“วลีที่ว่า สว่างมามืดไป เป็นลักษณ์หรือคุณสมบัติของกรรมประเภทหนึ่งใน 12 ประเภท และกรรมประเภทนี้หมายถึงกรรมซึ่งส่งผลให้ผู้กระทำมาเกิดในภพที่ดี แต่เมื่อเกิดแล้วต่อมาได้กระทำกรรมไม่ดี จึงส่งผลให้เส้นทางชีวิตมืดมน”
ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้นำวิบากกรรมประเภทนี้มาเปรียบกับเส้นทางการเมืองก้าวไกลในขณะนี้ ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. พรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ถึงแม้จะมีอายุก่อตั้งไม่นานแต่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น และคอการเมืองยุคใหม่จึงได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเหนือความคาดหมายของประชาชน จึงเข้าข่ายนับได้ว่าเป็นพรรคที่มีเส้นทางการเมืองสว่างมาตลอด โดยเฉพาะในการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับเลือกเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง 152 ที่นั่ง
2. แต่การได้รับเลือกเข้าเป็นจำนวนมากกว่าพรรคอื่น แต่ก็ไม่มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 ซึ่งต้องใช้เสียงในการเลือกนายกฯ ถึง 376 เสียง
ในขณะนี้พรรคก้าวไกลได้รวบรวมเสียง ส.ส.จาก 8 พรรคการเมืองได้เพียง 313 เสียง ยังขาดอยู่ 63 เสียง และมีแนวโน้มว่าจะหาเสียงเพิ่มให้ถึง 376 เสียงค่อนข้างยาก จึงทำให้เส้นทางการเมืองของพรรคก้าวไกลค่อนข้างจะมืดมน
3. ถ้าเผอิญพรรคก้าวไกลสามารถหาเสียงได้ 376 เสียง ไม่ว่าจากพรรคการเมืองอื่น หรือจาก ส.ว.และสามารถตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกลก็ยังจะเผชิญกับความมืดมนทางการเมือง เนื่องจากพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นแคนดิเดตหนึ่งเดียวของพรรคมีปัญหาคดีความในกรณีถือหุ้นไอทีวี และได้มีผู้ยื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบแล้ว และถ้า กกต.ตรวจสอบแล้วพบว่ามีมูล และยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และถ้าผลของการวินิจฉัยออกมาว่าผิดจริง เส้นทางของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคก้าวไกลก็เป็นอันจบลง เปิดทางให้พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นอันดับ 2 ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
ด้วยเหตุปัจจัย 3 ประการนี้ พรรคก้าวไกลจึงเข้าข่ายวิบากกรรมประเภทสว่างมามืดไปค่อนข้างแน่นอน
อีกประการหนึ่ง ถ้ามองในแง่ของโหราศาสตร์ซึ่งได้มีผู้รู้ศาสตร์นี้หลายท่านได้ออกมาพูดถึงดวงเมืองในแง่ของการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงบางท่านได้พูดถึงดวงบุคคลที่อยู่ในข่ายได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ดังที่เป็นข่าวและท่านผู้อ่านคงได้เห็นและได้ยินได้ฟังมาแล้ว
แต่ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นโหรสมัครเล่น ก็จะนำเรื่องนี้มาวิพากษ์อีกครั้งตามมุมมองของโหราศาสตร์ไทย โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ไปจนถึงเมษายน 2567
ดวงเมืองในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีดาวจรในตำแหน่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
จากดาวจรข้างต้น ถ้ามองในทัศนะของโหรแล้วจะพบว่า ดาวใหญ่ 3 ดวงคือ
1. ดาวพฤหัสบดีโคจรในราศีเมษ 6 องศา 14 ลิปดา หรือเกาะนวางค์ศุกร์
2. ดาวเสาร์โคจรในราศีกุมภ์ 6 องศา 49 ลิปดา หรือเกาะนวางค์พฤหัสบดี
3. ราหูโคจรในราศีเมษ 8 องศา 14 ลิปดา หรือเกาะนวางค์พุธ
จากดาวใหม่ 3 ดวงข้างต้นอนุมานได้ว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา ดวงเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นดาวฝ่ายกุศล หรือฝ่ายดีและดาวราหูซึ่งเป็นฝ่ายอกุศล ดังนั้น ผลของการเลือกตั้งจึงออกมาในลักษณะของการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายเลว ทำให้การดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลทำได้ยาก และถึงแม้จะตั้งได้ก็เกิดความวุ่นวายตามมา โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2566
ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้นำวิบากกรรมประเภทนี้มาเปรียบกับเส้นทางการเมืองก้าวไกลในขณะนี้ ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. พรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ถึงแม้จะมีอายุก่อตั้งไม่นานแต่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น และคอการเมืองยุคใหม่จึงได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเหนือความคาดหมายของประชาชน จึงเข้าข่ายนับได้ว่าเป็นพรรคที่มีเส้นทางการเมืองสว่างมาตลอด โดยเฉพาะในการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับเลือกเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง 152 ที่นั่ง
2. แต่การได้รับเลือกเข้าเป็นจำนวนมากกว่าพรรคอื่น แต่ก็ไม่มากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 ซึ่งต้องใช้เสียงในการเลือกนายกฯ ถึง 376 เสียง
ในขณะนี้พรรคก้าวไกลได้รวบรวมเสียง ส.ส.จาก 8 พรรคการเมืองได้เพียง 313 เสียง ยังขาดอยู่ 63 เสียง และมีแนวโน้มว่าจะหาเสียงเพิ่มให้ถึง 376 เสียงค่อนข้างยาก จึงทำให้เส้นทางการเมืองของพรรคก้าวไกลค่อนข้างจะมืดมน
3. ถ้าเผอิญพรรคก้าวไกลสามารถหาเสียงได้ 376 เสียง ไม่ว่าจากพรรคการเมืองอื่น หรือจาก ส.ว.และสามารถตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกลก็ยังจะเผชิญกับความมืดมนทางการเมือง เนื่องจากพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นแคนดิเดตหนึ่งเดียวของพรรคมีปัญหาคดีความในกรณีถือหุ้นไอทีวี และได้มีผู้ยื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบแล้ว และถ้า กกต.ตรวจสอบแล้วพบว่ามีมูล และยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และถ้าผลของการวินิจฉัยออกมาว่าผิดจริง เส้นทางของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคก้าวไกลก็เป็นอันจบลง เปิดทางให้พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นอันดับ 2 ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
ด้วยเหตุปัจจัย 3 ประการนี้ พรรคก้าวไกลจึงเข้าข่ายวิบากกรรมประเภทสว่างมามืดไปค่อนข้างแน่นอน
อีกประการหนึ่ง ถ้ามองในแง่ของโหราศาสตร์ซึ่งได้มีผู้รู้ศาสตร์นี้หลายท่านได้ออกมาพูดถึงดวงเมืองในแง่ของการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงบางท่านได้พูดถึงดวงบุคคลที่อยู่ในข่ายได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ดังที่เป็นข่าวและท่านผู้อ่านคงได้เห็นและได้ยินได้ฟังมาแล้ว
แต่ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นโหรสมัครเล่น ก็จะนำเรื่องนี้มาวิพากษ์อีกครั้งตามมุมมองของโหราศาสตร์ไทย โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ไปจนถึงเมษายน 2567
ดวงเมืองในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีดาวจรในตำแหน่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
จากดาวจรข้างต้น ถ้ามองในทัศนะของโหรแล้วจะพบว่า ดาวใหญ่ 3 ดวงคือ
1. ดาวพฤหัสบดีโคจรในราศีเมษ 6 องศา 14 ลิปดา หรือเกาะนวางค์ศุกร์
2. ดาวเสาร์โคจรในราศีกุมภ์ 6 องศา 49 ลิปดา หรือเกาะนวางค์พฤหัสบดี
3. ราหูโคจรในราศีเมษ 8 องศา 14 ลิปดา หรือเกาะนวางค์พุธ
จากดาวใหม่ 3 ดวงข้างต้นอนุมานได้ว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา ดวงเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นดาวฝ่ายกุศล หรือฝ่ายดีและดาวราหูซึ่งเป็นฝ่ายอกุศล ดังนั้น ผลของการเลือกตั้งจึงออกมาในลักษณะของการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายเลว ทำให้การดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลทำได้ยาก และถึงแม้จะตั้งได้ก็เกิดความวุ่นวายตามมา โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2566