 1 ก็ใช่ที่เขาจะมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่าคนอื่น แน่นอนว่าทุกพรรคต้องเปิดทางให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลก่อน โดยเป้าหมายแรกก็คือ ต้องรวบรวมเสียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาคือต้องได้ 376 เสียงไม่ว่าจะมาจากเสียงของส.ส.หรือส.ว.ก็ดี และคนเหล่านั้นต้องเห็นตรงกันว่าจะยกมือให้กับพิธาในการโหวตนายกรัฐมนตรี

ก่อนที่จะเขียนต้นฉบับนี้ ก็ทราบกันว่าพรรคก้าวไกลได้เชิญพรรคต่างๆ เข้าร่วม แต่ยังรวมรวบเสียงได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งคือ 376 เสียง หากไม่ดึงพรรคอื่นเข้ามาเพิ่มแล้วก็รอความหวังจากส.ว.ที่กำลังถูกกระแสสังคมกดดันอย่างหนักว่าจะยกมือให้หรือไม่

ถ้าพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้คือรวบรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งไม่ได้ก็จะเปิดโอกาสให้พรรคอันดับ 2 เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลซึ่งพรรคเพื่อไทยพรรคอันดับ 2 ก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่จัดตั้งรัฐบาลแข่งแต่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลก่อน

 ผมเชื่อว่าระดับเซียนการเมืองอย่างทักษิณและนักการเมืองในพรรคเพื่อไทยหลายคนก็มองออกอยู่แล้วว่า พรรคก้าวไกลอาจไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้ว่ามีเวลาอีก 2-3 เดือนกว่าจะประกาศรับรองส.ส.และเปิดประชุมสภาก็ตาม

พรรคเพื่อไทยเองย่อมจะรอคอยเวลาที่พรรคก้าวไกลไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้ เพราะพรรคเพื่อไทยก็อยากจะเป็นแกนนำรัฐบาลและผลักดันแคนดิเดตของพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นแพทองธาร ชินวัตร หรือ เศรษฐา ทวีสิน เพราะเป้าหมายสำคัญคือ ทักษิณอยากกลับบ้านในช่วงที่พรรคมีอำนาจรัฐ เชื่อว่าที่ทักษิณประกาศจะกลับบ้านก่อนวันเกิดเดือนกรกฎาคมก่อนหน้านี้เพราะมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคอันดับ 1 แต่ตอนนี้เมื่อไปไม่ถึงเป้าหมาย ก็รอคอยโอกาสที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

อย่าลืมว่าพรรคของทักษิณไม่เคยแพ้การเลือกตั้งมาก่อนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แพ้ให้พรรคก้าวไกล ถ้าปล่อยให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลก็อาจจะไม่มีโอกาสของพรรคเพื่อไทยอีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์อีก 4 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยรอคอยที่จะช่วงชิงการจัดตั้งรัฐบาลมาจากพรรคก้าวไกลให้ได้ การประกาศให้โอกาสพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลก่อนเป็นสปิริตและการรอคอยอย่างเยือกเย็น ก็เพราะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าไม่ง่ายที่จะประสบความสำเร็จ

เห็นได้ว่าด้วยเงื่อนไขที่จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคโน้นพรรคนี้ของพรรคก้าวไกลนั้นทำให้ยากที่จะรวบรวมเสียงข้างมากได้ และด้วยนโยบายที่ “สุดโต่ง”ของพรรคก้าวไกลก็มีหลายพรรคประกาศว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลด้วย

 เลยมีตรรกะที่แปลกๆ จากบรรดากองเชียร์บางคนบอกว่า พิธาได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนให้เป็นนายกรัฐมนตรีดังนั้นทุกพรรคการเมืองจะต้องโหวตให้พิธา ถามว่ามันใช่เหรอ ตามหน้าโซเชียลมีเดียพวกที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลพูดทำนองว่า พรรคอื่นเช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทยต้องเคารพมติของประชาชนต้องยกมือให้พิธาด้วยแม้จะไม่ได้ร่วมรัฐบาล ซึ่งผมงงกับตรรกะนี้มาก เพราะการจะยกมือให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเขาต้องเห็นด้วยว่าอยากให้คนนี้เป็นนายกฯ ไหม เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคที่จะมาเป็นรัฐบาลไหม

และตรรกะนี้ไม่เคยมีมากก่อนตั้งแต่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี 2475

หรือบอกว่า ส.ว 250 คนต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ของส.ส.ต้องโหวตนายกรัฐมนตรีตามเสียงข้างมากในสภาผู้แทน ทั้งๆ ที่ตอนเป็นฝ่ายค้านนั้นเรียกร้องให้ส.ว.มีจุดยืนของตัวเอง แล้วถ้าส.ว.เขามีจุดยืนของตัวเอง เขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับการสนับสนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก้าวไกลเช่น การแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ การปฏิรูปกองทัพแบบที่พิธาเคยประกาศว่าสงครามสมัยนี้เขาใช้เรือประมงรบกันก็ได้ ด้วยการการลดกำลังกองทัพลง 30-40 % ลดจำนวนนายพล ยกเลิกสภากลาโหม ยกเลิกกอ.รมน. หรือยกเลิกกฎอัยการศึกในสามจังหวัดภาคใต้ หรือการยกเลิกระบบราชการส่วนภูมิภาค ฯลฯ ฉะนั้นพวกเขาก็มีสิทธิ์จะไม่ยกมือให้ นี่ต่างหากที่เป็นหลักการของระบอบประชาธิปไตย

แถมมีส.ว.ออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่าจะปิดสวิตซ์ตัวเองตามเสียงเรียกร้อง ดังนั้นถ้าพรรคก้าวไกลจะเป็นรัฐบาลก็ต้องรวบรวมเสียงส.ส.ให้ได้ 376 เสียง จนเริ่มมีความเคลื่อนไหวจากผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลในการกดดันส.ว.เพื่อข่มขืนใจให้สนับสนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้

พรรคก้าวไกลได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มากที่สุดประมาณ 14 ล้านเสียงก็จริง แต่จะอ้างว่านี่เป็นฉันทานุมัติของประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง 52 ล้านคนและมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 39 ล้านคนอีก 25 ล้านคนต้องการคนอื่นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่แน่นอนแหละว่าพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งได้เสียงมากที่สุดทำให้เป็นโอกาสของพิธาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่สิ่งที่ต้องทำคือต้องรวบรวมเสียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่งคือ 376 เสียงขึ้นไปซึ่งเป็นไปตามกติกาที่เขียนไว้

หากพรรคก้าวไกลไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ 376 เสียงก็เปิดโอกาสของพรรคการเมืองซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของระบบประชาธิปไตยไม่ใช่คิดว่า เมื่อพรรคก้าวไกลเป็นพรรคอันดับ 1 แล้วนายกรัฐมนตรีต้องเป็นพิธาเท่านั้นเป็นคนอื่นไปไม่ได้

และพรรคก้าวไกลต้องเข้าใจว่า การร่วมเป็นรัฐบาลของพรรคการเมืองนั้นนอกจากต้องเจรจาผลประโยชน์กันให้ลงตัวเช่นว่า พรรคการเมืองไหนจะดูแลกระทรวงเศรษฐกิจระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยซึ่งมีเสียงห่างกันไม่มากแค่นี้ก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้ว นอกจากนั้นการจะให้พรรคการเมืองเข้าร่วมเขาต้องดูว่าอุดมการณ์ทางการเมืองนั้นไปกันได้ไหม แม้ว่าพรรคการเมืองไทยจะไม่ได้มีอุดมการณ์มากกว่าผลประโยชน์ที่ลงตัวกันก็ตาม และที่สำคัญเขาต้องเห็นด้วยกับนโยบายของพรรคแกนนำรัฐบาลด้วยว่าไปกันได้หรือไม่

ต้องยอมรับนะว่านโยบายของพรรคก้าวไกลมีความสุดโต่ง นอกจากนั้นพรรคก้าวไกลมีแนวทางที่จะยกเลิกมาตรา 112 ต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และสนับสนุนการคลื่อนไหวของมวลชนบนท้องถนนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความรุนแรงหยาบคายจนหลายคนถูกดำเนินคดีมาตรา112 แล้วส.ส.ของพรรคก้าวไกลก็ไปเป็นนายประกันคนที่ถูกดำเนินคดี ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ ต้องการแก้ไขพรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระกษัตริย์ฯลฯ

การมีความคิดที่สนับสนุนการยกเลิกกำลังทหารในสามจังหวัดภาคใต้ที่มีแนวทางเอนเอียงไปกับข้อเรียกร้องของขบวนการปลดแอกรัฐปาตานี ล้วนแล้วแต่ทำให้หลายพรรคไม่อาจจะร่วมรัฐบาลด้วยได้ และพรรคก้าวไกลเองก็มีแนวคิดที่จะไม่ร่วมรัฐบาลกับบางพรรคการเมือง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอุปสรรคที่พรรคก้าวไกลที่พาตัวเองไปสู่ทางตัน

ดังนั้นถึงตอนนี้ก็เอาใจช่วยให้พรรคก้าวไกลรวบรวมเสียงให้ได้เพื่อประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย

 แม้ว่ายังไม่รู้ว่า พรรคก้าวไกลโดยนายกรัฐมนตรีชื่อพิธาจะนำพาประเทศไทยของเราไปทางไหน จุดยืนความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับสหรัฐอเมริกาจะทำให้ภูมิรัฐศาสตร์ของเราบนเวทีโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่เมื่อประชาชนส่วนใหญ่เลือกแล้วและหากสามารถรวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้ ถึงวันนั้นเราก็ต้องยอมรับชะตากรรมร่วมกัน

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น